โดยอุปกรอะไหล่ยนต์ทุกอย่าง บรรทุกด้วยตู้คอนแทนเนอร์ และครั้งนี้ รถทุกคันต้องขนย้ายอย่างระมัดระวังที่สุด แม้จะเพียงรถดิฟท์ ไม่กี่คัน และรวมไปถึงนักแข่งในสังกัดของเขาเองอีกสี่คน รวมตัวเขาและขจร ในทีมที่ต้องลงแข่งทั้งหมด หกคน ในชื่อทีมว่า ‘สปีด ดิฟท์’ ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับร้าน ซึ่งเขาตั้งใจก่อตั้งขึ้นเพื่อความต้องการของเขาเอง อีกทั้งทีมงานผู้ช่วยทุกคนผ่านมาตรฐานในงานนี้อย่างดี
ส่วนครั้งนี้เขาทั้งสอง คิดว่าสนามแข่งขันอยู่แค่จังหวัดบุรีรัมย์ ไม่ไกลเท่าไหร่ จึงตัดสินใจ ขับรถแข่งคู่ใจ เอพริลเลีย รุ่น RSV4 R ไปกันเองโดยล่วงหน้าไปก่อนวันแข่งจริงถึงหนึ่งสัปดาห์ เพราะคิดไว้ว่าระหว่างเดินทางนั้นพวกเขาจะได้หยุดพักผ่อนไปในตัว
ระหว่างทาง ราเชนทร์ตัดสินใจแวะร้านอาหารข้างทางเจ้าเดิม ทุกครั้งที่เขาเข้าแข่งสนามนี้ เครื่องยนต์สี่สูบถูกเบนเข้าจอด ศีรษะก้มลงเล็กน้อยแล้วถอดหมวกกันน๊อคอย่างดีออกจากศีรษะแล้วตะหวัดขาออกจากตัวถัง ยืนตรงเต็มความสูง วางหมวกในมือลงบนเบาะนั่งที่เขาเพิ่งลุกขึ้นพร้อมปลดกระเป๋าวางลงบนตัวถัง ตรงระหว่างหน้าปัดด้านหน้าและตัวถัง ส่วนขจรก็จอดรถคู่กายเทียบใกล้กัน
ทุกกิริยาบทและการแต่งกายของชายหนุ่มทั้งสอง ถูกจับจ้องด้วยสายตาคม ของบุคคลกลุ่มหนึ่งภายในร้าน
“ร้านเจ้าเดิมอีกแล้วหรือวะ” คนถูกถามไม่ตอบ แต่การกระทำเป็นคำตอบชัดเจน เมื่อร่างหนาในส่วนสูง 189เดินก้าวเข้าไปอย่างมุ่มมั่น โดยร้านอาหารนั้นบรรยากาศโดยรอบตกแต่งไว้อย่างลงตัวและเป็นธรรมชาติที่สุด ผู้คนในร้านหนาตาพอควร เพราะเป็นช่วงใกล้พักเที่ยง ราเชนทร์เดินเลี่ยง สอดสายตาหามุมที่ดูเป็นส่วนตัวที่สุด โดยขจรได้แต่เดินตามหลัง ทำตัวเป็นผู้ตามที่ดี เมื่อถามไปอีกฝ่ายไม่สนอง
ใบหน้าหล่อเหล่าดวงตาสีน้ำตาลกลมโต จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากหยักบางคล้ายผู้หญิงปิดสนิทจนดูขรึม แต่น่าค้นหา ภายใต้เสื้อยืดคอกลมสวมทับด้วยเสื้อหนังราคาแพงกางเกงยีนเนื้อดี รวมเข้าด้วยกัน สิ่งตรงหน้าเพอร์เฟคไร้ที่ติ
