Chapter 2 หานตง ชายยาใจคนใหม่ [2]
ประกาศอย่างลับๆ ถูกส่งต่อออกไปอย่างเงียบเชียบ เพื่อตามหาชายหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างสูงสง่า เก่งกาจโคลงกลอน บทกวี พูดจาไพเราะเสนาะหู ช่างเอาอกเอาใจอิสตรี เพียงไม่นานซ่านฉินก็คัดเลือกชายเหล่านั้นจนเหลือเพียงห้าคน
ซ่านฉินมองชายรูปงามทั้งห้าแล้วก็ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอ ทั้งห้าล้วนรูปงาม แต่ดูเหมือนผู้ที่หล่อเหลาราวกับเซียนบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจะมีเพียงผู้เดียว
ไม่ปรากฏกว่าเขามาจากเผ่าใด ลงบันทึกไว้เพียงว่าเป็นชนเร่ร่อนไม่สังกัดเผ่า แต่มีความเชี่ยวชาญทั้งโคลงกลอน บทกวี เพลงดาบ แลเพลงทวน นับเป็นคุณสมบัติชั้นยอดของชายยาใจที่หาได้ยากยิ่ง
หากว่าเขาไม่มีจื่อลู่ชู้รัก เขาคงตกหลุมรักชายผู้มีนามว่า ‘หานตง’ อย่างไม่ต้องสงสัย
“เย่วสือเจ้ามานั่งอยู่ที่นี่เอง ข้าตามหาเจ้าเสียจนทั่วไปหมด”
“ข้าเย่วสือคารวะคุณชาย มีอะไรให้ข้ารับใช้หรือคะถึงได้เรียกหาด้วยตนเองเช่นนี้”
เย่วสือลุกจากชิงช้าไม้ที่นางมักนั่งเล่นอยู่เป็นนิจ ยอบกายลงทำความเคารพผู้เป็นสามีแต่เพียงในนามอย่างห่างเหิน ด้วยก่อนหน้านี้หาได้รู้จักมักคุ้น แต่งงานเพียงเพราะถูกผู้ใหญ่คลุมถุงชน เมื่อแต่งงานกันแล้วกลับไม่ได้พบหน้าค่าตา จึงยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยาแย่ลงอย่างน่าใจหาย
“อะไรกันเย่วสือเจ้าเป็นฮูหยินของข้า ข้าจะใช้เจ้าได้อย่างไร ข้าแค่นำของกำนัลมาให้เจ้า”
จิ้งจอกตระกูลจานโอบกอดภรรยาเอาไว้แล้วก้มลงหอมแก้มนางฟอดใหญ่พอเป็นพิธี แต่การกระทำเช่นนั้นกลับทำให้เย่วสือตกใจจนถอยกรูด ตัวสั่นเมื่อจู่ๆ ก็ถูกสามีกอดรัดต่อหน้าผู้คน ซ่านฉินแกล้งทำเป็นไม่เห็นกิริยาหวาดหวั่นไม่ไว้ใจของภรรยา เขาแสร้งยิ้มร่าแล้วผายมือออกไปยังชายหนุ่มทั้งห้าคน
“ข้านำชายยาใจมาให้เจ้า”
“อะไรนะ!”
เย่วสือถึงกับเบิกตากว้างด้วยความตกใจ นางเคยได้ยินเรื่องชายยาใจหรือชายที่คอยบำรุงบำเรอเอาอกเอาใจหญิงสาวเปลี่ยวร้างมาบ้าง แต่ไม่เคยคาดคิดว่านางจะมีชายยาใจเป็นของตนเอง
“ข้าเห็นเจ้าเหงา หากมีชายยาใจทั้งห้าคนนี้มาคอยดูแล เจ้าจะได้มีความสุขมากขึ้น”
“ความสุขของข้าคือการได้หย่ากับเจ้า!”
