“ละเว้น? ด้วยเหตุอันใดหรือพระโพธิสัตว์” เทพกวนอูประสานมือมาด้านหน้าแล้วค้อมหลังคารวะอย่างนอบน้อมก่อนตั้งคำถามสำคัญ
“เทวฑูตตนนี้มิได้กล่าวปดมดเท็จ ท่านก็รับรู้ได้มิใช่หรือเทพแห่งความซื่อสัตย์”
“ข้ารับรู้ได้ มันเป็นภูตผีที่มีกลิ่นไอความตายรุนแรงเหลือเกิน ข้าเพียงจะขจัดสิ่งอัปมงคลจากเรือนแห่งนี้ มิได้กระทำเกินเหตุอันใดเลย…” เทพกวนอูพูดยังไม่จบ
“ข้ามิใช่ภูตผีชั้นต่ำ ข้าคือเทวฑูตต่างหาก…” กริมริปเปอร์ผู้ทนงตนแทรกขึ้นกลางคัน พระโพธิสัตว์โปรยยิ้มนุ่มนวล ส่ายหน้าช้า ๆ ไปทางเทพแห่งความซื่อสัตย์ที่กำลังขึงตาให้อารมณ์เย็นลง
“ความตายคือสิ่งที่มนุษย์ต้องประสบพบเจอ มิใช่สิ่งอัปมงคลแต่อย่างใดเลยท่านกวนอู ส่วนผู้มาเยือนท่านนี้อาตมาทราบแล้วว่าท่านมิได้มีเจตนาร้าย แต่ช่วยบอกเหตุผลที่แท้จริงที่มาสิงสู่ร่างพ่อหนุ่มคนนี้ให้ฟังได้หรือไม่”
“ไม่ใช่ธุระกงการที่ข้าต้องบอก…”
นอกจากปากแข็งแล้วยังจะยอกย้อนเสียมารยาทจนทำให้คู่กรณีเดือดดาลอีกรอบ
“ไอ้ตาแดงนี่สามหาวยิ่งนัก กล้าดีอย่างไรต่อล้อต่อเถียงกับพระโพธิสัตว์”
“มิเป็นไรดอกท่านกวนอู สายลมลูบคมหินนานวันหินยังเกลี้ยงเกลาได้ ความเหย่อหยิ่งก็ขัดเกลาได้เช่นกัน” เทพผู้เปี่ยมเมตตาไม่ถือโทษโกรธซ้ำยังเปรียบเปรยความเป็นไปของโลกกับนิสัยใจคอได้เฉียบคม ก่อนจะหันมาพูดกับกริมริปเปอร์อีกครั้ง
“ส่วนท่านผู้ห่มอาภรณ์สีกาฬ…” แต่…ยังไม่วายโดนขัดอีก
“กริมริปเปอร์ ข้ามีนามว่ากริมริปเปอร์ แต่จะบอกไว้อีกอย่าง ข้าไม่ได้ทำลายดวงวิญญาณเพื่อแย่งร่างของไอ้หมอนี้”
“อาตมาเข้าใจแล้วท่านกิม หากวันนี้ท่านยังมิเปิดใจรับก็มิเป็นไรไป กาลเวลาจะเปลี่ยนตัวท่านเอง แต่ในระหว่างนี้โปรดละเว้นการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ละเว้นการก่อกรรมทำเข็ญหรือสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายต่าง ๆ ถือว่าอาตมาขอบิณฑบาตก็แล้วกันนะ”
“ข้าไม่รู้ว่าบิณฑบาตคืออะไร แต่ข้าจะอยู่ส่วนของข้าก็แล้วกันนะเทวฑูตผู้ห่มอาภรณ์สีขาว” จนแล้วจนรอดยมฑูตก็ไม่ยอมเรียกนามใครอื่นอยู่ดี พระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจพลางสบัดกิ่งหลิวเหนือซากเคียวที่แตกเป็นเสี่ยงให้กลับมาอยู่ในสภาพสมบูรณ์ตามเดิม
แต่ไม่มีคำขอบคุณหรือซาบซึ้งในน้ำใจสักคำเดียว
เทพกวนอูทำความเคารพแล้วขอตัวจากพระโพธิสัตว์อย่างนอบน้อมก็ไม่วายมองเขม่นกับแขกไม่ได้รับเชิญก่อนหายตัวไป