“มองแบบนั้น อย่าบอกนะว่าคิดจะกินเขาอยู่นะ” เสียงหวานก้มกระซิบใบหูขาว เมื่อเธอมองตามสายตานั้นและแน่ใจในความคิดเพื่อนร่วมอาชีพที่สนิทกันได้ไม่นาน
ใบหน้าที่แต่งแต้มไว้อย่างฉูดฉาดเหลือบมองเพื่อนสาว ที่ริอาจอ่านใจเธอออก “แน่นอน คนอย่างยัยแพมหากได้สะดุดใจใครแล้วละก็ ไม่พลาด” สายตาหมายหมาดมองชายหนุ่มที่ตนเองเฝ้าหวังในใจมานาน นายราเชนทร์ สันทนะ เธอแอบติดตามทุกเรื่องราวที่ ชายหนุ่มได้ให้สัมภาษณ์และลงในนิตยสารแวดวงรถแข่ง ‘ทุกสนามคือหมากเดินที่ไม่มีคำว่าแพ้’ นั้นคือคำกล่าวชายหนุ่ม ที่ทุกคนจำขึ้นใจ และนั้นเธออยากค้นหาตัวตนที่แท้จริง ว่าหากเธอรุกเขาจะถอยหรือตั้งรับ
“เธอไม่รู้หรือผู้ชายคนนั้นนะเสือผู้หญิงเชียวนะ ที่สำคัญผู้หญิงแต่ละคนของเขา พวกเราๆเทียบไม่ติด” เธอหมายถึงฐานะและทางสังคม ที่พวกเธอไม่อาจเสนอหน้าหรือเผลอตัวหลงเข้าไปในวังวนเสน่หาชายหนุ่มได้
“หึ...” เสียงหวานดังในลำคอ สายตาไม่วางจากร่างหล่อเหล่าที่ตนเองกำลังจับจ้องเก็บรายละเอียดอย่างหมายหมาด โดยอีกฝ่ายไม่รู้ตัว
“จะไปไหน” ขจรถามขึ้นเมื่ออยู่ๆเพื่อนรักผุดลุกขึ้นแบบไม่บอกไม่กล่าวและคำสวนของอีกฝ่ายทำเอาขจรหน้ามุ่ย
“ไปขี้”
“ไอ้บ้า ไม่มีมารยาท” ขจรว่าเสียงขรม แต่ราเชนทร์กับก้าวเดินออกไปพร้อมเสียงหัวเราะร่าเหมือนกับว่าคำพูดนั้นเป็นแค่มุกตลกและเมื่อเดินทิ้งห่างออกไปใบหน้าที่เคยมีอารมณ์ขันก่อนหน้าตึงขึ้น เปลี่ยนไปจากอยู่ต่อหน้าเพื่อนอย่างสิ้นเชิง
“เป็นเอามากนะนาย” ขจรมองตามแผ่นหลังหนาแล้วส่ายหัวอย่างระอา ตั้งแต่เพื่อนรักกลับบ้านจากบ้านผู้เป็นพ่อครั้งล่าสุด นิสัยที่เคยเงียบขรึมคุยเป็นการเป็นงาน มาครั้งนี้เปลี่ยนไปจนเดาทางไม่ถูก เกรียน กร่าง ขวางลำ เกือบเข้ามาอยู่ในตัวเพื่อนรักจนหมดแล้ว
มุมหนึ่งด้านหลังร้าน ราเชนทร์ไม่ได้เข้าไปทำธุระส่วนตัวอย่างที่บอกขจรไว้ เขากลับพาร่างกำยำยืนพิงกำแพงสองแขนยกขึ้นกอดอก เขารอใครบางคนอยู่ สายตาคมกล้าเหลือบมองประตูทางออกห้องน้ำผู้หญิงบางช่วงบางจังหวะ
“ฉันว่า คุณนิคมสนใจปานนะ” เสียงแววดังแทรกออกมา ร่างหนาที่ยืนพิงกำแพง มุมปากหนายกขึ้นสูงในใจ คิดว่าคนที่กำลังถูกเอ่ยถึงคงเป็นคนคนเดียว ที่เขากำลังรอ ร่างหนายืนตรงเต็มความสูง รอคอย...