จิ้งจอกสาวตอบออกไปแทบจะทันทีทันใดด้วยความโกรธ ดวงตาของนางคมวาวราวใบมีดจ้องมองผู้เป็นสามีแทบไม่กะพริบตา แสดงชัดถึงความจำนงที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ทว่าซ่านฉินก็คือซ่านฉิน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนหมุนรอบตัวเอง เขาแสร้งหัวเราะแล้วเฉไฉไปเรื่องอื่นราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ภรรยาต้องการ
“เชิญเจ้ารับของกำนัลจากข้าเถิด”
“ท่านนำชายยาใจทั้งห้ากลับไป ข้าไม่ต้องการ”
เย่วสือพูดพลางสะบัดกายจนชุดสีฟ้าอ่อนประกายเขียวขยับไหวไปตามแรงเคลื่อน ผมที่ยาวสยายสีดำสนิทจดเอวทิ้งน้ำหนักลงจดสะโพกผาย ใบหน้าของนางหวานล้ำแม้จะงอง้ำอย่างไม่สบอารมณ์ก็หาได้ลดทอนความงามของนางลงได้
ชายยาใจทั้งห้าถึงกับลอบมองฮูหยินของซ่านฉินราวกับจะหยุดหายใจ หญิงที่งามเพียบพร้อมในสามภพหกภูมิเช่นคุณหนูเย่วสือใช่จะหาได้โดยง่าย ทว่าซ่านฉินกลับไม่เห็นค่าจึงต้องตระเวนหาชายยาใจมาปกปิดสิ่งที่ตนไม่อาจมอบให้ภรรยาได้
“ช้าก่อนเย่วสือ”
ซ่านฉินปราดเข้าประชิดแล้วจับที่ต้นแขนของนางไว้ก่อนจะบีบแน่นจนนางนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“หากเจ้าไม่รับไว้ ความบาดหมางของสองตระกูลก็จะเกิดขึ้น เมื่อนั้นหากภายภาคหน้าเกิดสงครามก็ขอให้เจ้าจงรับรู้ไว้ ว่าทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะเจ้า”
จิ้งจอกหนุ่มพูดเสียงลอดไรฟันอย่างข่มขู่ เย่วสือถึงกับตวัดหางตามองผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีอย่างเจ็บแค้นใจ นางแต่งงานกับเขาก็เพื่อให้ทั้งสองเผ่าปรองดองห่างไกลสงคราม แต่เขากลับนำเรื่องสงครามมาขู่อ้าง ทั้งที่เขาก็รู้ว่าเผ่าจิ้งจอกขาวไม่เก่งเรื่องวรยุทธ์ หากเกิดสงครามก็รังแต่จะตายตกไม่ต่างจากผักปลา
“เช่นนั้นข้าขอรับของกำนัลจากท่านเพียงหนึ่ง ที่เหลือได้โปรดท่านจงนำกลับไปเถิด”
เย่วสือข่มเสียงสั่นเครือเอาไว้ในลำคอแล้วคลี่พัดสีขาวลายดอกโบตั๋นสีชมพูอ่อนปิดใบหน้ากว่าครึ่งก่อนจะเดินหนีไป
“ก็แค่นี้ ไม่เห็นต้องทำเป็นเล่นตัวให้แหนงใจกันเปล่าๆ”
ซ่านฉินหยักยิ้มที่ริมฝีปาก ก่อนจะเดินไปสำรวจชายยาใจทั้งห้าอีกครั้ง แล้วหยุดสายตาที่หานตงบุรุษหนุ่มรูปงาม
“ข้าเลือกเจ้าเป็นชายยาใจให้ไท่ไท่ของข้า นับจากนี้เจ้าต้องทำทุกอย่างให้นางพึงพอใจ และเจ้าต้องคอยรายงานความเคลื่อนไหวของนางให้ข้าฟังทุกๆ สามวัน หรือเร็วกว่านั้นหากมีเรื่องใดไม่ชอบมาพากล”
ซ่านฉินชี้นิ้วไปยังหานตง จ้องมองเข้าไปในดวงตาของบุรุษหนุ่มรูปงาม ทว่าพลังอำนาจบางอย่างกลับทำให้เขาเป็นฝ่ายหลบตาเสียเอง
แปลก...ชายคนนี้ไม่เหมือนชนเร่ร่อนทั่วไป ทั้งท่าทาง กิริยามารยาท ราวกับได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี
แต่ช่างเถิด ก็แค่ชายยาใจ ไม่เห็นต้องใส่ใจให้รกสมอง
“รับทราบ ข้าจะทำหน้าที่เป็นอย่างดี”
หานตงก้มตัวลงอย่างนอบน้อม ทุกท่วงท่ากิริยาอาการล้วนสง่างาม เมื่อเขาเผยอริมฝีปากยิ้ม ราวกับดอกไม้กำลังผลิบาน เมื่อเขาเอื้อนเอ่ยวาจาราวกับนกสวรรค์กำลังขับขานบทเพลงก้องกังวาน
จานซ่านฉินถึงกับตะลึงงันอยู่หลายอึดใจ ก่อนจะแสร้งกระแอมเบาๆ ราวกับเรียกสติของตนเองกลับคืน เมื่อได้สติพิศมองใบหน้าหานตงใกล้ๆ เขาก็ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ข้าเหมือนเคยพบเจ้ามาก่อน ใช่...ข้าเคยพบเจ้า”
“คุณชายซ่านฉินคงจำผิดคนกระมัง เพราะข้าเป็นชนเร่ร่อนรอนแรมไปทั่วไม่มีหลักแหล่ง”
“ข้ามั่นใจว่าเคยเห็นเจ้า ไม่ผิดแน่ แต่ข้าจำไม่ได้ว่าที่ใด”
ซ่านฉินเดินวนรอบหานตงอย่างครุ่นคิด ก่อนจะสะบัดมือไปมา “ช่างเถอะ ข้าคงเคยพบคนหน้าเหมือนเจ้า จึงได้คุ้นเคยรูปคิ้ว รูปปากและเค้าโครงหน้าของเจ้าเหลือเกิน”
“หากเป็นคนหน้าเหมือน ข้าคิดว่าอาจเป็นได้”
หานตงหยักยิ้มน้อยๆ แล้วคลี่พัดขึ้นโบกเบาๆ อย่างสบายอารมณ์ ไม่มีท่าทางทุกข์ร้อนหรือเป็นกังวลเมื่อเห็นผู้เป็นนายจ้องมองด้วยสายตาจับผิดเลยแม้แต่น้อย ซึ่งท่าทางเช่นนี้ทำให้ซ่านฉินล่าถอยคลายความสงสัยไปเอง