เซี่ยห้าวไห่ส่ายหน้าให้บ้านรองเซี่ยที่เดินจากไปอย่างไม่พอใจ ครั้งนี้ถือว่าเขาเตือนไป หากบ้านรองเซี่ยยังเข้ามายุ่งกับบ้านของเขาอีก เห็นทีต้องได้เรียกผู้อาวุโสรวมจริง ๆ ที่อาสะใภ้ยังเกรงใจเขาอยู่เพราะหากตำแหน่งผู้นำสกุลไม่ใช่ของลูกชายนาง อำนาจของนางที่เคยมีในสกุลก็จะไม่เหลือ
“ท่านพ่อเจ้าค่ะ! เงินพวกนี้อย่ายกให้พวกเขานะเจ้าคะ” เซี่ยซูเหยาเอ่ยขึ้นอย่างกังวล นางกลัวว่าเซี่ยห้าวไห่จะลังเล
“ไม่ให้ ๆ พ่อไม่พวกเขาหรอก อาเหยาอยากให้พี่ชายรองได้ร่ำเรียนนี่” เซี่ยห้าวไห่กล่าวยิ้ม ๆ เรื่องนี้ลูกสาวคนโตของเขามาปรึกษาแล้ว เหลือเพียงคุยกับเซี่ยซูเหยียนเท่านั้น มันก็คงถึงเวลาจริง ๆ ที่เขาจะทำเพื่อครอบครัวไม่ใช่สกุลเซี่ย
“ท่านพ่อรู้?”
เซี่ยซูเหยาชะงัก นางลองคุยแค่เซี่ยซูเหยียน เซี่ยซูเจี๋ยยังไม่ได้คุย ทว่านางคิดว่าเซี่ยซูเจี๋ยคงได้ยินตอนที่นางสนทนากับเซี่ยซูเหยียน ส่วนบิดานางยังไม่ได้คุย คิดว่ารอให้ที่บ้านมีเงินอีกหน่อย
“พ่อรู้แล้ว ไม่อย่างนั้นพ่อจะตกลงค้าขายหรือ” เซี่ยห้าวไห่ยอมรับว่าเขาลำเอียงรักลูกสาวคนเล็กที่มีใบหน้าเหมือนภรรยามากกว่าลูกอีกสองคน ทว่าอีกสองคนเขาก็รักไม่ต่างกัน ตอนที่เซี่ยซูเจี๋ยมาบอกเรื่องที่เซี่ยซูเหยาอยากให้เซี่ยซูเหยียนได้เรียนหนังสือเหมือนญาติผู้พี่เขาก็เก็บเอาไปคิด
ระหว่างที่เซี่ยซูเหยากำลังจะตอบ เซี่ยซูเจี๋ยกับเซี่ยซูเหยียนก็นำอาหารมาตั้งโต๊ะพอดี เซี่ยซูเหยาจึงเงียบปากเหมือนเดิมแล้วหันมาสนใจอาหารมื้อกลางวันแทน
“คุยอันใดกันหรือ” เป็นเซี่ยซูเจี๋ยที่เอ่ยถาม
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” เซี่ยซูเหยาส่ายหน้า
“มา ๆ จะได้ไปเตรียมของกันต่อ” เซี่ยห้าวไห่เรียกลูกสาวมารับประทานอาหาร หลังจากนั้นจะได้ไปเตรียมของไว้ขายพรุ่งนี้
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากรับประทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จเซี่ยห้าวไห่กับเซี่ยซูเหยียนก็พากันเข้าป่า ทั้งคู่จะไปจับปลาและล่าสัตว์กลับมาสักหน่อย อย่างน้อยได้กลับมาสักตัวก็ยังดี อีกทั้งของที่ต้องเตรียมก็ไม่ต้องใช้แรงมาก
เซี่ยซูเหยาจับกุ้งที่จะนำมาทำข้าวไข่ตุ๋นพรุ่งนี้แยกออกจากตัวที่ขังรวมไว้ จากนั้นนำไปขังในถังใหม่อีกใบเพื่อให้แน่ใจว่ามันคายดินแล้วจริง ๆ
ช่วงบ่ายแดดยังแรงอยู่เซี่ยซูเหยากลัวว่าหากนางนำกุ้งมาทำยามนี้ กว่าจะถึงเวลาทำข้าวไข่ตุ๋น กุ้งคงเน่าก่อน
เซี่ยซูเจี๋ยล้างท่อนไม้ไผ่ภาชนะที่ใส่ข้าวไข่ตุ๋นเก็บไว้ วันนี้น้องสาวของนางบอกจะทำเพิ่มอีกยี่สิบถ้วย นั่นก็คือข้าวไข่ตุ๋นผักห้าสิบถ้วย ข้าวไข่ตุ๋นกุ้งยี่สิบถ้วย วันแรกขายหมดวันต่อไปเราก็ต้องเพิ่มกำลังขายเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่น้องสาวบอก
