ไม่มีเรียนชอบตีเนียนมาส่องสาว
เรื่องปกติของหนุ่มบริหารธุรกิจที่ชอบมานั่งมองสาวเศรษฐศาสตร์ เนื่องจากสองคณะอยู่ติดกันและมีบางรายวิชาที่ต้องเรียนร่วมกันบ่อย ๆ
บ่ายวันนี้มนุษย์เพื่อนตัวยุ่งก็เฮละโลไปนั่งในห้องเรียนโดยอ้างกับอาจารย์ว่าจะมาทบทวนบทเรียน ธามไทไม่ได้อยากตามมาด้วย แต่พอรู้ว่าจะไปที่ชั้น 13 ก็เปลี่ยนใจทันที
ช่วงกลางวันบรรยากาศก็ดูปกติดี วิวทิวทัศน์สวยเหมือนอยู่คอนโดมิเนียม มีลมเย็นสบายพัดผ่านตลอดทั้งวันจนนึกไม่ถึงว่ามันจะเป็นพื้นที่ที่มีวิญญาณมาสิงสู่ตอนกลางคืน
พลังแห่งหมายเลข 13 ช่างดีต่อใจเหลือเกินจนผิวหน้าธามไทเปลี่ยนเป็นสีเลือดฝาดชัดเจนและไม่ทันสังเกตุว่ากำลังยืนกระทบไหล่กับรุ่นน้องปี 1 ผู้เป็นดาวคณะเศรษฐศาสตร์
ต่อให้เจ้าตัวไม่เห็นแต่ถ้าเพื่อนเห็นก็เตรียมใจไว้ได้เลย
“พวกมึงเมื่อกี้ไอ้คิวเขินน้องแก้มใสจนหน้าแดงเลยเว้ย ตอนนี้ก็แดงอยู่ดูดิ” พอออกจากลิฟต์ก็รุมแซวเป็นนกแตกรังทันที
“กูเห็น ๆ ทีแรกนึกว่าไอ้คิวร้อน สรุปเขินเหรอ”
“ตอนนี้มึงหล่อแล้วลองไปเข้าคิวจีบน้องแก้มดูสิวะ ถึงหางแถวจะอยู่ดวงจันทร์แต่ก็มีโอกาสนะ”
“มาคาบไปง่าย ๆ ไม่ได้นะมึงเว้ย กูก็ปลื้มของกูมาเป็นปี ๆ”
“อะไรวะ ไอ้คิวหน้าโคตรนิ่งเลยว่ะ เขินก็ยิ้มออกมาเลย ไม่ใช่นั่งเขินคนเดียวในห้องน้ำนะมึง” คนพูดกระทุ้งศอกใส่สีข้างธามไทที่มองหาอะไรบางอย่าง แต่เสียงนกเสียงกายังไม่น่าสนใจเท่ากลิ่นไอภูตผี
มันเจือจางมากและเป็นไปได้ยากที่จะเล็ดลอดสายตายมฑูต
หนึ่งชั่วโมงต่อมาในห้องเรียน ธามไทรับรู้ได้ถึงไอเย็นวูบบนต้นแขนหนา เขาหันขวับไปแต่สิ่งที่เห็น…ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
‘เห้อ เจ้าอีกแล้วเหรอยัยต้นไทรรุงรัง’ รากไทรที่ว่ารุงรังยังไม่เท่าเยอะสิ่งเท่าแม่นี้
อุตส่าห์โล่งใจนึกว่าจะไม่ต้องมาเจอกันอีก
‘คิดถึงคุณแรพเปอร์อปป้าจัง ครั้งก่อนเค้าไปเหาะเล่นเลยอดเจอกัน’ บัวตองเอียงคอซบบ่า ส่งตาหวานปิ๊ง ๆ ไปพลาง
‘แล้ววันนี้มาที่นี่ได้ไง อย่าบอกนะว่ามาตามอาฆาตยัยคนนั้น’
‘ไม่อาฆาตแล้ว ยกโทษให้ถือว่ายัยเด็กนั้นพาเค้ามาพบตัวไง’
‘อย่างงี้ก็ได้เหรอ ทำไมวันนี้ไม่เหาะไปเที่ยวอีกล่ะ’ เขากรอกตามองบนอย่างเซ็ง ๆ พร้อมคำถามเชิงไล่ ตั้งแต่สิงร่างมนุษย์มายังไม่มีใครเรียกชื่อเขาถูกสักตนจนเริ่มชินแล้ว
‘กลัวว่าเดี๋ยวไปแล้วจะไปเจอกับ เอ่อ…ช่างเหอะ วันนี้เค้าจะอยู่ตัวเองนะ’
ธามไทเป็นฝ่ายตัดจบการสนทนาแล้วหันกลับมาสนใจสิ่งที่อยู่ในภพมนุษย์ต่อ ระหว่างที่อยู่ในห้องเรียนไม่มีใครสังเกตว่ามีนิสิตหญิงแปลกหน้าเข้ามานั่งปะปนอยู่ด้วย
……………………………
สองอาทิตย์ก่อนหน้านี้
แทนแท๊น ตึ๊ก ตึ๊ก แทนแท๊น!
