‘…รายงานการตายแล้วฟื้นทั้งในมนุษย์และสัตว์มีให้เห็นอยู่ทั่วไปทั้งในไทยและต่างประเทศ วิทยาศาสตร์ตั้งข้อสมมติฐานว่าเป็นการทำงานของเซลล์ในร่างกายและระบบประสาทถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าต่าง ๆ จนทำให้หัวใจและชีพจรกลับมาสูบฉีดเลือดอีกครั้ง แต่ก็ยังหาข้อสรุปที่แน่ชัดไม่ได้…’ เนื้อหาส่วนหนึ่งที่ปนิสราว่าที่นิสิตแพทย์เกียรตินิยมเคยเรียนมา
บันทึกทางการแพทย์ว่าน่าทึ่งแล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นจริงน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเป็นไหน ๆ
36 ชั่วโมงหลังเข้าร่างมนุษย์ที่เพิ่งหมดอายุขัย ความทรงจำจากร่างเดิมยังครบถ้วนสมบูรณ์แม้จะเลือนรางและยังไม่ประติดประต่อเท่าที่ควร ชายโครงเจ็บร้าวเพราะซี่โครงหักจากการทำ CPR ร่างโปร่งบางไร้เรี่ยวแรงขนาดแค่จะลุกขึ้นยืนยังยากลำบาก รวมถึงสายออกซิเจน เครื่องวัดสัญญาณชีพพะรุงพะรังบนหน้าอกและยังต้องรับอาหารเหลวผ่านท่ออีก
ยื้อเก่ง เล่นใหญ่…ไม่ใช่ใครเกินพวกมนุษย์!
โชคเข้าข้างที่นาทีสุดท้ายก่อนจะแตกดับตลอดกาลก็มาพบกายหยาบนี้พอดี แต่ร่างนี้ช่างอ่อนแอและเปราะบางยิ่งกว่าลูกเจี๊ยบจนน่าสงสัยว่ามีชีวิตอยู่มาได้อย่างไรตั้ง 19 ปี
ถึงคราวที่เทวฑูตแห่งความตายต้องปรับตัวครั้งใหญ่
“ข้า…ชื่อ อิ อิ อิค…คิว อิคคิว อิคคิว” กริมริปเปอร์ทวนชื่อด้วยเสียงแหบแห้ง หลังร่างกายฟื้นตัวได้ประมาณหนึ่งแล้ว ความทรงจำทยอยผุดพลายขึ้นมาเหมือนดอกเห็ดจนทำให้รู้ว่าร่างเดิมพยายามว่ายน้ำให้ร่างกายแข็งแรง หลังเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจมาได้ไม่ถึงปีแล้วก็มาวูบโดยไม่ทราบสาเหตุ
ก๊อก ๆ ๆ ๆ
“อรุณสวัสดิ์ครับธามไท ตื่นนานหรือยัง…” แพทย์เจ้าของไข้และพยาบาลกล่าวทักทาย แม้จะไม่มีการตอบรับจากคนไข้ แต่ช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสได้อย่างดี
“มองตามปากกาหมอนะ…ตอนนี้เรียนที่ทียูใช่มั้ย เรียนคณะเศรษฐศาสตร์หรือเปล่า ยังรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหน้าอกมั้ย” คนไข้พยักหน้ารับสลับส่ายศีรษะแทนคำตอบและทำตามคำสั่งต่าง ๆ อย่างว่าง่ายระหว่างตรวจร่างกายประจำวัน
“แล้วเมื่อคืนได้ฝันบ้างมั้ย…ไม่ฝันเลยงั้นเหรอ โอเค…” แพทย์จดบันทึกตามนั้น
แต่กริมริปเปอร์โกหก
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นยังตามมาหลอกหลอนไม่หยุด ความเจ็บปวดจากการถูกโจมตีด้วยแสงแห่งความหวังจนร่างแหลกสลายและความอับอายที่ปราชัยให้เทวดาปลายแถวที่จู่ ๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นจากการสวดภาวนาให้มันช่วยคุ้มครองคนใกล้ตาย
สรุปพวกมันโกงความตายสำเร็จ
ยมฑูตกลับร่อแร่จนต้องมาอาศัยร่างมนุษย์เพื่อฟื้นฟูพลัง
“อาการของคุณดีขึ้นแล้วนะ บ่ายนี้หมออนุญาตให้เข้าเยี่ยมได้แล้วนะ คงจะได้คลายเหงาลงบ้าง” แพทย์ส่งรอยยิ้มนุ่มนวลให้ก่อนเดินออกห้อง