ข้าวสารที่นำมาตุ๋นใส่ไข่เซี่ยซูเหยาคิดว่ามันน้อยไป ทว่าหากเพิ่มราคาชาวบ้านที่มีฐานะธรรมดาก็ยากที่จะซื้อ นางเลยวางแผนที่จะเพิ่มข้าวสารลงไปในไข่ตุ๋นอีก อีกทั้งยังจะขึ้นราคาเมื่อย้ายไปตลาดใหม่ ยามนี้คงต้องใช้สูตรเดิมไปก่อน
“อาเหยาช่วยเจ้าค่ะ” เซี่ยซูเหยาที่ขังกุ้งเตรียมเอาไว้เดินออกมาช่วยพี่สาว อันที่จริงเซี่ยซูเจี๋ยก็ล้างท่อนไม้ไผ่เสร็จหมดแล้ว เหลือที่กำลังจะตาก
“แดดแรงมาก อาเหยานั่งรอในร่มดีกว่า” เซี่ยซูเจี๋ยรีบส่ายหน้าปฏิเสธ วันนี้อากาศร้อนมากจริง ๆ นางจึงเป็นห่วงน้องสาว
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ช่วยกันเสร็จเร็วเราจะได้พัก”
นี่ก็แค่ข้ออ้างของนางที่เป็นห่วงพี่สาว เซี่ยซูเจี๋ยชอบทำตัวแข็งแรงเวลาอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว ทว่าเวลาเหนื่อยนางไม่ชอบบ่น
“จริงสิ พี่ได้คุยกับท่านพ่อแล้วเรื่องอาเหยียน หากเรามีเงินก็สามารถส่งเขาไปเรียนได้!” ดวงตาของเซี่ยซูเจี๋ยเปล่งประกาย ต่อไปนี้สองฝาแฝดสกุลเซี่ยจะได้ไม่ต้องมาอวดพวกนางอีก!
นางเข้าใจแล้ว ตอนแรกคิดว่าเป็นเซี่ยซูเหยียนที่บอกทว่าเซี่ยซูเหยียนไม่อยากเพิ่มภาระให้บิดา พี่สาวและน้องสาว เขาไม่ยอมบอกแน่ พอเซี่ยซูเจี๋ยบอกนางถึงเข้าใจได้ทันที
“พี่สาวอยากเรียนกับเหล่าอาจารย์เหมือนเซี่ยหลินยุ่นหรือไม่เจ้าคะ” หากส่งพี่ชายไปเรียนที่สำนักศึกษาของเมืองเฟิงได้แล้ว นางควรจะส่งที่สาวไปเรียนสิ่งที่สตรีพึงมีด้วย
“ไม่นะอาเหยา!” เซี่ยซูเจี๋ยรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
หากนางไปเรียนนางก็ต้องเข้าไปอยู่ในเมืองเหมือนคนอื่น ๆ ทว่านางไม่ต้องการห่างจากน้องสาวของนาง อีกทั้งยังสิ้นเปลืองเงินเปล่า ๆ สู้เก็บไว้ส่งให้เซี่ยซูเหยียนกับเก็บไว้แต่งภรรยาเขาดีกว่า
คำผู้ของเซี่ยซูเหยามีอิทธิพลต่อเซี่ยห้าวไห่มาก ต่อให้เซี่ยห้าวไห่ยังไม่ตัดสินใจ ทว่าขอเพียงเซี่ยซูหยาโน้มน้าวเขาก็ยอมทำทุกอย่าง
หากมารดาเสียชีวิตพี่สาวคนโตก็เปรียบเสมือน มารดาอีกคน ยิ่งเซี่ยซูเหยาที่ถูกเซี่ยซูเจี๋ยเลี้ยงมากับมือมีหรือจะไม่เข้าใจ
เซี่ยซูเหยาเริ่มโตและมีความคิดเป็นของตัวเองแล้ว เซี่ยซูเจี๋ยส่ายหน้าเบา ๆ ด้วยความเหนื่อยล้า พอตากท่อนไม้ไผ่เสร็จก็พาน้องสาวไปนั่งพัก
กลางยามโหย่ว สองพ่อลูกสกุลเซี่ยเดินออกจากป่าที่เข้าไปล่าสัตว์ ในมือของเซี่ยห้าวไห่มีไก่ฟ้าสองตัวที่ถูกมัดขาเพราะยังไม่ตาย ด้านหลังสะพายตะกร้าที่เต็มไปด้วยปลา ส่วนเซี่ยซูเหยียนในมือถือกระต่ายป่าสองตัวที่ตายแล้ว ด้านหลังสะพายตะกร้าที่มีกุ้งอยู่ครึ่งหนึ่ง
ไม่พอทั้งสองยังหามไม้ใส่บ่าที่มัดหมูป่าติดเอาไว้! หมูป่าเลยนะ! น้อยมากที่หากไปเพียงสองคนจะจับกลับมาได้ อย่างรอบที่แล้วขึ้นเขาไปล่าสัตว์ยังใช้จำนวนคนทั้งหมดเลย
“หมูป่า!”
