บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๓
เบื้องหน้าข้าคือดวงหน้าเหี่ยวย่นที่ปกคลุมด้วยกลุ่มผมและหนวดเคราขาวโพลน ดวงตาเล็กหยีอยู่ภายใต้หนังตาเหี่ยวย้อยนั้นทอประกายวาววาม ริมฝีปากแห้งผากของเขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ทว่าข้าได้กลิ่นลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยความเย็นเยียบและอับชื้นราวกับเป็นหินแกะสลักก้อนหนึ่ง เสียงลมหายใจหวีดหวิวคล้ายเสียงโหยหวนของดวงวิญญาณร้าย จะไม่ให้ข้าตกใจได้อย่างไร
แสงแดดที่ส่องเล็ดลอดเข้ามาเพียงเล็กน้อยทำให้ข้าสามารถระบุได้ว่าสภาพชายชราผู้นี้ ภายใต้ชุดสีเทามอซอคือหนังหุ้มกระดูกโดยแท้ ข้าได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเขาจึงเข้าใจได้ทันทีว่าคนผู้นี้คือเจ้าของเสียงเมื่อครู่
“ท่าน…ท่านผู้เฒ่า ท่านมาอยู่อะไรตรงนี้”
ชายชราเคลื่อนกายออกห่าง เสียงคล้ายโซ่ตรวนครูดพื้นดังขึ้นจนแสบแก้วหู เขานั่งขัดสมาธิอยู่มุมหนึ่งของถ้ำที่แสงส่องไปไม่ถึง มิน่าเล่าเมื่อครู่ข้าถึงสังเกตไม่เห็น หากไม่มีหูทิพย์และท่านผู้เฒ่าไม่พูดขึ้นมา เกรงว่ากระทั่งตอนนี้ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเขามาอยู่ด้านหลังตั้งแต่ตอนไหน เหตุใดตอนแรกจึงไม่ได้ยินเสียงโซ่เหล็ก
“เป็นข้าที่ควรถามเจ้ามากกว่ากระมัง เหตุใดจึงเข้ามาที่นี่”
น้ำเสียงนั้นแหบพร่า ให้ความรู้สึกเย็นยะเยียบยิ่งนัก ทว่าตัวข้าหน้าด้านหน้าทนยิ่ง กลิ่นลมหายใจของเขากับท่าทางคล่องแคล่วว่องไวนั้นทำให้ข้าเกิดสอดรู้สอดเห็นขึ้นมา ฝีมือมิใช่ชั่วเช่นนี้ อีกทั้งยังคล้ายกับถูกตรวนล่ามเอาไว้ อาจจะเป็นยอดฝีมือเร้นลับก็เป็นได้
ข้ายิ้มปะเหลาะพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้มุมมืด “ท่านผู้อาวุโส ตัวข้าหลงเข้ามาในถ้ำเพราะหลบหนีอันธพาลกลุ่มหนึ่ง ขออภัยที่มารบกวน” ข้าลอบสังเกตอาการของเขา เงี่ยฟังเสียงลมหายใจ...ราบเรียบสม่ำเสมอ ทว่ามีบ้างที่มีเสียงหวีดดังขึ้นเบาๆ คล้ายกับมีอะไรก่อกวนทางเดินหายใจ เมื่อเขาไม่ไล่ รู้ตัวอีกทีข้าก็ขยับไปนั่งติดกับท่านผู้อาวุโสแล้ว อดสอดปากขึ้นไม่ได้ “ผู้อาวุโส ท่านอยู่ที่นี่คงลำบากไม่น้อย”
“หึ…เด็กซนเช่นเจ้าต้องการอะไร”
เล่นถามตรงๆ เช่นนี้ตัวข้าก็ไปต่อไม่ถูกน่ะสิ ข้าหัวเราะแห้งๆ “ผู้อาวุโส ท่านก็อายุมากแล้ว กำลังภายในของท่านดูแล้วมิใช่ธรรมดา ทว่าอากาศที่นี่อับชื้นเช่นนี้ แม้แต่พยัคฆ์ก็ย่อมเจ็บป่วย หากไม่ถือเป็นการรบกวนการพักผ่อนของท่าน ขอให้ข้าตรวจสอบดูสักหน่อยได้หรือไม่”