‘…The warden threw a party in the county jail…The prison band was there and they began to wail…’
ถ้าเพลงของราชาร็อคแอนด์โรลดังเมื่อไหร่แปลว่ามีคนสมหวัง
ศาลเจ้าพ่อเอลวิสเป็นศาลเพียงตาแบบสี่เสาสไตล์มินิมอลเรียบหรูตั้งอยู่หลังอาคารคณะแพทยศาสตร์เดิม ความศักดิ์สิทธิ์เห็นได้จากข้าวของที่นำมาแก้บนทั้งเจลแต่งผม หวีกระจก กีต้าร์คลาสติก แต่สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตากว่าศาลอื่นเห็นจะเป็นเสื้อและกางเกงแบบเดียวกับที่เอลวิสสวมใส่แขวนเรียงรายเต็มไปหมด
นานทีปีหนจะมีอะไรพิเศษกว่านั้น
มีคนสอบติดแพทย์ฯ แล้วจัดแก้บนด้วยมินิคอนเสิร์ตร้องสดเพลงเอลวิส เพรสลีย์ทำให้บรรยากาศคึกครื้นสนุกสนานเหมือนงานกิจกรรมคณะ
ร่างโปร่งใสหวีเสยผมด้วยเจลแต่งผม แต่งจอนที่กรอบหน้า คว้าชุดสูทขาบานสไตล์ราชาเพลงร็อคมาสวมใส่ ฮัมเพลงโปรดเบา ๆ สลับกับยักคิ้วหลิ่วตาชื่นชมตนเองไปพลาง
‘ตอนมีชีวิตอยู่ผมก็หล่อ ตายแล้วผมก็ยังหล่อ ผมมันทั้งหล่อช่วยไม่ได้” พอแต่งตัวเสร็จก็ไปออกลีลาสุดพริ้วหน้าเวที แต่จะพริ้วแค่ไหนก็มีแค่อมนุษย์ด้วยกันที่มองเห็น
ร่างเล็กห่มสไบสีฟ้าพาสเทลเหาะช้า ๆ ผ่านมาแล้วเห็นงานรื่นเริงเข้าเลยหยุดดูสักครู่หนึ่ง ท่ามกลางกลุ่มคนรวมถึงอมนุษย์มากมาย หล่อนเห็นชายวัยกลางคนสวมชุดแปลก ๆ กำลังโยกย้ายซ้ายขวาอย่างเมามัน ใกล้กันมีเหล่าอมนุษย์ด้วยกันคอยส่งเสียงให้กำลังใจไม่หยุด
“เก็บกดอะไรปานนั้นน่ะพ่อคุณ” บัวตองนึกในใจขณะเดินเล่นสำรวจรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัวว่าหน้าหวาน ๆ ของตนได้ลอยไปสะดุดตาใครบางตนเข้า
เจ้าพ่อเอลวิสหรือนายประวิทย์นิ่งชะงักไปหลายวินาที ตั้งแต่เดบิวส์เป็นภูตสิงสู่ระดับเทพารักษ์ก็ไม่เคยเจอภูตสาวตนไหนสวยบาดตาถึงเพียงนี้ ในเวลานั้นเพลงจังหวะเร้าใจจบลงก็ต่อด้วยเพลงช้าเข้ากับบรรยากาศพอดิบพอดี
‘…Wise men say. Only fools, only fools rush in Oh, but I, but I, I can't help falling in love with you…’
สาวร่างบางกำลังเดินชมนกชมไม้จนไม่ทันสังเกตว่าเทพารักษ์สายแดนซ์ตนนั้นชะแวบมาอยู่ข้างหลังแล้ว เจ้าพ่อเอลวิสจัดปกเสื้อเล็กน้อยก่อนจะกระแอมเบา ๆ ส่งสัญญาณ…อยู่หลายหน
หยิ่งเหรอ!