ชาวบ้านที่เดินผ่านสองพ่อลูกสกุลเซี่ยร้องออกมาอย่างตกใจ หมูป่าตัวนี้อย่างน้อยก็หนักไม่ต่ำกว่าห้าสิบจิน! พวกเขาไม่รู้เลยว่าหมู่ตัวนี้จะหนักเท่าไร
“หมูป่าจริง ๆ ด้วย!” ชาวบ้านอีกคนเพ่งพินิจมองหมูป่าที่ถูกหามมา นานแล้วที่ในป่าแห่งนี้ไม่มีหมูป่า
“โอ้สวรรค์! ในป่ามีหมูป่าด้วย!”
ข่าวที่บ้านเซี่ยได้หมูป่ากลับมาด้วยแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งมีผู้พบเห็นไม่น้อย บางคนรีบวางของในมือแล้ววิ่งตามไปดูที่บ้านเซี่ย อย่างน้อยได้เนื้อกลับมาก็ยังดี อ**บางส่วนก็เดินตามตั้งแต่ที่สองพ่อลูกบ้านเซี่ยออกจากป่า
เสียงเอะอะที่หน้าบ้านทำให้เซี่ยซูเหยาเดินออกมาดู นางกลัวว่าบ้านรองเซี่ยจะมาที่บ้านอีก ทว่ากลับไม่ใช่ นางเห็นบิดาของนางกับพี่ชายของนางแบกหมูป่ากลับมาด้วย! ไม่เพียงแค่หมู่ป่ายังมีไก่ฟ้า กระต่ายป่า ปลาและกุ้งอีกเต็มตะกร้า!
“ท่านพ่อ!”
สิ่งที่เซี่ยซูเหยากลัวก็คือกลุ่มชาวบ้านมากกว่ายี่สิบชีวิตเดินถือมีด ถัง และอาวุธจากบ้านเดินตรงมายังบ้านเซี่ยอย่างน่าหวาดกลัว
“อาเหยา ไปเอาถาดออกมา!” เซี่ยห้าวไห่กล่าวอย่างเคร่งเครียด
เขาไม่คิดว่าชาวบ้านจะตามมาเยอะถึงเพียงนี้ อีกทั้งหมูป่าตัวนี้เขาก็เอามาให้ลูกสาวนำไปทำอาหารขาย จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อยยามที่เห็นผู้คนเตรียมของมา
“เจ้าค่ะ”
เซี่ยซูเหยาเดินไปเอาถาดไม่นานก็ออกมาพร้อมพี่สาว หมูป่าถูกวางไว้บนแคร่ไม้ไผ่ตัวเก่า ชาวบ้านล้อมรอบทว่ายังไม่มีใครกล้าลงมือ
“ตัดสิ”
“ใช่ ๆ ตัดเลย”
“ข้าขอน้ำมันได้ไหม”
“บ้านเซี่ยคงไม่ปล่อยให้เจ้าแน่ ๆ”
“ใครดีใครได้”
เซี่ยซูเหยามองอย่างมึนงง อะไรคือข้าขอตรงนั้น ข้าอยากได้ตรงนี้ ไหนจะใครดีใครได้อีก นางไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ทว่าบิดาของนางยังไม่ลงมือ ชาวบ้านจึงทำอันใดไม่ได้
“พวกท่านมาทำอันใดที่นี่หรือ” เซี่ยซูเหยาเอียงศีรษะถามอย่างไม่เข้าใจ ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่เข้าใจจริง ๆ ทว่าอีกส่วนบิดาของนางส่งสัญญาณให้
“ก็มาเอาเนื้อหมูป่าตัวนี้อย่างไรเล่า” ชายผู้นั้นกล่าวอย่างไปที มือของเขาจ้องไปยังมือของเซี่ยห้าวไห่ หากเซี่ยห้าวไห่ลงมือ เขาก็พร้อมที่จะตัดส่วนแบ่งออกไปเช่นเดียวกัน