โฮ…ข้าอยากตบปากตัวเองยิ่ง เดิมทีจะลอบถามเคล็ดวิชาการเคลื่อนย้ายไม่ให้เกิดเสียงที่แม้จะมีโซ่ล่ามของผู้อาวุโสสักหน่อย แต่สันดานหมอทำให้ความคิดของข้าวกวนอยู่แต่กับอาการป่วยของเขา สุดท้ายก็พูดออกไปโดยไม่รู้ตัว
คล้ายมีเสียงสูดลมหายใจดังขึ้น ผู้อาวุโสหัวเราะผะแผ่วในลำคอ เสียงหวีดดังขึ้นเบาๆ “เจ้าหนู เจ้าเป็นเด็กจากหน่วยพฤกษารึ ดูจากชุดที่สวมแล้วไม่คล้ายกับหน่วยพฤกษาสักเท่าใด”
ข้าหัวเราะแห้งๆ “เปล่าขอรับ ข้าเป็นศิษย์ผู้อาวุโสเซียวเหยา ไม่ได้สังกัดหน่วยใดเป็นพิเศษ”
“แล้วเจ้าตรวจรักษาเป็นได้อย่างไร ไม่รู้รึว่าหากคนที่ไม่ใช่ศิษย์ของหน่วยพฤกษาลอบรักษาผู้อื่น เจ้าจะถูกลงโทษเช่นไร”
คล้ายกับมีหินก้อนใหญ่ทุบลงบนศีรษะของข้า ในใจรู้สึกหน่วงแปลกๆ คำพูดนี้คล้ายกับตอนที่อาจารย์เห็นข้าเคี่ยวยา อาจารย์กลัวว่าความสามารถของข้าจะถูกปิดกั้นจึงอยากให้ย้ายไปอยู่สังกัดหน่วยพฤกษา เรื่องนี้ข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ
ข้ามองผู้อาวุโสที่สังขารโรยราอยู่ในถ้ำอับชื้น ในใจนั้นตระหนักดีถึงกฎเหล่านี้ ทว่าในฐานะที่เป็นหนึ่งในอดีตปรมาจารย์การแพทย์ ท่านปู่เอย บิดาเอย ญาติพี่น้องที่ต่างก็กราบยกย่องป้ายวิญญาณของข้า หากพวกเขารู้ว่าข้าพบเจอผู้ป่วยแต่ละเลย คราวนี้อาจกลายเป็นข้าที่ถูกสาปแช่ง
ข้าระบายลมหายใจ ก่อนจะปั้นยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสไม่ต้องห่วง ข้ามาจากตระกูลหมอหลวง ตรวจอาการป่วยทั่วไปได้ อีกอย่าง ข้าไม่ได้เบิกยาของหน่วยพฤกษาก็เป็นอันใช้ได้แล้ว” พูดจบข้าก็ฉวยโอกาสคว้ามือผู้อาวุโสขึ้นมาจับชีพจร ผิวหนังเหี่ยวแห้งหุ้มกระดูกจนสัมผัสได้ถึงเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นมาชวนเวทนายิ่งนัก
ท่านผู้เฒ่าคงรู้เจตนาของข้าดีจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ไม่ขัดขืนหรือสะบัดมือหนี ฟังจากเสียงลมหายใจที่ยังคงราบเรียบเป็นจังหวะสอดคล้องกับจังหวะของชีพจรแล้วก็ต้องหนักใจ ชีพจรของเขาเต้นในอัตราที่เนิบช้าต่อการหายใจหนึ่งครั้ง เพราะเขาเป็นโรคภายใน จำต้องกดชีพจรให้ลึกลง ทว่าต้องเบามือเพื่อตรวจสอบให้ละเอียด สัมผัสนี้คล้ายกับก้อนสำลีลอยละล่องบนน้ำ กดแรงไปก็ไม่พบ จำต้องคอยประคองแล้วเพ่งสมาธิตรวจสอบ จังหวะในการเต้นฝืดเคืองอย่างมาก คล้ายกับใช้มีดขูดผิวไผ่ เมื่อวินิจฉัยร่วมกับสภาพแวดล้อมแล้ว คงเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาได้หลายปีแล้วกระมัง
