“ผมน่ะหรือทำแบบนั้น อย่าด่วนตัดสินคนอื่นสิคุณขอโทษนะที่ผมบังเอิญรู้ทันคุณที่คุณจงใจว่านั่นว่านี่ไม่หยุดก็เพราะอยากเรียกร้องความสนใจจากผมสินะ มุกนี้เก่าเกินไปแล้ว จำใส่หัวสมองไว้ด้วยว่า นับจากนี้หลานสาวผมไม่ได้เป็นคนไข้ของคุณอีกต่อไป ผมก็จะพาแกไปเมืองนอก ดีกว่ามานั่งฟังเรื่องไร้สาระผมผิดหวังกับโรงพยาบาลนี้มากนึกยังไงถึงจ้างหมอผู้หญิงห่วยๆ แบบนี้ หมอที่ซื้อปริญญามานี่ไม่ควรจะรับเข้าทำงาน ด้วยซ้ำ”
“นี่คุณ!”
“ทำไม อายหรือที่ผมรู้ทันทุกอย่าง ผมจะพาหลานออกจากโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้หวังว่าคุณคงไม่ขัดข้องไม่อย่างนั้นผมคงต้องให้ความร่วมมือแบบเมื่อกี้อีกต่อไปห้ามมายุ่งกับหลานผม หมองเง่าแบบคุณดีแต่หาเรื่องจับผิดคนอื่น”ดวงตาวาววับของอีกฝ่ายที่จ้องมองราวกับจะฉีกเนื้อชายหนุ่มให้เป็นชิ้นๆ ทำให้เขานึกสะใจ
“ออกไป” เสียงตวาดแว้ดด้วยความโมโห
“นี่นามบัตรผม ถ้าอยากนัดผมเรื่องอื่นที่ไม่ใช่หลานผมล่ะก็ผมยินดี รู้ไว้ด้วยนะว่าหลานผมสบายดี ไม่ได้เป็นโรคจิตอย่างที่คุณกล่าวหา แกแค่ป้องกันตัวเอง ถ้าเป็นผมผมจะตั้นหน้ายายเด็กสองคนนั่นมากกว่านี้ อาทิตย์หน้าผมจะจ้างครูมาสอนยูโดให้แก ต่อไปจะได้ไม่ถูกรังแกอีก” มือเรียวกระแทกนามบัตรลงบนโต๊ะ คุณหมอสาวสวยอึ้งนัยน์ตาคู่สวยเบิกกว้างอยากจะกดดัน มือบางกำแน่นอย่างโกรธจัด
“เลวที่สุด” หญิงสาวบริภาษตามหลังของเขา
.
“ที่นี่ที่ไหน..ที่ไหนกัน...”
รอบกายมือมิดมีเสียงแสงสลัวที่ปลายทาง สุด
ปลายทางเดินนั้นเขาเห็นชายชุดขาวคนหนึ่งกำลังลอยเข้าไปในทางเดินอันเต็มไปด้วยแสงสีเหลืองเรืองรอง ปฏิภาณก้าวเร็ว ๆ เพื่อให้ทันชายคนนั้น
“นี่คุณ รอก่อน จะไปไหน”เบื้องหน้าเขาคือหนุ่มใหญ่หน้าตาหล่อเหลาคิ้วเข้มนัยน์ตาสีดำสนิทเขากำลังเดินตามชายอีกคนเข้าไปในอุโมงค์นั้น
“นี่คุณ ผมถามไม่ได้ยินหรือ หูหนวกหรือไงทำไมไม่"มือของเขารั้งหัวไหล่อีกฝ่ายไว้ชายคนนั้นมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
“ที่นี่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น คุณกับผู้ชายคนนั้นเป็นใครนี่โรงพยาบาลใช่ไหม ผมเป็นอะไรช่วยบอกหน่อย”ไม่มีเสียงตอบแต่ชายคนนั้นกลับสะบัดมือและรีบร้อนตามเขาอีกคนไป สิ่งสุดท้ายที่เขาเห็นคือ ร่างที่หายวับไปในกลุ่มควันสีเหลืองเขาได้ยินเสียงร้องโหยหวนตามด้วยควันซึ่งเริ่มหนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อไม่ได้คำตอบเขาก็ตัดสินใจหันไปอีกทาง เขาเดินเร็ว ๆ ไปในทิศทางคาดว่าจะเป็นทางออก
“โรงพยาบาลบ้าอะไรวะ เงียบอย่างกับป่าช้า หมอกับพยาบาลหายไปไหนกันหมด” ลักษณะที่เขาเห็นตอนนี้คือทางเดินสีขาวภายในตัวตึกซึ่งทอดยาวสุดลูกหูลูกตามีประตูเกือบยี่สิบบานเรียงรายอยู่สองฝั่งรอบบริเวณเงียบสงัด