“ท่านทวารบาลเอ๋ย อนุญาตให้ท่านกิมข้ามธรณีประตูไปเถิด” พูดจบ ชายชราหลังงุ้มสองตนก็ปรากฏกายในท่าคุกเข่าคำนับกับพื้น
“ข้าน้อยทั้งสองน้อมรับคำพระโพธิสัตว์ อัญเชิญท่านกิม” ทวารบาลแสดงความอ่อนน้อมต่อกริมริปเปอร์ตามหน้าที่ แต่แอบปลายหางตาและเบ้ปากส่งภาษากายที่รับรู้ซึ่งกันและกัน
“แค่นี้ก็สิ้นเรื่อง หึ!” ทันทีที่ผู้มาเยือนกลับเข้าร่างธามไท เวลาของมิติมนุษย์ก็ไหลตามปกติ สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าคืออาหญิงห้ามไม่ให้แม่ของเขาเข้ามาหา
“ปล่อยเจ๊สิบุ้ง เจ๊จะไปดูเจ้าคิว”
“นั่นไม่ใช่ลูกเจ๊สักหน่อย ดูสิ…มันผ่านเข้ามาได้ซะที่ไหนเพราะบุ้งติดยันต์กันผีกับกระพวนสกัดวิญญาณไว้เหนือประตูไง ลูกเจ๊กับเฮียตายไปแล้วต่างหาก นั่นน่ะผีเร่ร่อนมาสิงสู่…ได้ยินมั้ยกระพวนสั่นไม่หยุดเลย” ศิรินญาหันโทรศัพท์ไปทางร่างสูงที่ยืนอยู่นอกบ้านสลับกับพี่สะใภ้และพี่ชายที่กำลังโกรธจัด
“ปากอัปมงคลไม่เปลี่ยนเลยนะบุ้ง เฮียรู้ว่าบุ้งไม่ชอบอิคคิวแต่นี่มันเกินไปแล้วนะถึงกับสาปแช่งหลานเลยเหรอ” วรพลปรี่ออกไปโดยไม่สนคำเตือนเพ้อเจ้อ
ธามไทฟังเรื่องราวมาได้สักพักก็เกิดนึกสนุกขึ้นมาจึงทรุดเข่าลงกับพื้น งุดหน้าคอตกแสร้งว่าวิญญาณออกจากร่าง เมื่อศิรินญาได้เห็นดังนั้นก็โห่ร้องดั่งผู้มีชัยขึ้นมา
“ดูสิเฮีย ผี ผี ผีมันออกจากร่างแล้ว เฮียออกมาห่าง ๆ ระวังผีเข้านะ”
“เหลวไหลน่ะ เฮียประคองลูกหน่อย ลูกต้องเป็นลมแน่ ๆ” สุรีย์พรสะบัดแขนจนหลุดแล้ววิ่งไปสมทบกับสามีที่ย่อตัวลงของบุตรชาย
“คิวเป็นอะไรลได้ยินป๊ามั้ย”
ทันใดนั้นคนงุดหน้าคอตกก็เงยหน้าทำตาโตเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เจอแล้วหาตั้งนาน” เขาคีบบางอย่างที่เล็กจิ๋วมาก ๆ ด้วยปลายนิ้ว
“อะไรน่ะ” วรพลขมวดคิ้วหรี่ตาแล้วพยัดพเยิดถาม
“ชิ้นส่วนจากยานเอ็นเตอร์ไพรส์ครับป๊า ไอ้เปอร์บ่นหามาหลายอาทิตย์แล้ว ที่แท้ก็ตกอยู่ในร่องกระเบื้องนี่เอง” ในความทรงจำก็คือน้องชายเดินหาทั่วบ้านจนท้อและทำใจไปแล้ว
“ปัดโธ่! คิวอย่าทำให้ม้าตกใจสิ ม้าก็นึกว่าคิววูบอีกรอบ โอ๊ย!ใจจะวาย งั้นเข้าบ้านไปหาอาเหล่าม่ากันเถอะ ป่านนี้แกนั่งไม่ติดเก้าอี้แล้วมั้ง” ทั้งสามคนพากันเดินผ่านประตูจุดสกัดวิญญาณเข้ามาโดยไม่ชายตามองคนหน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บที่ยืนขาแข็งอยู่หลายนาที