“ผู้อาวุโส ข้าขอถามตามตรง ท่านมาอยู่ที่นี่นานหรือยังขอรับ”
ชายชราระบายลมหายใจ ดึงมือออกจนโซ่กระทบกันเสียงดัง “อย่าได้รู้เลย ไม่มีประโยชน์อันใด” น้ำเสียงของเขาคล้ายปลดปลง
เดิมทีข้ากำลังจะแสดงความเห็นใจสักหน่อย ทว่าพบเจอคนไข้หมดอาลัยตายอยากเช่นนี้ข้าก็พลอยไม่อยากมองหน้าเขาไปด้วย เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา ทว่าตอนนี้ข้ายังอยากได้ความรู้จากชายชราผู้นี้อยู่ จะให้ปล่อยจนเขาตายคาถ้ำเพราะโรคแทรกซ้อนเช่นนี้ก็ดูไร้ประโยชน์สิ้นดี
“ช่างเถิดท่านผู้เฒ่า ดูก็รู้แล้วว่าท่านได้รับบาดเจ็บมาก่อน ข้าตรวจสอบดูแล้ว ท่านมีภาวะหยางพร่องมาหลายปีจนเรื้อรัง โชคดีที่มีพลังปราณล้ำลึกคุ้มครองกายจึงมีชีวิตรอดจนถึงป่านนี้ ข้าจะเอายามาให้ท่านในคราวหลัง”
“เจ้าหนู อยากฝึกวิชาก็บอกกับข้ามาตามตรง ไม่ต้องอ้อมค้อม”
สิ้นเสียงของชายชรา ขนกายข้าก็ลุกชัน เป็นไปไม่ได้ เจตนาของข้าดูออกง่ายถึงเพียงนั้นรึ
เขาหัวเราะเสียงแผ่ว สะบัดแขนสองสามทีก็ได้ยินเสียงโซ่ตรวนร่วงกราว ร่างผอมแห้งหยัดกายลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้ข้าคล้ายกับภูตพราย “เจ้าหนู ตอนตรวจชีพจรข้า ชีพจรเจ้าก็สับสนปั่นป่วนไปหมด ลมหายใจก็สะดุด ท่าทางคล้ายมีสมาธิทว่าความจริงวางแผนการอันใดนึกว่าข้าไม่รู้รึ”
ยอดฝีมือผู้นี้สามารถใช้หูเงี่ยฟังชีพจรของข้าหรือเพียงแค่พูดจาไร้หลักการเพื่อข่มข้ากันนะ กระนั้นแล้วข้ากลับลืมไปได้อย่างไรว่าหากเป็นยอดฝีมือจริงๆ แล้ว เรื่องนี้แค่ขี้ผง
ข้าอยากจะร้องไห้แล้ววิ่งออกจากถ้ำไปเพื่อล้างอาย ทว่าขาข้ากลับก้าวไม่ออกเพราะความกดดันประหลาดที่แผ่มาจากชายชราผู้นี้ โฮ…คนผู้นี้ชั่วร้ายยิ่ง แกล้งถูกโซ่ตรวนล่ามเอาไว้เพื่อหลอกผู้คนรึนี่!
“ผู้อาวุโส อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าเห็นท่านเป็นผู้ชราถูกขังเดี่ยวในถ้ำชื้นๆ แห่งนี้ จึงเกิดเห็นใจท่านขึ้นมา เลยคิดสอดมือเข้าช่วยเหลือ เหตุใดท่านจึงมองเจตนาข้าผิดไป ฮือ…” ไม่ไหวแล้ว! ไม้ตายของข้าคือน้ำตา ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอา และท่านอาจารย์ล้วนใจอ่อน
“หุบปาก! ห้ามร้องไห้ ถ้าเจ้าร้องไห้ ข้าจะตะโกนบอกคนพวกนั้นว่าเจ้าอยู่ที่นี่”
หยุดก็ได้...ข้ากลั้นสะอื้นทันที น้ำตาอันเสแสร้งของข้าล้วนสั่งได้ อยากจะร้องก็ร้อง อยากจะหยุดก็หยุด นึกไม่ถึงว่าข้าจะต้องมาเสียใจเพราะคำขู่นี้ในภายหลัง