“ต้องมีสักบานที่เป็นทางออก แต่ว่าบานไหนล่ะ” ปฏิภาณตัดสินใจเปิดประตูแรกภายในนั้นมืดสนิทและก็เปิดประตูที่สอง ที่สาม ไปเรื่อยๆ แต่ก็พบลักษณะเช่นเดิมจนกระทั่งถึงประตูที่เก้าซึ่งตรงกับวันเกิดของเขาพอดีจริงสินะ นี่อาจเป็นปริศนาอะไรสักอย่างริมฝีปากบางคลี่ยิ้มพร้อมกับเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องไม่ได้มีดมิดแต่กลับมีแสงสีเหลืองเรืองรอง เขาก้าวไปถึงกลางห้องและก็หยุดเสียงทุ่มของใครบางคนดังมาจากที่ไหนไม่รู้
“แน่ใจแล้วหรือว่าจะไปทั้งแบบนี้ ยังไม่ใช่เวลาของคุณ รออยู่ที่นี่ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่มาพาไปเอง”
“ไม่...ผมไม่รอ ผมต้องไปหาน้องจ๋า หลานผม”
“คุณควรจะรอ อย่าฝืนกฏดีกว่า”
“ไม่นะ ผมบอกแล้วไงว่าไม่รอ ไม่รอ ได้ยินไหม”
“แน่ใจนะว่าจะไม่เสียใจภายหลัง”
“แน่นอน ปล่อยผมไปเสียที เซ้าซื้อยู่ได้” ภายในห้องเงียบไปอึดใจก่อนที่ทั้งห้องจะสั่นด้วยแรงมหาศาล ปฏิภาณพยายามเกาะผนังห้องไว้แต่กลับทรงตัวไม่อยู่ ควันหนาทึบขึ้นเรื่อยๆ ห้องนั้นกลายเป็นอุโมงค์ยาวสีเหลืองสด ร่างของเขาถูกดูดเข้าไปไปในกลุ่มควันโดยเร็วร่างทั้งร่างเหมือนโดนกระชากอย่างแรงก่อนจะดึงดิ่งสู่พื้น แล้วทุกอย่างรอบกายก็หายวับไป ชายหนุ่มกะพริบตาอีกครั้ง ดอนนี้เขาอยู่ในห้องพักคนป่วย ข้างเตียงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นั่งร้องไห้อยู่เสียงสะอึกสะอื่นช่างบาดลึกเข้าไปในหัวใจเขาเหลือเกินมันแฝงความปวดร้าวและหดหู หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาลคราวนั้นไม่นานหลานสาวก็ย้อนกลับเข้ามาใหม่
“น้องจ๋า อาอยู่นี่ หันมาทางนี้สิ” ในสมองของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเหลือบมองร่างของใครบางคนที่นอนอยู่บนเตียง ซึ่งน่าจะเป็นห้องไอซียู ใบหน้าของคนไข้บวมปูดเช่นเดียวกับเปลือกตาที่โปนและซ้ำจนเป็นสีม่วงเข้ม มีท่อพลาสติกคาอยู่ในปากหาเค้าใบหน้าเดิมแทบไม่เจอทรวงอกเคลื่อนไหวขึ้นลงตามจังหวะของเครื่องช่วยหายใจมีเพียงเสียงกราฟหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอเท่านั้นที่บ่งบอกว่าร่างนั้นยังคงมีชีวิต แต่อีกไม่นานวิญญาณคงออกจากร่างผู้ชายคนนี้เป็นใครทำไมหลานเขาถึงมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้
“ออกไปกันเถอะครับน้องจ๋า หมดเวลาเยี่ยมแล้วผมจะพากลับบ้าน” ธีรพันธ์ค่อยๆ แกะมือนั้นออกจากอุ้งมือใหญ่ เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มร้องไห้โยเย
“ไม่เอา จ๋าไม่ไป ฮือ....จ๋าไม่ไป” ปฏิภาณเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ พยายามเรียกหลานรักกับคนสนิทแต่ไม่มีใครได้ยินเหมือนเขาเป็นแค่อากาศธาตุไม่มีตัวตน
