“…แล้ววิธีอื่นมันไม่มีเหรอครับ?...”
“แล้วคริสต์ คิดว่ามันจะเป็นวิธีไหน?” คุณหญิงศศิธรเลิกคิ้ว ตั้งคำถามบุตรชายกลับ....
คริสต์ได้แต่เงียบ เพราะตัวเขาก็คิดไม่ออกเช่นกัน รอยยิ้มของคุณหญิงศศิธรปรากฎบนใบหน้าและหันไปสบตากับเขมิกาที่ยิ้มออกมาเช่นกัน เพราะท่าทางแบบนี้ของบุตรชายนั้นเป็นการยอมจำนน ต่อเหตุผลของเธอและเขมิกา
“คุณกอหญ้า...พอจะให้โอกาสกับนักแสดงเลือดใหม่คนนี้ได้มั้ยคะ?” เสียงของเขมิกา เรียกคริสต์กลับสู่ปัจจุบัน และสายตาของคริสต์ก็หันไปตามเสียงนั้น เพื่อที่จะเห็นผู้ประพันธ์ ‘พ่ายกลซาตาน’ ที่ตัวเขาได้อ่านมาบ้างแล้ว ที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขมิกา
คริสต์คลายคิ้วที่ขมวดกัน พร้อมดวงตาที่เปิดกว้างขึ้น เมื่อร่างของเขมิกา ค่อยๆขยับออกจากการบดบังร่างเล็กผอมเพรียวนั้น
“…!!!!เธอ!!!!…” เสียงประโยคแรกของคริสต์ที่ตั้งแต่เข้ามาในห้องประชุมแห่งนี้ เรียกสายตาของเขมิกาและคุณหญิงศศิธร และทุกคนหันไปทางคริสต์ รวมถึงทุกคนในห้องประชุม และแน่นอนรวมถึงกอหญ้าด้วย...
กอหญ้าที่เห็นคริสต์ตั้งแต่แรก เธอทำเพียงยืนเงียบๆ แต่เมื่อประโยคที่สองของเขมิกา ดังขึ้น...กับคำถาม “คุณกอหญ้า...พอจะให้โอกาสกับนักแสดงเลือดใหม่คนนี้ได้มั้ยคะ?” ซึ่งเธอมีคำตอบกับคำถามนี้แล้วอย่างไม่มีลังเล
กอหญ้าหันไปไหว้คุณหญิงศศิธร เขมิกา และทุกคนในห้องประชุม และตามด้วยเสียงประกาศอย่างไม่มีความลังเล
“…ต้องขอโทษทุกคนที่ทำให้เสียเวลา...หญ้าในฐานะเจ้าของผลงาน ‘พ่ายกลซาตาน’ ขอปฎิเสธนักแสดงนำชายคนนี้...เงื่อนไขเดียวถ้าทางช่องยังต้องการผลงานชิ้นนี้มาสร้างเป็นละคร ต้องเปลี่ยนนักแสดงนำชาย...เพียงเท่านั้น...หญ้าขอลากลับนะคะ...ต้องขอโทษทุกคนอีกครั้ง” สิ้นเสียงนั้นกอหญ้ายกมือไหว้ทุกคนอีกครั้งและขอตัวออกจากห้องประชุมไปทันที โดยเดินผ่านคริสต์ไปอย่างไม่หันไปมองเลยด้วยซ้ำ “ผลั๊ก” เสียงประตูปิดลง เรียกสติของทุกคนในห้องประชุมที่พร้อมเพรียงกันเงียบ!!! อย่างไม่เข้าใจ
“เกิดอะไรขึ้น!!!...คริสต์!” เสียงคุณหญิงศศิธร เอ่ยขึ้นมาเป็นคนแรก และคำถามนั้นคงมีแต่บุตรชายของตนเท่านั้นที่ตอบได้
“…ผมขอตัวก่อนครับ...” คริสต์หันหลังกลับ ออกจากห้องประชุมประตูเดียวกับที่กอหญ้าพึ่งออกไป ได้ไม่ถึงหนึ่งนาที
ทางด้านกอหญ้าที่เดินออกมาจากห้องประชุม จุดหมายของเธอคือลานจอดรถที่รถของเธอจอดอยู่ กอหญ้าก้าวเดินอย่างรวดเร็วไม่มีความลังเลใดๆหรือเปลี่ยนใจที่จะกลับเข้าไปในห้องประชุมนั้นอีกครั้ง
“…ให้ตายเถอะ!!!!...ฉันไม่ยอมให้งานเขียนของฉันต้องด่างพร้อย เพราะผู้ชายนิสัยห่างไกลและปราศจากความเป็นสุภาพบุรุษ...เด็ดขาด” กอหญ้าพึมพำกับตัวเอง และก้มหน้าหยิบกุญแจรถออกมาเมื่อเดินมาถึงลานจอดรถ เธอรีบเอาตัวเองเข้าไปในรถพร้อมสตาร์ททันทีอย่างรวดเร็ว เพราะเธอต้องการออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด.... ‘ของขึ้น’
“เอี๊ยดดดดดดด...” กอหญ้าต้องย้ำเหยียบเบรคอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เมื่อจู่ๆด้านหน้ารถเธอมีร่างสูงของคนที่ด่าเธอเมื่อไม่นานนี้.....
