“ตกใจที่เป็นนายนั่นแหละอิคคิว เห้อ! เวลาคับขันเจอแต่พวกไม่ได้เรื่อง” เฌอรินทร์บ่นอุบอิบอย่างไม่ได้ดั่งใจทำให้คนที่กำลังจะกลับบ้านกลายเป็นคนไร้ประโยชน์แบบงง ๆ
เกิดเป็นไอ้ลูกเจี๊ยบอาภัพนี่ทำอะไรก็ผิด…หายใจก็ผิด กะพริบตาก็ผิด ถ้าผายลมก็คงถูกลากไปโบยจนสลบเป็นแน่
“แหม ๆ นังเด็กนี่ปากดีนักนะ เค้าน่าจะบีบคอมันสักที” ร่างโปร่งแสงที่ตามติดธามไทมาทั้งวันออกอาการไม่พอใจที่เฌอรินทร์มาว่าพ่อเทพบุตรของหล่อน
“งั้นคิวขอตัวนะ จะได้ไม่รกหูรกตาแตมอีก” พอหันหลังให้ก็โดนดึงแขนไว้เสียก่อน
“เอ่อ เดี๋ยว เดี๋ยวก่อนสิ ไหน ๆ ก็เจอกันแล้ว คิวช่วยมาเป็นเพื่อนแตมหน่อยสิ คือแตมลืมของไว้น่ะ” ร่างเล็กพยายามไม่สบตากับอีกฝ่าย
“แล้วแตมไปลืมไว้ที่ไหนล่ะ”
“เอ่อ…ที่ห้องเรียนชั้นสิบสามน่ะ” เอ่ยถึงชั้น 13 ปุ๊บขนแขนก็ลุกซู่ปั๊บ
“ชั้นสิบสามงั้นเหรอ” ธามไทปรายตามองไปยังอาคารคณะฯ สูงตระหง่านในความสลัวช่วงหัวค่ำ เห็นได้ชัดว่าชั้นที่ 13 นั้นมืดสนิททั้งที่ชั้นอื่น ๆ ยังมีการเรียนการสอนภาคค่ำอยู่
แม้เฌอรินทร์จะร้องขอความช่วยเหลือแต่ไม่ได้คาดหวังนักเพราะจิตใจคงปวกเปียกไม่ต่างจากร่างกายเท่าไหร่
เกินคาด…
“ก็ไปสิจะไปเลยมั้ยล่ะ” กริมริปเปอร์จะใช้โอกาสนี้กลับขึ้นไปรับพลังและเผชิญหน้ากับวิญญาณสิงสู่อีกครั้ง
“ไป ไป ไปสิ ไปเลยแล้วกัน เดี๋ยวมันจะค่ำกว่านี้” เฌอรินทร์เดินขาสั่นด้วยความตื่นเต้น ขณะมุ่งหน้าไปยังที่หมายโดยนึกไม่ถึงว่าธามไทจะตอบตกลง
“ห๊า! นี่ตัวจะไปจริงเหรอ มันไม่ใช่ธุระของตัวสักหน่อยนะ คุณแรพเปอร์กลับบ้านกับเค้าเถอะ” บัวตองพยายามยื้อยุดฉุดกระชากไม่ให้ธามไทตามไป (อาการติดผู้ชายจนเสียการเสียงานเลยใบ้หวยไม่แม่นก็เงี้ย)
“อย่าไปเลยคุณแรพเปอร์ ไปเดตกับบัวตองที่ป่าช้าวัดดอนดีกว่า วะ ว้าย!” มีบางสิ่งทำให้เจ้าแม่ต้นไทรที่อุทานด้วยความตกใจแล้วนิ่งชะงักไป “บ้าเอ๊ย! อุตส่าห์หลบได้ตั้งนาน”
ผู้ที่หล่อนพยายามหลบหน้ามายืนฉีกยิ้มหวานอยู่ตรงหน้าเฌอรินทร์ที่ค้างเป็นรูปปั้นไป
“ในที่สุดพี่วิสก็ได้เจอคนสวยแล้วสินะ” เจ้าพ่อเอลวิสลูบผมที่จัดทรงมาเป็นอย่างดีแล้วยักคิ้วข้างเดียวใส่
“คนสวยงั้นเหรอ…” กริมริปเปอร์เห็นท่าทางอมนุษย์ทั้งสองก็พอจะเดาเรื่องราวออก
