"เห็นคนที่กำลังจะตาย แต่ไม่ช่วยด้วยความที่ตนเองก็พอมีความรู้ในเรื่องของการรักษา ข้าทำไม่ลงที่จะทนมองดูเฉยๆ ดูคนที่กำลังจะตายไปต่อหน้า เหตุผลของข้ามีเพียงเท่านั้นจริงๆ เจ้าค่ะ"
ในขณะที่ตอบออกไปนั้นหยางซือเซียน ก็อดที่จะปรายตามองไปทาง เหล่าลูกศิษย์และอาจารย์ของสำนักจิวฝูอย่างอดตำหนิมิได้
เมื่อท่านหมอเทวดาฝู เห็นสายตาของหยางซือเซียน เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่านางรู้สึกเช่นไร เพราะเขาก็รู้สึกไม่ต่างกัน เขาให้รู้สึกผิดหวังกับบรรดาคนร่วมสำนักของตนเองมิได้ ที่เห็นแก่อำนาจมากกว่าชีวิตคนเป็นสำคัญ
"ถึงอย่างไรวันนี้ท่านหมอเทวดาก็ได้มาอยู่ที่ตรงนี้แล้ว หากไม่เป็นการรบกวน ท่านหมอเทวดาฝูมากจนเกินไป ข้าน้อยใคร่ขอรบกวนให้ท่านหมอ ช่วยตรวจดูอาการของบุรุษผู้นี้อีกสักครั้งจะได้หรือไม่ ด้วยข้าน้อยนั้น มีความรู้ในเรื่องของการรักษาอาการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย หากได้ท่านหมอช่วยตรวจสอบดูอีกที คงถือว่าเป็นวาสนาของบุรุษผู้นี้แล้ว"
ไป๋เยว่ชิงกล่าวออกไปอย่างนอบน้อมเนื่องด้วยเธอต้องการที่จะทราบถึงฝีมือของผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอเทวดาในยุคนี้เช่นกัน
"หากพวกเจ้าทั้งสองคนถือว่ามีความรู้แค่เพียงเล็กน้อย หากนับพวกเจ้าเป็นอันดับสองคงมิมีผู้ใดในแคว้นนี้กล้าเรียกตนเองว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถอันดับหนึ่งกระมัง"
"ท่านหมอเทวดาฝูกล่าวเกินไปแล้ว ข้าน้อยนั้น มีความรู้แค่เพียงการรักษาดูแลบาดแผลเบื้องต้นก็เท่านั้น แต่ความรู้ในเรื่องอื่นนั้นถือว่ายังมีน้อยนักเมื่อเทียบกับท่านอาจารย์ท่านอื่นๆ "
"ดี! รู้จักฉลาดถ่อมตน ข้าชอบคนเช่นนี้นัก หากข้าจะขอให้พวกเจ้ามาเป็นศิษย์ของข้า พวกเจ้าจะยินดีคารวะข้าเป็นอาจารย์หรือไม่"
เมื่อถ้อยคำนี้กล่าวมาจาก หมอเทวดาฝูก็ได้สร้างความตกตะลึงให้กับผู้คนที่อยู่ ภายในห้องโถงของสำนักจิวฝูเป็นอย่างมากเนื่องด้วยทุกคนทราบดีว่า ท่านหมอเทวดาฝูนั้น มิเคยรับผู้ใดเป็นลูกศิษย์มาก่อน ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนมากมาย ต้องการเป็นศิษย์ของท่านหมอเทวดาผู้นี้ แต่เขาก็ไม่เคยรับลูกศิษย์ลูกหาเป็นของตนเสียที เนื่องด้วยว่ายังไม่พบผู้ที่ถูกใจ
แต่ถ้อยคำที่พวกเขาได้ยินเมื่อสักครู่นี้เล่า ท่านหมอเทวดาฝูถึงขนาดเอ่ยปากเชิญสตรีสองคนตรงหน้า ไปเป็นลูกศิษย์ด้วยตัวเอง โดยที่พวกนางมิได้ร้องขอเช่นนั้นหรือ มันจะเป็นไปได้อย่างไร นี่พวกเขาหูฝาดไปใช่หรือไม่