“ผู้อาวุโส ได้โปรดถ่ายทอดเคล็ดวิชาสลายตรวนให้ข้าด้วยเถิด” ข้าเปลี่ยนเป็นกระโดดเกาะขาตาเฒ่า ฉวยโอกาสเช็ดน้ำตาลงกับขากางเกงเก่าๆ ของเขา นึกไม่ถึงว่ากลิ่นสาบดินโคลนจะรุนแรงยิ่งจนพะอืดพะอมแทบแย่
ตาเฒ่าตบขาตัวเองฉาดหนึ่ง “เพ้ย! เป็นศิษย์เจ้าเด็กนั่นยังจะต้องมาขอให้ข้าสั่งสอนอยู่รึ ไม่กลัวผิดหลักการฟ้าดินหรืออย่างไร ตัวข้าชั่วชีวิตรับศิษย์แค่สองคน ไม่อาจรับคนที่สาม”
“รับศิษย์คนที่สาม เอ๊ะ! แล้วศิษย์สองคนของท่านเป็นใครกันขอรับ” เผื่อข้าจะไปกราบเป็นอาจารย์ถ้าชวดจากตาเฒ่าคนนี้
“เซียวเหยาเป็นศิษย์เอก อีกคนคืออี้หลิง เพ้ย! แล้วทำไมข้าต้องบอกเจ้าด้วย”
พูดจบก็สะบัดขาเขี่ยข้าออกราวกับเห็บไร ทว่าเรี่ยวแรงนั้นมิใช่น้อย ทำเอาข้ากระเด็นไปอยู่อีกมุมหนึ่งของถ้ำ โชคดีที่พื้นตรงนี้นุ่มจึงเจ็บก้นเพียงเล็กน้อย แต่น่าเสียดายตรงที่ชุดใหม่ของข้าต้องเปรอะเปื้อนอีกแล้ว
“ท่านผู้เฒ่า เอ้ย ผู้อาวุโส รุนแรงกับข้าอะไรอย่างนี้ ท่านมันไร้คุณธรรมยิ่ง!” ใจจริงข้าอยากด่ามารดาของเขาด้วยซ้ำ ฮึ! ตาเฒ่า ทำยังกับข้าอ่อนปวกเปียกไร้น้ำยา รู้หรือไม่ว่าข้ากำลังอยู่ในช่วงพัฒนา
อูย…เจ็บก้นชะมัด ตาเฒ่านี่ “ท่านผู้เฒ่า! ข้าไม่คิดขอร้องท่านแล้ว บอกมาว่าศิษย์เอกของท่านอยู่ไหน ข้าจะไปกราบเป็นอาจารย์” ไม่ได้ตัวใหญ่ก็จับตัวเล็กแล้วกัน ทว่าชื่อศิษย์เอกตาเฒ่าช่างคุ้นยิ่งนัก
“เจ้าลูกเต่า! โง่งม โง่งมยิ่ง เจ้าเซียวเหยามันรับคนเช่นนี้เป็นศิษย์ได้อย่างไร เจ้าไปหน้าด้านคุกเข่าขอมันใช่ไหม” ตาเฒ่าถามเสียงห้วน
ใช่สิ! ข้าอ้อนวอนอาจารย์อยู่เป็นนาน หากไม่ได้จดหมายจากที่บ้านมามีหรืออาจารย์จะยอมรับ เอ๊ะ! “ท่านว่าศิษย์เอกท่านชื่ออะไรนะ”
“เซียวเหยา”
หา! ขนคอข้าลุกชันคล้ายกับมีอะไรมาเป่ารด เลือดในกายตอนนี้เย็นเฉียบ เซียวเหยาในสำนักอู่สิงก็มีแค่…หนึ่ง…หนึ่งคน! ชื่อเป็นหนึ่ง ไม่มีสอง!
อาจารย์ของข้าชื่อเซียวเหยา…ถ้าอย่างนั้นแล้ว…ตาเฒ่าคนนี้
“ผู้อาวุโส” เสียงที่เปล่งออกจากลำคอของข้าแหบพร่า “ท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอันใดหรือขอรับ”
ตาเฒ่าแค่นหัวเราะในลำคอ “เจ้าก็รู้แล้วมิใช่รึ เจ้าลูกเต่า”
ข้าหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก นึกหาทางเอาตัวรอดจากตรงนี้เท่าไรก็นึกไม่ออก ราวกับถูกบังคับให้กินยาขม ถุงน้ำดีหดเล็กเท่าเม็ดถั่ว “ทะ…ท่านปรมาจารย์…หละ…หลี่เซียว?”
บรรลัยแล้ว แม่จ๋า! ท่านแม่! ท่านปู่ ท่านย่า ผีบรรพบุรุษ โปรดขึ้นจากหลุมมาคุ้มครองข้าที!