คริสต์ที่ออกมาจากห้องประชุม เขาออกมาทันเห็นเธอเดินออกประตูสู่ลานจอดรถ จึงเร่งฝีเท้าตามมาทันก่อนที่เธอจะออกไป ‘บัดซบ!!!’ ใครจะคิดว่า ‘ยายเด็กแว่น’ จอมซุ่มซ่ามจะเป็นเจ้าของบทประพันธ์ที่คุณแม่และเขมิกาต้องการเป็นนักหนา
คริสต์ใช้สายตาคมเข้มจับจ้องมองไปที่กระจกหน้า เพื่อมองหญิงสาวที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย และนั้นทำให้เขารู้แล้วว่าใครที่มาใช้ที่จอดประจำของเขา
กอหญ้าเองก็ใช้ดวงตาหลังกรอบแว่นใหญ่มองกลับอย่างไม่มีใครหลบใคร “ ปี๊ด...” กอหญ้ากดแตรสั้นๆเพียงครั้งเดียว เตือนและบอกให้คริสต์หลบไป
“ลงมาคุยกันก่อนได้มั้ย?” คริสต์เอ่ยออกไป ให้ดังพอให้คนที่นั่งอยู่ด้านหลังพวงมาลัยได้ยิน และแน่นอนตอนนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงคริสต์กับ กอหญ้าเท่านั้น เพราะผู้ร่วมเห็นเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ของศึกปะทะของคริสต์และ กอหญ้า ในอุบัติเหตุก่อนการประชุม กำลังเป็นไทยมุงมองเหตุการณ์การปะทะของคริสต์และกอหญ้าอีกครั้ง และจำนวนมากขึ้นเมื่อทุกคนในห้องประชุมก็ออกมาและเห็นเหตุการณ์ตรงหน้าเช่นกัน และแน่นอนรวมถึงคุณหญิงศศิธรและเขมิกา ที่ยืนอยู่หน้าทุกคน
“ปี๊ด...” เสียงแตรรถของกอหญ้า ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นคำตอบให้กับคำถามของคริสต์
“มีเหตุผลหน่อยได้มั้ย!...เราต่างก็โตๆกันแล้ว...”
“ปี๊ดดดดดด....” เสียงแตรรถดังยาวขึ้นกว่าปกติ ทำให้คริสต์ต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของตัวเองไว้
“คุณน้า!...เขมว่าเราคงต้องเทรนการพูดให้คุณคริสต์ใหม่ว่า สุภาพบุรุษต้องใช้คำพูดแบบไหนกับผู้หญิงที่เค้าไม่หลงไหลไปกับความหน้าตาดีของคุณคริสต์...” คุณหญิงศศิธรพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
ทางด้านกอหญ้าที่จ้องมองคริสต์ด้วยความเดือดดาลของอารมณ์ที่มากขึ้น “หน๋อยยย!!!...ยังกล้ามาว่าฉัน ว่าไม่มีเหตุผล...ไอ้!ผู้ชายเฮงซวย...” กอหญ้าพึมพำกับตัวเองในรถ ใครจะหลงไหลได้ปลื้มกับผู้ชายคนนี้ก็เอาเหอะ! แต่ต้องไม่ใช่เธอ กอหญ้า ดาร์เมี่ยน คนนี้
“ปี๊ด ปี๊ด ปี๊ด...” กอหญ้ากดแตรเสียงสั้นๆ อีกสามครั้ง เพื่อบอกเจตนาของเธอว่าเธอไม่ต้องการพูดกับผู้ชายคนนี้
คริสต์ได้แต่ถอนหายใจ เพราะเขาคิดว่าตอนนี้หญิงสาวหลังพวงมาลัยคงกำลังเดือด ให้เขาพูดอะไรไปตอนนี้เธอก็คงไม่ยอมพูดกับเขาเป็นแน่ คริสต์ยกมือขึ้นมาทั้งสองมือบ่งบอกถึงการยอมแพ้ และยอมถอยออกมา ปล่อยให้หญิงสาวเคลื่อนรถออกไป