มิเพียงแต่ผู้คนในห้องโถงนี้เท่านั้นที่ตกใจ แม้แต่สองสตรีตัวน้อยทั้งสองคน หลังจากที่ได้ยินคำกล่าวนั้น ก็มีอาการไม่ต่างกันเช่นเดียวกัน
'เฮ้ยแม่! หนูไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม มันง่ายขนาดนี้เลยหรอ นี่หนูยังไม่ได้โชว์ความสามารถเทพแบบอื่นให้ได้ดูเลยนะ'
"ว่าอย่างไรข้าให้เวลาพวกเจ้าไปคิดดูก่อนก็ได้ แล้วค่อยมาให้คำตอบกับข้าทีหลัง"
เมื่อเห็นว่าสตรีตัวน้อยทั้งสองคนไม่ตอบรับหรือปฏิเสธตนเสียที ท่านหมอเทวดาฝูจึงอดที่จะกังวลไม่ได้ กลัวว่าสตรีตัวน้อยทั้งสองคนจะไม่ยอมรับตนเองเป็นอาจารย์
เขาให้ถูกใจสตรีตัวน้อยทั้งสองคนนี้ยิ่งนัก ดูอย่างไรก็ไม่ขัดตา ทั้งกิริยาท่าทางและความรู้ที่นางมี ถือว่ามิน้อยเลย หากเขาได้พวกนางทั้งสองคนมาเป็นลูกศิษย์ เพื่อถ่ายทอดความรู้ความสามารถที่ตนมี เพียงเท่านั้นก็ถือว่าเขาได้นอนตายตาหลับแล้ว
"ข้าตกลงเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์เจ้าค่ะ"
สตรีตัวน้อยทั้งสองคนกล่าวออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
"ดี! ดี! ดี! ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องมากพิธียกน้ำชามาคารวะข้าเป็นอาจารย์เสียตั้งแต่ตอนนี้เลย"
"ห๊า ตอนนี้เลยหรือเจ้าคะ"
"ใช่! จะรอช้าให้เสียเวลาทำไมเล่า ไปๆ พวกเจ้าไปยกน้ำชามาคารวะข้าเป็นอาจารย์ได้แล้ว"
ทั้งไป๋เยว่ชิงและหยางซือเซียนได้แต่งุนงงเป็นอย่างมากกับเหตุ การณ์ที่เกิดขึ้น เหตุใดมันถึงได้ง่ายดายเช่นนี้เล่า ท่านหมอเทวดาฝูทำเหมือนอย่างกับกลัวว่าจะมีผู้ใดมาแย่งพวกนางไปเสียอย่างนั้น บทจะง่ายก็ง่าย จนพวกนางตั้งตัวแทบจะไม่ทันเลยทีเดียวเชียว
เมื่อเสร็จสิ้นพิธีคารวะอาจารย์แล้ว สตรีตัวน้อยทั้งสองคน ก็ได้ขออนุญาตท่านหมอเทวดาฝู ที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นอาจารย์ของตนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มาเก็บของและสัมภาระที่จำเป็นที่ต้องใช้ในสำนัก ก่อนที่จะเข้าไปศึกษาในสำนัก แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกนางต้องการที่จะพูดคุยในสิ่งที่ค้างคาใจของทั้งสองคนเสียมากกว่า
เมื่อได้อยู่กันตามลำพัง ทั้งสองคนจึงไม่รอช้ารีบถามในสิ่งที่ตนเองข้องใจออกไปแทบจะในทันที
"แท้จริงแล้วเจ้าคือผู้ใดกันแน่" ไป๋เยว่ชิงเอ่ยถามออกมาก่อน