“ธีรพันธ์ นายธี น้องจ๋า บ้าฉิบ เฮ้ น้องจ๋าอาอยู่นี่จะไปไหนกัน” เขามองดูมือขวาคนสนิทที่แทบจะอุ้มร่างเล็ก ๆ นั้นขึ้นพาดบ่าพาเดินออกไป เขาก้าวยาวๆ ไปจนถึงประตูแต่ไม่สามารถผ่านประตูบานนั้นออกไปได้ แม้จะพยายามผลักประตูสักเท่าไรมันก็ไม่ขยับ ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ลั่นของหลานรักลอดผ่านประตูเข้ามา
“ไม่ไป ไม่ไป ปล่อยนะ จ๋าจะอยู่กับอาโป้ง”
“อาโป๊ง!” ปฏิภาณพิมพ์ ชื่อนั้นทำให้เขาตัดสินใจหันหน้ามองหน้าคนเจ็บชัด ๆ อาการคงจะหนักมากถึงมีสภาพเหมือนซากศพแบบนี้ อาจจะโดนรถชนหรือไม่ก็โดนอัดก๊อบปี้ใบหน้าบวมช้ำริมฝีปากบวมเป่งคราบเลือดเกรอะกรังอยู่ตามจมูกและริมฝีปากลิ้นถูกดันออกมาด้านนอกโดยท่อช่วยหายใจช่างเป็นภาพที่น่ากลัวเหลือเกินเขาไล่สายตาลงมาตามร่างกายนั้นพยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกผู้ชายคนนี้ดูคุ้นๆอาจจะเป็นคนที่เคยรู้จัก แต่ตอนที่สายตาเขาตวัดผ่านข้อมือนั่นเองเขาก็ต้องอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“มะ..ไม่..ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่... ปฏิภาณณรงค์ศิริวรรักษ์” ลำคอเขาแห้งผากราวกับอยู่ในทะเลทรายแม้อยาก จะตะโกนลั่นห้องแต่คงไม่มีใครได้ยินชื่อของคนเจ็บต้องอยู่ในหัว เช่นเดียวกับหัวใจของเขาที่เต้นเร่าๆ ด้วยความร้อนใจเมื่อก้มมองตัวเองก็พบว่าเขายังมีแขนขาเหมือนปกติเสียแต่ว่าร่างกายเขาโปร่งแสงแถมยังจับต้องอะไรไม่ได้ เขาคงเป็นเพียงแค่กลุ่มของพลังงานที่วนเวียนไปมาแค่นั้นชายหนุ่มเอื้อมมือไปพยายามสัมผัสร่างตัวเองซึ่งนอนนิ่งบนเตียงเขาคว้าแล้ว คว้าอีกแต่ก็เป็นเหมือนแค่ลมโชยผ่าน แม้แต่ข้าวของก็หยิบจับไม่ได้เขาเป็นวิญญาณหรือนี่
“หมอครับ หมอ หมออยู่ที่ไหน ใครก็ได้ช่วยด้วยนี่มันบ้าชัด ๆ” เขาจะตายไม่ได้ หมอทุกคนในโรงพยาบาลนี้ต้องมาช่วยรักษาเขา
“โท่โว้ย ไอ้หมอโรงพยาบาลนี้มันหายไปไหนหมดทำไมปล่อยให้คนไข้นอนรอความตายอยู่คนเดียว ทำไมปล่อยให้ใบหน้าซ้ำแบบนี้ ไอ้บ้า ไอ้หมอบ้า เข้ามาเดี๋ยวนี้นะโว้ย” หลังจากบ่นพล่ามอยู่พักใหญ่เขาถึงเพิ่งได้สติเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไร นึกถึงหนังฝรั่งที่เคยดูมาเวลาวิญญาณจะเจ้าร่างเห็นทำท่านอนทับลงไปนิ่งคิดได้ดังนั้นร่างโปร่งก็นอนลงบนเตียงพยายามดำดิ่งลงไปในร่างอันบอบช้ำ แต่กลับทำไม่ได้เสียงกร้าฟหัวใจยังคงเต้นเป็นจังหวะและเป็นเสียงที่หนวกหูเหลือเกิน เขาพยายามฝังตัวเองลงไปในร่างใหม่อีกครั้ง แต่ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผลักดันออกมา จนเขาต้องถอยออกมาตั้งหลักร่างโปร่งแสงยืนคอตกอยู่หน้าร่างของตัวเอง สุดท้ายก็นั่งฟุบหน้ากับหลังมือของร่างที่นอนอยู่
“สังขารไม่เที่ยง” คำสอนของพระพุทธเจ้าแว่วขึ้นมาในความคิด เขาเป็นผู้ชายที่รวยที่สุดแต่ทำไมกลับไม่สามารถต่อกรกับสิ่งที่ธรรมชาติกำหนดไว้แล้วได้ ทำไม...