“เอาเนื้อหมู? เนื้อหมูตัวนี้ท่านพ่อได้มาไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
หมู่บ้านหลี่ฮวนเป็นหมู่บ้านที่มีเพียงร้อยหลังคาเรือน มีเพียงไม่กี่บ้านที่จะมีเงินพอจะส่งหลานชายเข้าไปเรียนในเมือง บ้านที่เหลือล้วนยากจน แต่บางบ้านก็ไม่ได้ลำบากเพียงนั้น
บ้านเซี่ยเวลาได้สัตว์มาบางทีก็แบ่งไปขายหากอยู่ในช่วงที่เซี่ยซูเหยาป่วยเพื่อเอาเงินมารักษา ทว่าพอเซี่ยซูเหยาไม่ได้ป่วยหากไม่เอาไปขายในเมืองก็แบ่งชาวบ้าน จนบางทีชาวบ้านก็ไม่เหลือความเกรงใจ
“ของบ้านเซี่ย บ้านเซี่ยก็จะแบ่งไปให้พวกเราอยู่ดี เอาไปตั้งแต่ตอนชำแหละเนื้อนี่แหละดีแล้ว” ชายชราที่ยืนอยู่ตรงข้ามเอ่ยบอก
“แต่เนื้อหมูพวกนี้อาเหยานำไปทำอาหารขายนะเจ้าคะ! ถ้าจะตัดแบ่งไปก็ต้องจ่ายเงิน” อีกทั้งที่นี่ไม่สามารถเก็บเนื้อสัตว์ได้นาน ๆ เซี่ยซูเหยาจึงไม่ได้หวง
ทว่าหากจะเอาไปก็ต้องจ่ายเงินมาด้วย นางไม่รู้ว่าแต่ก่อนบิดาของนางจะให้ฟรีหรือขายไปเท่าไร ยามนี้อะไรที่ขายได้ย่อมมีค่าทั้งหมด
“ได้อย่างไร!”
“ใช่”
“พวกข้ามาช่วยเลยนะ!”
เสียงบ่นที่ไม่พอใจของชาวบ้านดังขึ้นเป็นระยะ เซี่ยซูเจี๋ยขยับตัวไปซ่อนด้านหลังบิดาแตกต่างจากน้องสาวที่ยืนเผชิญหน้ากับชาวบ้าน
“หากใครอยากได้เนื้อหมูป่า ข้าขายให้จินละห้าร้อยอีแปะ ขายเพียงสามสิบจินเท่านั้น!” เซี่ยห้าวไห่ประกาศอย่างเด็ดขาด
เนื้อหมูมีราคาแพงกว่าข้าวสาร ชาวบ้านในหมู่บ้านส่วนมากจะรับประทานธัญพืชหยาบ หรือแผ่นแป้งเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้าน
หรือไม่ก็เป็นธัญพืชที่ราคาถูก ส่วนบ้านเซี่ยที่ได้รับประทานข้าวสารเพราะอยู่ในการควบคุมของเซี่ยซูเหยา
ปกติราคาเนื้อหมูจะอยู่ที่จินละหกร้อยกว่าอีแปะ ถูกกว่าซื้อในตำบลตั้งร้อยกว่าอีแปะ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องบำรุงเด็ก ๆ ในบ้าน ชาวบ้านบางคนจึงรีบมาที่นี่เพื่อได้รับส่วนแบ่ง ทว่าพวกเขาไม่คิดว่าต้องจ่ายเงิน!
เดิมที่เซี่ยห้าวไห่ไม่ได้จะขายเนื้อหมูให้ชาวบ้าน เขาคิดที่จะแบ่งให้คนละนิดคนละน้อย ทว่าพอได้ยินลูกสาวกล่าวแบบนั้นออกไปเขาจึงต้องขาย เพราะลูกสาวของเขาดูเหมือนจะมีหัวทางการค้ามาก
อีกทั้งหากขายได้ทั้งหมดสามสิบจินจริง ๆ ที่บ้านก็จะมีรายได้เพิ่มมาอีกถึงสิบห้าตำลึงเงิน! ความสัมพันธ์ของคนในหมู่บ้านและบ้านของเขาคงไม่ต้องเกรงใจกันอีกแล้ว