"ข้ามีนามอีกนานหนึ่งว่า 'ณัฐริกา' หรือจะเรียกข้าสั้นๆ ว่า 'จูน' ข้าเป็นชาวไทกั๋ว ข้ามาจากยุค 2020 แล้วตัวเจ้าเล่า"
ในขณะที่ตอบออกไปนั้นหยางซือเซียนก็ไม่ได้สังเกตพฤติกรรมของสตรีตรงหน้า ที่ตอนนี้ดวงตาแดงก่ำและเนื้อตัวสั่นเทาไปด้วยความดีใจ
"อีจูน นี่กูเอง 'ฟ้าใส' กูคิดว่าจะไม่ได้เจอมึงอีกแล้ว ในที่สุดสวรรค์ก็ไม่ได้ส่งกูมาที่โลกที่แปลกประหลาดนี้คนเดียว ดีจริงๆ ที่สวรรค์เมตตาส่งมึงมาให้กูด้วย"
ในขณะที่ตอบออกไปนั้นไป๋เยว่ชิงก็โผเข้าไปกอดเพื่อนรัก จนสตรีอีกคนซวนเซไปหลายก้าวด้วยตั้งตัวไม่ทัน แต่เมื่อได้ยินว่าผู้ที่เข้ามา กอดตนนั้นเป็นผู้ใด หยางซือเซียนก็ให้ตกใจแทบจะไม่เชื่อหูตนเอง
"อีฟ้านี่มึงหรอ นี่กูหนีมาไกลขนาดนี้สวรรค์ยังส่งเพื่อนจัญไรอย่างมึงตามกูมาอีกหรอ"
"เอ๊าอีนี่ พูดอย่างนี้เดี๋ยวกูตบปากแตกเลย"
"แต่เดี๋ยวก่อนนะ ทำไมมึงถึงไปอยู่ในร่างของผู้หญิงที่สวยล่มบ้านล่มเมืองถึงขนาดนี้ แถมยังโตเป็นสาวแล้วด้วย นี่มึงอายุเท่าไหร่กัน"
เมื่อได้ฟังคำกล่าวของเพื่อนสนิทของตนเช่นนั้น หยางซือเซียนก็อดที่จะสำรวจสตรีตรงหน้าของตนเองไม่ได้ เหตุใดเพื่อนสนิทของเธอจึงไปอยู่ในร่างของเด็กสาวที่ดูยังไงๆ ก็เหมือนกับบุรุษเช่นนั้นเล่า
"อันเรื่องแข่งบุญแข่งวาสนา ข้าเกรงว่าวาสนาของแม่นางนั้นคงจะสู้ข้าไม่ได้เสียแล้ว ดูจากสิ่งที่แม่นางเห็นอยู่ตรงหน้านี้เสียเถิด ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
"หนอย อีจูน มึงอย่าให้กูสวยบ้างก็แล้วกัน มึงจะเอาอะไรนักหนากับเด็กอายุแค่ 13 คอยดูเถอะ ถ้ากูโตขึ้นมานะกูจะสวยกว่ามึงอีก มึงคอยดูไว้เลย"
"เออกูจะคอยดู อีแผ่นกระดานโต้คลื่น กูละสะใจจริงๆ ชาติที่แล้ว มึงเป็นถึงดาวมหาลัย ทรวดทรงองค์เอวหน้าอกหน้าใจมึงมาทุกอย่าง มึงด่าแต่กูว่ากูเป็นแผ่นกระดานโต้คลื่น เป็นไงละมึงเจอกับตัวเอง นี่แหละเขาเรียกว่าบาปกรรม สมน้ำหน้ามึง"
"เออมึงจบประเด็นเรื่องของกูจะได้ไหม พูดถึงเรื่องกูทีไร กูแทบอยากจะเอาเชือกไปผูกคอตายใต้ต้นมะเขือให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะที หลังจากนี้กูกับมึงจะต้องมาทำข้อตกลงกัน เวลาพูดคุยกันจะต้องให้ติดเป็นนิสัย เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม มึงเข้าใจไหม หลังจากนี้จะไม่มีผู้หญิงที่ชื่อจูนและฟ้าใส หลังจากนี้คำเรียกแทนกูกับมึงก็คือไป๋เยว่ชิงและหยางซือเซียนเท่านั้นเข้าใจไหม และมึงช่วยเล่าเรื่องราวของมึงให้กูฟังหน่อยสิว่าเป็นมายังไง มึงถึงได้ไปตกอยู่ในร่างของผู้หญิงคนนี้ได้"