เพราะเสียงรอบตัวดังเกินไปคนถูกเรียกจึงไม่หันกลับมา
“ให้ตายสิ ทำไมสาวสวยถึงหยิ่งขนาดนี้” เอลวิสเกาหัวแกร่ก ๆ แล้วบ่นพึมพรำออกมาแบบไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะได้ยิน แต่บัวตองที่ได้ยินเต็มสองรูหูก็หันมาทำตาเขียวใส่ทันที
“มันก็แน่อยู่แล้ว ข้าสวยและข้าก็จะไม่สมาคมกับพวกพิลึกอย่างเจ้า ชิชะ!” พูดจบก็ค้อนขวับสะบัดสไบเดินหนีไปทางอื่น
“โอ้ เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะสาวสวย พี่เอลวิสไม่ได้หมายถึงแบบนั้น” แม้ความประทับใจแรกจะพังพินาศ แต่เทพารักษ์หาได้ยอมแพ้จึงรีบเดินตามไปติด ๆ
“คือ…น้องสาวอยู่มหาลัยนี้เหรอจ๊ะ ทำไมพี่วิสไม่เคยเห็นเลย สิงอยู่ศาลหรือสิงต้นไม้คณะไหนเหรอจ๊ะ”
“ข้าไม่ใช่ภูติที่นี่ อย่ามายุ่งกับข้านะ นี่! มาขวางข้าทำไม”
“พี่ชื่อเอลวิสนะ สิงอยู่ศาลคณะแพทย์นี่เอง…อยากเจอเมื่อไหร่แวะมาได้ แล้วน้องสาวชื่ออะไรจ๊ะ” ร่างสูงปรี่มาขวางหน้าแล้วแนะนำตัวด้วยเสียงหล่อทุ้ม
“ข้าไม่บอก ข้าก็ไม่อยากรู้จักเจ้าด้วย” บัวตองไขว้แขนกอดอกเชิดหน้าขึ้น
“เมื่อกี้พี่วิสไม่ได้ตั้งใจนะ พี่แค่อยากจะชมว่าเราสวยต่างหาก ถ้าคนสวยไม่พอใจพี่ขอโทษด้วยนะ”
“จะพอใจกว่านี้ถ้าไม่มายุ่งกับข้า โน้น ๆ เพื่อนเจ้าเรียกแล้วกลับไปเต้นเถอะ ข้าจะไปตามทางของข้า” ผีสาวบัวตองโบกมือไล่พลางบุ้ยใบ้ไปหน้าเวที
“พี่วิสอยากรู้จักเราน่ะ พี่ขอโทษจริง ๆ นะ อะอ้าว…แม่นางฟ้าเหาะหนีไปซะแล้ว” ประวิทย์หรือเอลวิสเดินคอตกกลับไปหาเพื่อนร่วมก๊วนด้วยจิตใจห่อเหี่ยว
นี่คือเหตุผลที่เจ้าแม่ต้นไทรมาตามติดกริมริปเปอร์ตั้งแต่บ่ายจนถึงช่วงค่ำ
เวลา 19:00 น. ที่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัย
“ยะ แย่แล้ว นี่เราลืมสมุดโน้ตที่มีลายเซ็นแบมแบมไว้ที่…ยัยแตมเอ๊ย! เธอก็รู้ว่าชั้นนั้นมีผี” เฌอรินทร์แทบอยากจะฟาดมือตัวเองให้หักไปซะ หลังนึกขึ้นได้ว่าลืมของสำคัญไว้ที่ห้องเรียนชั้น 13 เพราะข่าวลือเรื่องลึกลับเลยทำให้ชั้น 13 ไม่มีการเรียนการสอนหลัง 6 โมงเย็นมาระยะหนึ่งแล้ว
“ทำไงดีวะเรา รอถึงวันพรุ่งนี้ก็เสี่ยงจะหายอีก คงต้องหาใครสักคนขึ้นไปเป็นเพื่อนสินะ” เหมือนฟ้ามาโปรดให้เธอเห็นเพื่อนนิสิตที่น่าจะพึ่งพาได้ออกมาจากศูนย์กีฬาฯ
“เออ…เธอ เธอคนนั้นน่ะ เรารบกวนหน่อยสิ คือเราลืมของ…ห๊า! ว้าย…” แต่โดนฟ้ากลั่นแกล้งเข้าจนได้ เฌอรินทร์ปากเหวอไปทันใด
“ทำหน้าอย่างกะเห็นผีไปได้นะเฌอแตม” ร่างสูงดูแข็งแรงขึ้นอย่างผิดดูผิดตาพูดเสียงเรียบนิ่งโดยมีผีสาวบัวตองโผล่มาจากด้านหลัง
อยากเจอผีเหรอ…เข้าไปที่สระว่ายน้ำสิ มีเป็นขโยงเลย!