เอาล่ะ ได้วิธีสลัดเจ้าแม่รุงรังนี้แล้ว
“ตัวเองอย่ามองเค้าแบบนั้นสิ เค้าไม่รู้จักเจ้าพ่อเพี้ยน ๆ ตนนี้นะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป” บัวตองทั้งโบกมือทั้งส่ายหน้าปฏิเสธ
“บัวตอง! ข้ามีธุระน่ะไว้เจอกันใหม่นะ” เขาจงใจเน้นย้ำชื่อหล่อน ตามคาดอมนุษย์ขี้เก๊กตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้นตรงข้ามกับบัวตองที่ปากยี้ใส่ ก่อนจะกลายร่างเป็นลูกไฟลอยหนีไปโดยมีเจ้าพ่อเอลวิสตามไปติด ๆ
เทวทูตแห่งความตายเป่าปากด้วยความโล่ง
ครู่ต่อมาทั้งสองก็มายืนเคียงกันที่หน้าลิฟต์ ต่างฝ่ายต่างเงียบใส่กันเพราะที่ผ่านมาเจอหน้ากันก็มีแต่จะจิกกัดตลอดเวลา ทว่าหนนี้มันต่างกันออกไป เฌอรินทร์ควรพูดคุยกับธามไทที่อุตส่าห์มีน้ำใจสักนิด
“เอ่อ…คิวเพิ่งว่ายน้ำเสร็จเหรอ”
“ใช่” เขากระชับสายสะพายบนบ่าประกอบคำพูด
ระหว่างนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก ทั้งสองแยกไปยืนกันคนละมุม คนหนึ่งเห็นเลข 13 บนแผงควบคุมก็กลืนน้ำลายลงคอด้วยความหวาดกลัว ส่วนอีกคนตาเป็นประกายวูบวาบจนอยากจะเหาะเลยด้วยซ้ำ
“หลังออกกำลังกายมันยังปกติดีใช่มั้ย แตมหมายถึงหัวใจพี่ไอติมน่ะ” เธอบุ้ยใบ้ไปที่กลางแผงอกของธามไท
“ปกติดีนะ คิวจะเช็คอัตราการเต้นของหัวใจบนนาฬิกาตลอดเวลา”
“ก็ดีนะคิวก็ดูแลตัวเองดี ๆ แล้วกัน คือแตมแค่ เอ่อ…เป็นห่วงน่ะ หมายถึงห่วงหัวใจพี่ติมหรอกนะ” อาจเพราะได้อยู่สองต่อสองกับธามไทร่างใหม่ที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก เฌอรินทร์เลยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
“วันหลังถ้าเป็นห่วงก็บอกคิวดี ๆ สิ…” พูดไม่ทันขาดคำลิฟต์ก็มาถึงชั้น 13 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บรรยากาศในคืนเดือนมืดทำให้ชั้น 13 ดูวังเวงเงียบสงัดแตกต่างจากช่วงกลางวันโดยสิ้นเชิง ระเบียงทางเดินที่จอแจกลับมืดสนิทมีแต่แสงไฟจากลิฟต์ส่องให้เห็นเป็นวงแคบ ๆ เท่านั้น แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าไม่ใช่ความมืดสลัวหรือเรื่องสยองขวัญ
‘ไม่มี! มันจะเป็นไปได้ยังไง เกิดอะไรขึ้นกับตัวข้า’ กริมริปเปอร์ไม่ได้กลิ่นสาปของอมนุษย์อย่างที่ควรจะเป็น