เทวฑูตแห่งความตายหรือขณะนี้คือธามไททอดสายตาเย็นชาไปนอกหน้าต่าง ไม่ได้ตั้งใจจะชมทิวทัศน์จากห้องพักวีไอพีแต่อย่างใด
มันจะเหงายังไงในเมื่อมีเพื่อนร่วมห้องลอยไปลอยมาเต็มไปหมด
ส่วนใหญ่เป็นวิญญาณที่ยังไม่หมดวาระหรือพวกด่วนจากไปโดยไม่ทันตั้งตัวหรือที่เรียกว่าวิญญาณเร่ร่อน รวมถึงบางส่วนที่ยังสิงสถิตตามที่ต่าง ๆ เพราะความอาลัยอาวรณ์
ลำพังพวกเศษสวะนั้นไม่มีพลังวิเศษใด ๆ แค่จะขยับแก้วน้ำยังไม่มีปัญญา แต่สร้างความน่ารำคาญได้พอสมควร โดยเฉพาะพวกตาโบ๋ที่ชอบห้อยหัวต่องแต่งจากเพดานหรือไม่ก็เลื้อยเป็นจิ้งจกบนผนัง
‘ออกไปห่าง ๆ ไอ้พวกกระจอก อยากลองดีนักหรือไง!’ กระแสจิตยังใช้การได้ดีเช่นเดิม แค่ธามไทคิดเสียงก็ดังประกาศศักดาเหมือนเจ้าป่าคำราม ม่านตาสีดำขลับเปลี่ยนเป็นสีแดงดุจโลหิต เปลวเพลิงสีดำดั่งความตายแผ่กระจายจากร่างซีดเผือดพร้อมอาวุธคู่กายอย่างเคียวยมฑูตที่แค่ยื่นมือออกมามันก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศ
ตวัดทีเดียวมอดไหม้เป็นจุณยกแผง
กรี๊ด!!!
เหล่าภูตผีกรีดร้องแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง เพียงเท่านี้ความเงียบสงบคืนกลับมาอีกครั้ง ธามไททิ้งแผ่นหลังลงบนที่นอนจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นแปลก ๆ ที่แผ่ซ่านไปทั่วกาย เปลือกตาหนักอึ้งปิดลงช้า ๆ ปล่อยร่างเปราะบางนี้ให้เข้าสู่ห้วงหลับใหลอีกครั้ง
กริมริปเปอร์ได้รู้ว่า…พิภพนี้ไม่มีอะไรดีไปว่าการเป็นเทวฑูตอีกแล้ว
หลายชั่วโมงต่อมาธามไทรู้สึกตัวอีกครั้ง แต่บรรยากาศรอบตัวต่างจากเดิมพอสมควรคล้ายอุณหภูมิในห้องจะอุ่นขึ้นอย่างกะมีใครไปเพิ่มอุณหภูมิห้อง มีเสียงของคนจำนวนหนึ่งคุยกันแทรกเข้ามาและหนึ่งในนั้นคือแพทย์เจ้าของไข้ที่เข้ามาแจ้งผลการตรวจร่างกายแก่ญาติ ๆ
“ตอนคนไข้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนนะครับ ร่างกายฟื้นฟูตัวเองได้ดี หลังจากนี้จะเปลี่ยนเป็นอาหารอ่อน ๆ ให้นะครับ เอ่อ…หมอยังไม่แนะนำให้ทานอาหารอื่นนอกจากที่โรงพยาบาลนะครับ…ส่วนสาเหตุการวูบอันนี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้จริง ๆ เพราะผลเอ็มอาร์ไอและเอ็กซ์เรย์ที่ออกมามัน…” แพทย์เว้นคำพูดเล็กน้อยขณะก้มอ่านรายงานในมือ
“มันยังไงคะอาจารย์” บางทีปนิสราก็ใจร้อนเกินไป คนอื่น ๆ ที่รอฟังคำตอบก็ทำตาโตด้วยความอยากรู้
“คือ…อวัยวะภายในปกติดีทุกอย่างครับ ทีแรกเราตั้งสมมติฐานว่าคนไข้อาจจะไตวายเฉียบพลันหรือปอดแตกอะไรทำนองนั้น ภาพรวมคือเหมือนคนเป็นลมทั่วไป”
“แล้วลูกดิฉันจะกลับบ้านได้เมื่อไหร่คะหมอ”
“ไม่เกินสามวันครับ ถ้าอาการดีขึ้นทุกวันแบบนี้” ชายวัยกลางคนบุ้ยใบ้ข้ามไหล่ไปทางเตียงคนไข้ ผู้เป็นแม่มองตามไปถึงได้เห็นว่าลูกชายกำลังมองกลับมา
“อิคคิวตื่นแล้ว อิคคิวลูกม้าตื่นแล้ว ทุกคนอิคคิวตื่นแล้ว” สมาชิกครอบครัวนับได้ถึง 6 คน แพทย์กับพยาบาลและคนป่วยก็เป็น 9 คนทำให้ห้องพักแบบ VIP ดูแคบไปถนัดตา แถมใครก็ไม่รู้ไปเปิดผ้าม่านรับแสงยามบ่ายคล้อยเข้ามาอีก!