มือของข้าเย็นเฉียบ ขาทั้งสองทั้งดุนทั้งดันพยายามถดถอย แม้จะรู้ว่าด้านหลังมีก้อนหินตั้งอยู่ก็ตามที ซวย…บัดซบ…ซวยยิ่ง!
ข้าพยายามปั้นยิ้มโง่งม อยากให้ภายในถ้ำมืดมิดกว่านี้เหลือเกิน เวลาล่วงเลยไปราวหนึ่งเค่อ แสงแดดจ้าที่ส่องลอดผ่านพุ่มไม้หน้าถ้ำทำให้ภายในถ้ำสว่างขึ้นหลายส่วน พลันพบว่าข้างๆ โซ่ตรวนมีข้าวของเครื่องใช้ครบครัน รวมไปถึงโต๊ะสำหรับเขียนอักษร บนนั้นมีเทียนไขที่ใช้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง ใบหน้าของตาเฒ่า เอ้ย อาจารย์ปู่ ตอนนี้แสยะยิ้มคล้ายสะใจอยู่ไม่น้อย
“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม พบเจอผู้ใดก็คิดอยากฝึกวิชาด้วยไปเสียหมด”
คำพูดนี้เสียดแทงหัวใจข้ายิ่ง น้ำตาไหลอาบโดยไม่รู้ตัว “อะ…อาจารย์ปู่ หย่งหมิงโง่งมยิ่งนัก ทว่าข้าสัมผัสได้ถึงความเก่งกาจของท่าน ทั้งความสง่างามแม้จะผอมเกร็งจนทุเรศ เอ้ย แม้จะร่างกายซูบผอมนิดหน่อย แต่ลมปราณกลับลึกล้ำจนโรคภัยไม่อาจคร่าชีวิตท่านได้ หย่งหมิงเพียงอยากขอคำชี้แนะสักเล็กน้อยเท่านั้น”
ตาแก่พอได้ยินคำชมก็กระตุกยิ้มมุมปาก ใบหน้าเหี่ยวย่นบิดเบี้ยวจนแลดูอัปลักษณ์ ทว่ากิริยาท่าทางคล้ายอาจารย์ถึงสี่ส่วน ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่าอาจารย์คล้ายเขาถึงสี่ส่วน ข้ามันตาถั่วถึงได้บังอาจคิดข้ามรุ่น โง่เง่าจริงๆ
“อยากได้คำชี้แนะรึ”
ได้ยินดังนั้นในใจข้าก็ลิงโลด อาจารย์ปู่คล้ายจะเลิกใส่ใจความโง่เง่าของข้าบ้างแล้ว
“อะ…อาจารย์ปู่” ข้าแทบจะโขกศีรษะด้วยความซาบซึ้ง “โปรดชี้แนะด้วย”
ตาเฒ่าแค่นเสียงหึ แม้ข้าจะเริ่มหมั่นไส้นิดๆ ทว่าก็ต้องกล้ำกลืนอคติเหล่านี้ลงท้อง
“อี้หลิง แนะนำศิษย์หลานเจ้าซิ”
“หือ อาจารย์อาก็อยู่หรือขอรับ” ได้ข่าวว่าอาจารย์อาหายตัวไปเมื่อปีก่อน คราวนี้เขากลับมาอยู่กับอาจารย์ปู่ที่ปลีกวิเวกมาเป็นสิบๆ ปีอย่างนั้นหรือ
“อยู่นั่น” ตาเฒ่าชี้ไปด้านหลังข้า
“ด้านหลังหรือขอรับ” ด้านหลังเป็นผนังถ้ำนี่นา
“อืม…”
ข้าค่อยๆ หันกลับหลัง แทบจะฉี่ราดเมื่อพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนตักของอาจารย์อา หา! อาจารย์อารึ
คนผู้นี้…นั่งอยู่ตรงซอกหินของถ้ำซึ่งตอนนี้สว่างจนสามารถเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน อีกทั้งยังไม่น่าเชื่อว่า…อาจารย์อาจะเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง บัดซบ!
เขาเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง แก่กว่าข้าประมาณสามปี ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย คิ้วกระบี่พาดเฉียงเหนือดวงตาพยัคฆ์เย็นเยียบ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากบางเฉียบ ใบหน้าแม้จะขาวซีดแต่ก็ยังมีเลือดฝาดเล็กน้อย กลิ่นอายเซียนด้อยกว่าอาจารย์ของข้าเล็กน้อย นั่นอาจเป็นเพราะเขายังหนุ่มแน่น เอ๊ะ! หรือว่าเขาฝึกจนบรรลุถึงขั้นที่ไม่แก่ไม่เฒ่า.. หล่อเหลารองจากข้าก็อาจารย์อาผู้นี้นี่ละ
“มองพอหรือยัง”
น้ำเสียงเขาเย็นเยียบเคร่งขรึมยิ่ง ช่างน่าเลื่อมใสนัก
โป๊ก! อะไรบางอย่างกระแทกกลางศีรษะข้าจนน้ำตาเล็ด ตาเฒ่านั่นต้องเอาคืนข้าแน่ๆ พอหันไปมองกลับกลายเป็นตาเฒ่าอีกคนที่เข้ามาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ อีกทั้งยังถลึงตาใส่ข้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“เจ้าศิษย์โง่! จะนั่งตักอี้หลิงอีกนานไหม”
หา? ข้าเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองนั่งเบียดบนตักของอาจารย์อาราวกับลูกลิง บรรยากาศกระอักกระอ่วนไม่น้อยจนต้องรีบดีดตัวยืนขึ้น ก่อนจะก้มหัวขอโทษขอโพยอาจารย์อาที่ยังคงปั้นสีหน้าเย็นชาราวกับข้าเป็นเพียงแมลงหวี่แมลงวันก่อความรำคาญใจ
เย็นวันนั้นข้าถูกสั่งให้คัดตำราห้าธาตุเพราะตาเฒ่านั่นฟ้องอาจารย์พร้อมกับป้ายสีว่าข้าเป็นศิษย์ทรพี ถูกอาจารย์ตีก้นอีกยี่สิบไม้ข้อหาไม่สำรวมและบุกเขตหวงห้าม ใครจะไปรู้ว่ามันเป็นเขตหวงห้ามเล่า!
สิ่งที่น่าตกตะลึงก็คืออี้หลิงอาจารย์อาผู้หล่อเหลารองจากข้า แม้จะแก่กว่าข้าสามปีทว่าฝีมือกลับเข้าขั้นเทียบเท่าอาจารย์ปู่ไปแล้ว ตาแก่นั่นโม้ยาวเหยียดถึงอัจฉริยภาพของเจ้าหนุ่มนั่น เฮอะ! ตู๋หัว เวยหลิงเซียน ชวนอู เฉาอู่ ฉีเสอ อูเซาเสอ[1] ของพวกนี้ข้าหามาได้และว่าจะนำไปช่วยรักษาตาแก่นั่นสักหน่อย มาเกทับข้าเช่นนี้ ไว้ข้าอารมณ์ดีค่อยเข้าป่าหาตัวยาสักอย่างสองอย่างไปให้กินละกัน ช่วงนี้ข้าต้องขยันให้มากขึ้นหน่อย อาจารย์อาอี้หลิง ฮึ! อัจฉริยะตัวจริงคือข้าตงฟางหย่งหมิงโว้ย
หลังจากนั้นไม่นานข้าถึงกับต้องขอบคุณเจ้าคนผู้นี้จนได้ ตอนนี้ข้ากำลังสงสัยว่าเหตุใดจึงต้องลงทุนออกจากบ้านมาไกลเพื่อความหลังฝังใจในชาติก่อนด้วย จะว่าไปตอนตายข้าก็ออกจะสบายเกินไปด้วยซ้ำ เหตุใดข้าจึงฝังใจว่าจะต้องเป็นจอมยุทธ์ให้ได้ บางครั้งข้าก็สับสนในตัวเองยิ่ง คล้ายจำได้คล้ายจำไม่ได้ เหมือนความทรงจำบางช่วงขาดหายไป คล้ายกับว่าเรื่องราวที่ติดตัวข้ามาไม่ใช่ความทรงจำของข้า
แต่ก็ช่างมันเถิด บางทีการรู้เรื่องอะไรมากมายก็รังแต่จะไม่มีความสุข พญายมราชคงจะใคร่ครวญดีแล้วว่าข้าไม่สมควรจะจดจำเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น
เขาก็คงคิดไม่ถึงเช่นกันว่ามันจะยิ่งชักนำข้าให้ถลำลึกกับเรื่องบางอย่างโดยไม่รู้ตัว
[1] เทียบยาขับเย็นระบายชื้น