“เรารีบไปกันเถอะคิว มันน่าจะอยู่ห้อง…ห้องก่อนถึงห้องที่อยู่ริมสุดน่ะ” เพื่อนสาวเสียงสั่นครือเพราะมันอยู่ข้างห้องที่ว่ากันว่ามีผีผู้หญิงหายตัวเข้าไป
“ห้องริมสุดเหรอ งั้นรีบไปกันเดี๋ยวนี้เลย” ธามไทใช้ไฟฉายจากโทรศัพท์นำทางเดินอาด ๆ ฝ่าความมืด โดยมีเฌอรินทร์เดินตามหลังไปติด ๆ ทันใดนั้นร่างสูงก็หยุดเดินกะทันหันจนคนข้างหลังชนตุ๊บเข้าอย่างจัง เขารีบดึงร่างเล็กให้ไปหลบหลังเสาที่อยู่ใกล้กัน
“ทะ ทำ อะไร อุ๊ปส์” ธามไทเอามือปิดปากเธอแล้วปรายตาบุ้ยใบ้ไปที่ระเบียงทางเดินพลางขยับปากเป็นคำว่า
‘เห็นอย่างที่เห็นหรือเปล่า’
เฌอรินทร์กลืนน้ำลาย เหลือบมองแค่ปราดเดียวก็ทำเอาแทบสิ้นสติ
ผู้หญิงสวมชุดนิสิตก้มหน้าผมยาวรุงรังปรากฏตัวที่กลางทางเดิน ท่ามกลางความมืดมิดของคืนเดือนดับพร้อมเสียงสะอื้นไห้แว่วมากระทบโสตประสาทของทั้งสองคน
ฮือ~ช่วย~เรา~ด้วย~ฮือ~ช่วย~เรา~ด้วย
ยมทูตในร่างมนุษย์เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ครั้นจะแสดงตัวแล้วตวัดเคียวขู่ก็คงจะไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เฌอรินทร์ตัวสั่นเหมือนลูกนกกำลังกอดรัดแขนธามไทแน่นด้วยหวาดกลัวจนถึงขีดสุดเพราะเสียงโหยหวนประชิดเข้ามาเรื่อย ๆ
ช่วยด้วย~ช่วยด้วย~ช่วยเราที~ฮือ
จู่ ๆ เสียงก็เงียบลง
ธามไทชะโงกหน้ามองก็เห็นผีตนนั้นหันหลังย่างช้า ๆ เร้นกายไปในความมืด หากเป็นคนทั่วไปโดนหลอกขนาดนี้คงวิ่งหนีป่าราบไปแล้ว กริมริปเปอร์ในร่างมนุษย์กระโดดจากที่ซ่อน ส่งเสียงตวาดไล่หลัง
“เผยตัวตนออกมาเดี๋ยวนี้ ไอ้สัมภเวสีชั้นต่ำ!” ดวงตาธามไทเปลี่ยนเป็นสีโลหิต มีเปลวเพลิงสีดำดุจความตายแผ่ออกมาจากร่างและอย่างคิดไว้ผีตนนั้นวิ่งเข้าไปในห้องเรียนที่อยู่สุดทางเดินจริง
“คิดว่าจะหนีข้าพ้นเหรอ!”
ในช่วงไม่กี่วินาทีเฌอรินทร์นั่งหลับตาปี๋อยู่หลังเสาได้ยินทั้งเสียงตวาดลั่น เสียงฝีเท้าหนัก ๆ เสียงโครมครามเหมือนมีอะไรร่วงลงพื้น รวมถึงเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดผสมปนเปจนฟังไม่ได้ศัพท์ในทีแรก
กรี๊ดดดดดดดด
“อย่าทำเรา…อย่าทำเรา เรายอมแล้ว! เรายอมแล้ว! โอ๊ย! เราเจ็บ โอ๊ย~ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ที!”
ทำไมผีถึงอยากไปโรงพยาบาลมากกว่าไปวัดซะอย่างงั้น?!