‘มิน่าล่ะอากาศถึงร้อนขึ้นขนาดนี้เพราะพวกเลือดอุ่นมารวมตัวกันนี่เอง…นี่อะไรกัน! ยังมารุมกอดข้าอี๊ก โอ๊ย! อึดอัดจังเว้ย’ ฑูตแห่งความตายผู้อยู่กับความโดดเดี่ยวและหนาวเหน็บไม่ชอบใจบรรยากาศเช่นนี้เลย
“โถ…อิคคิวลูกม้าขวัญเอ๊ยขวัญมานะ ทำไมไม่พูดสักคำเลย ทำไมนิ่งเงียบแบบนี้ ไม่ใช่คิวเลยนะ นี่ม่าม้าเองนะลูก” ธามไทที่ปกติจะเป็นคนช่างพูดช่างคุย บางทีก็ขี้อ้อนเหมือนเด็ก ๆ ตอนนี้กลับดูเฉยชาจะไม่ตอบสนองต่อสัมผัสของญาติเลย ยิ่งไปกว่านั้นเขายังขยับตัวหนีและหันมาขึงตาใส่ผู้เป็นพ่อที่ตั้งใจจะลูบศีรษะด้วยความห่วงใย
“นั่นสินะ ปกติเวลาเข้าโรงบาลคิวจะร้องไห้ขี้มูกโป่งหาม่าม้าทั้งวันเลย กิ๋มว่ามันแปลก ๆ อยู่นะ” น้าสะใภ้ออกความคิดเห็น ญาติบางคนก็เห็นด้วย
ทำไงได้เมื่อความทรงจำจากร่างเดิมยังครบถ้วน แต่ความผูกพันธ์ทางกายและใจคงต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ กริมริปเปอร์ตั้งใจอาศัยร่างชั่วคราวคงไม่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับใคร
“ระบบประสาทของคนไข้อยู่ในช่วงฟื้นตัวครับ ไม่ต้องกังวลไปนะครับ อีกสักพักจะค่อย ๆ ดีขึ้นเอง”
“น่าจริงอย่างที่อาจารย์บอกนะคะม้า คล้ายกับกรณีนักแสดงที่วูบคากองถ่าย หลับไปเป็นเดือน พอตื่นมาก็พูดแต่ภาษาอังกฤษไง เคสเจ้าคิวก็คงคล้ายกันค่ะ”
หลังคลายข้อสงสัยแพทย์เจ้าของไข้ขอตัวออกไปเพื่อให้ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน ครู่ต่อมาศิรินญาหรืออาหญิงผู้ไม่เคยเห็นหลานชายในสายตาก็ตามมาสมทบเงียบ ๆ จนได้เห็นภาพทิ่มแทงใจเข้า
ทุกคนชอบรุมล้อมเด็กคนนั้นเหมือนเกิดมาในตระกูล ส่วนสายเลือดเดียวกันเช่นเธอกลับถูกมองข้ามมาโดยตลอด ขณะยืนมองภาพบาดตาด้วยใจริษยาอยู่นั้น จู่ ๆ หลานชายก็ปลายหางตามาตรงที่เธอยืนอยู่
‘ไอ้คิวตายไปแล้ว นั่นใครกัน ใครมาอยู่ในร่างมัน’ ศิรินญาขนลุกซู่อย่างไม่ทราบสาเหตุและรู้สึกสังหรณ์แปลก ๆ ว่าผู้ชายคนนั้นไม่ใช่ธามไทคนเดิม
‘มันรู้ว่าข้าไม่ใช่ไอ้ลูกเจี๊ยบงั้นเหรือ? ชักน่าสนุกแล้วสิ’