พอได้สติก็หัวฟัดหัวเหวี่ยงไปปิดประตูแล้วเดินหายเข้าห้องไป
ทว่ากระพวนที่แขวนอยู่กลับส่งเสียงไม่หยุด…ทั้งที่ไม่มีลมพัดสักวูบเดียว
มื้อเย็นวันนั้นสมาชิกครอบครัวทั้ง 13 คนพร้อมหน้ากันบนโต๊ะอาหาร คนที่จะยิ้มแย้มแจ่มใสมากเป็นพิเศษเห็นจะเป็นอาเหล่าม่า ยิ่งดีใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นเหลนคนโปรดเจริญอาหารมากเป็นพิเศษจนกินปลาเต๋าเต้ยนึ่งซีอิ๊วที่เตรียมไว้ให้ 3 ตัวจนหมดเกลี้ยงและทานข้าวอีกหลายจาน
ทุกคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติของคนเพิ่งหายป่วย
ระหว่างที่คนอื่นคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย แต่ไม่มีประเด็นหน้าแตกเมื่อกลางวัน ศิรินญาทานข้าวเงียบ ๆ ลอบชำเลืองมองธามไทเป็นระยะจนอดคิดในใจไม่ได้
‘นี่ไปตายอดตายอยากมาจากไหน กินเหมือนคนไม่เคยกิน ทุกคนเป็นอะไรกันไปหมดไม่สงสัยกันบ้างเลยหรือไง’
ทันใดนั้นเอง
“โกบุ้งครับ” หลายชายสุดที่รักเรียกหาหลังกินจนอิ่มแปล้ เจ้าของชื่อไม่ขานรับแต่หันมองนิ่ง ๆ แทน
“ขอบคุณที่ช่วยเป็นธุระไปซื้อปลาเต๋าเต้ยมาให้นะครับ คิวซาบซึ้งในน้ำใจของโกบุ้งมากเลยครับ” ธามไทคลี่ยิ้มน่าเอ็นดูส่งท้ายคำขอบคุณซึ่งทำตามคำแนะนำของพ่อทุกกระเบียดนิ้ว
“อืม” อาหญิงส่งเสียงหวนสั้นพยักหน้ารับแบบส่ง ๆ แล้วหันกินข้าวต่อ
“อาคิวมารยาทดีเสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ” ญาติผู้ใหญ่เอ่ยปากชมกลางวง ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกัน
ความจริงแล้ว...สิ่งที่ทำให้กริมริปเปอร์รู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากเป็นพิเศษก็คือเลข 13 หมายถึงทุกสรรพสิ่งที่มีผลรวมเท่ากับ 13 หรือตัวเลข 13 ตามที่ต่าง ๆ รวมถึงสถานที่อาถรรพ์ สุสานและพื้นที่เกี่ยวกับความเ็นความตายทั้งหลายคือเป็นแหล่งพลังชั้นยอด หากเป็นเช่นนี้การฟื้นฟูพลังอาจเร็วกว่าที่คาดไว้เพราะบ้านหลังนี้มีสมาชิก 13 คน
'อีกไม่นานข้าจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ข้าจะกลับไปขยี้ไอ้เทวดาปลายแถวนั้นเสีย!'
ช่วงเดียวกันแอปฯ เอ็กซ์บนโทรศัพท์ธามไทก็เด้งแจ้งของหัวข้อประเด็นร้อนแรง ข่าวความอาถรรพ์ของอาคารเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ชั้น 13 ในช่วงหัวค่ำ
มีคนเห็นนิสิตหญิงเดินเข้าห้องเรียนแล้วหายตัวไป…