คริสต์ทำเพียงมองตามและจดจ้องรถพร้อมป้ายทะเบียนบันทึกไว้ในสมองของเขา เพราะคนอย่างเขาถ้าต้องการอะไรแล้ว เขาต้องได้มันมา ‘สำนักพิมพ์ข้อเขียน’ คนอย่างเขาไม่จนหนทางง่ายๆ แค่ครั้งนี้เขายอมถอยให้ก่อนหนึ่งก้าว แต่คนอย่างเขาถ้ายอมถอยหนึ่งก้าวแล้ว เขาจะต้องเดินหน้าอย่างน้อยสามก้าว
“ลูกชาย!คราวนี้บอกแม่ได้เหรอยังว่าลูกไปรู้จักคุณกอหญ้าตั้งแต่เมื่อไหร?” คุณหญิงเอ่ยถามบุตรชาย หลังจากที่พวกเขาทั้งสามคนเดินกลับมายังห้องทำงานของประธานบริหารคุณหญิงศศิธร
“ผมก็พึ่งรู้ตอนนี้แหละครับ ว่ายายเด็กแว่นนั้น ชื่อกอหญ้า” เขมิกาและคุณหญิงศศิธร ขมวดคิ้ว
“เอ่อ!...พวกเราไม่รู้ว่าเธอชื่ออะไร เพียงแค่เรียกตามนามปากกาของเธอเท่านั้น” เขมิกาให้รายละเอียดเพิ่มเติม เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
“เหรอครับ!...ผมไม่ได้รู้จักเธอ คุณกอหญ้า อะไรก็ช่าง!!!!...ผมเห็นเธอครั้งแรกก็ตอนที่เธอเอากาแฟมาหกราดใส่ผมเมื่อตอนสายของวันนี้แหละครับ...” คุณหญิงศศิธรพยักหน้าเข้าใจ เพราะเธอเห็นผลของมันตอนที่บุตรชายเข้ามาในห้องนี้ก่อนการประชุม เขมิกาขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ คุณหญิงศศิธรจึงให้ความกระจ่างเท่าที่เธอรู้และเห็น
“…ไม่เข้าใจ!...แต่ดูจากอาการของคุณกอหญ้า คงไม่ใช่แค่เธอทำกาแฟหกใส่คุณคริสต์มั้งคะ”
“โอเค!...ผมผิดเองครับ!...เพราะผมเสียงดังใส่เธอและเรียกลุงชัดให้มาลากเธอออกไปจากที่นี่...” สิ้นเสียงคำตอบของคริสต์ ดวงตาของคุณหญิงศศิธรและเขมิกาเปิดกว้างอย่างคาดไม่ถึง
“เขม!...น้าอยากจะเป็นลม!!!” เสียงของคุณหญิงศศิธรดังขึ้นมา
“คุณแม่ พี่เขม มันจำเป็นมากเหรอครับที่ต้องเป็นเรื่องนี้ เราเปลี่ยนไปหาบทประพันธ์เรื่องอื่นมาสร้างเป็นละครก็ได้นะครับ...บอกตามตรงนะครับ ผมไม่อยากร่วมงานกับคนที่ไร้ความเป็นมืออาชีพแบบนั้น”
“คริสต์!!!....แม่ไม่เคยสอนให้คริสต์เป็นคนแบบนี้นะ...การเปลี่ยนเรื่องมันใช่! ว่าเป็นวิธีการแก้ปัญหา แต่เป็นการแก้ปัญหาแบบหนีปัญหา แม่ไม่เคยสอนให้คริสต์ทำแบบนี้ ไม่รู้ล่ะ!!! งานนี้คริสต์ต้องเป็นคนแก้ปัญหานี้ให้ได้เพราะเราเป็นคนก่อและสร้างมันขึ้นมา และอีกอย่างไม่ใช่เฉพาะช่องของเรานะที่ต้องการเรื่องนี้มาสร้างเป็นละคร แต่ที่เราได้และขยับได้มาไกลกว่าช่องอื่น เพราะแม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับคุณประจักษ์เจ้าของสำนักพิมพ์ข้อเขียน แม่จะเสียผู้ใหญ่ไม่ได้ และคุณประจักษ์บอกเพียงว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ เจ้าของผลงานทั้งนั้น...”