“หือ..พูดไปนั้น คงไม่ใช่หรอก” ปองรักแก้ไขความความใจ แต่อีกฝ่ายยิ้มเจื่อนๆปานทิพย์ หรือทิพย์ เพื่อนร่วมทีมที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่ชั่วโมงภายในรถคันเดียวกัน แต่มิตรภาพและการพูดจาถูกคอสร้างความสนิทได้เร็วจนน่าแปลกใจ
“น่าสนนะ ได้ข่าวว่ายังโสด” ทิพย์เอ่ยต่อ ใจปองได้แต่ยิ้มบางๆและเอ่ยตัดบท
“รีบเถอะทุกคนคงรอแล้วละ” อีกฝ่ายจึงหยุดด้วยว่าต้องรีบ เพื่อไม่ให้เพื่อนในกลุ่มที่ต้องเดินทางร่วมกันรอนาน
สองสาวก้าวเท้าสาวเดิน หากแต่คนที่เดินนำไปก่อนหยุดชะงักเมื่อมีร่างของใครบางคนก้าวเข้ามาขวางทางเดินอยู่ สวยตากลมโตสบตามองคนตรงหน้าก่อนจะเปิกตากว้างแล้วปรับสีหน้าปกติตามติด ต่างคนต่างเงียบ
ส่วนปานทิพย์สาวร่างเล็กที่เดินตามอยู่ก็อดแปลกใจไม่ได้ ว่าเหตุใดเพื่อนสาวจึงหยุดเดิน และได้รู้เมื่อสายตาปะทะกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหล่า คุ้นๆ สมองของปานทิพย์ประมวลภาพแล้วสรุป แต่ก็นึกไม่ออก
“รู้จักกันหรอ” ทิพย์เอ่ยถามเพื่อนใหม่และได้สายตาเป็นเชิงยอมรับ “งั้นทิพย์เดินไปที่โต๊ะก่อนนะ” แม้ไม่แน่ใจแต่อาการอ้ำอึ้งบวกกับสายตาแปลกๆทำให้ทิพย์ตัดสินใจแยกออกมาเพื่อมารยาท
“ไม่คิดทักทายลูกชาย ที่พี่สาวกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารบ้างหรือไง” เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอื่น น้ำเสียงเหยียดบวกกับใบหน้ายียวนก็ดังขึ้น ใจปองเก็บความไม่พอใจเอาไว้เค้นยิ้มออกมา
“หรอค่ะ...เสียดายเนอะ ข้าวสารถังนั้น ไม่มีคนช่วยเฝ้าดู” คำย้อนทำเอาใบหน้าคมเข้มตึงขึ้น แต่เมื่อคิดว่าคนตรงหน้าไม่ได้อยู่ในบ้านตนเอง ด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ มุมปากหนากระตุกขึ้นและเอ่ยอย่างเป็นต่อ
“ก็ยังดีกว่า มีหนูสองตัวคอยถลุง ว่ามั้ย” น้ำเสียงหยันดูแคลน หากแต่ใจปองไม่แคร์ เมื่อเธอและพี่สาวไม่มีความคิดเช่นนั้น
“หากคิดได้แค่นั้น ก็แล้วแต่คุณ... ขอโทษนะคะ เสียเวลามามากพอแล้ว” ว่าแล้วเธอก็เดินเลี่ยงเฉียดร่างหนาโดยไม่สนใจเขาอีก ดวงตาหรี่แคบมองตามแผ่นหลัง กรามหนาขบเขาหากันจนสั่นนูน พร้อมคำพูดที่เค้นออกมาจากภายใน ‘สักวันฉันจะทำให้กระเด็นออกไปทั้งคู่เลยคอยดู