บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๒

2307 Words
บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๑ ส่วนที่ ๒ สำนักอู่สิงมีแหล่งน้ำตามธรรมชาติหลายแห่ง กระนั้นแล้วสถานที่ซึ่งใช้สำหรับอาบน้ำและซักผ้ากลับมีเพียงสองที่ นั่นคือที่บ่อน้ำร้อนซึ่งอยู่ใกล้กับหน่วยวารี และอีกที่คือลำธารซึ่งเกิดจากน้ำเย็นกับน้ำจากบ่อน้ำร้อนไหลมารวมกัน ลำธารที่คนในสำนักใช้นั้นอยู่ไม่ไกลจากที่พักของข้ากับอาจารย์มากนัก ใช้เวลาเดินเพียงหนึ่งเค่อก็ถึงที่หมายแล้ว ทว่าหากต้องการไปอาบน้ำที่บ่อน้ำร้อนในช่วงอากาศเย็นเช่นนี้ ต้องเดินอ้อมไปไกลถึงเขตของหน่วยวารี ข้าไม่อยากไปให้คนกลั่นแกล้งสักเท่าใดนัก เพราะแถบนั้นเป็นที่ยึดครองของบรรดาศิษย์เอกในสำนักและศิษย์หญิงจำนวนไม่น้อย ศิษย์พี่แห่งหน่วยอัคคีก็เป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชอบการกลั่นแกล้งข้า เห็นข้าทีไรเป็นต้องใช้ลูกไม้สกปรกทำให้ข้าต้องอับอายต่อหน้าผู้อื่น กลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ ชื่อเสียงของคุณชายตระกูลใหญ่เช่นข้าจึงถูกย่ำยีจนป่นปี้หลังจากที่ผลักเขาตกน้ำในคราวนั้นแล้วถูกอาจารย์ที่รักยิ่งของข้าลงโทษ ก็ได้แต่ท่องในใจว่าให้อดทนไว้ ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย แต่เกรงว่าเมื่อสิบปีผ่านไป ข้าก็ไม่อาจตามเจ้านั่นทันน่ะสิ! ไม่ได้การ อย่างไรก็ต้องตั้งใจฝึกฝนให้มากเข้าไว้ เพื่อให้อาจารย์ภาคภูมิใจ แม้ว่าตอนนี้ข้าจำต้องทนอาบน้ำในลำธารที่ค่อนข้างเย็นยะเยือกของสำนักก็เถอะ ข้าหอบเสื้อผ้าชุดใหม่ที่ยังไม่เคยใช้มาเปลี่ยนด้วย ท่านแม่เคยสอนข้าไว้ว่าเมื่อเสื้อผ้าสะอาด สมองก็ย่อมปลอดโปร่ง คิดการใดก็จะสัมฤทธิ์ผล หลังจากได้สัมผัสกลิ่นตัวอันน่าสยดสยองของตนเองข้าก็คิดว่าสิ่งที่ท่านแม่พูดนั้นมีเหตุผลไม่น้อย ชุดของศิษย์แต่ละสังกัดจะไม่เหมือนกัน หากเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักและรองเจ้าสำนักทั้งสอง ชุดที่สวมจะเป็นสีขาวบริสุทธิ์หรือสีดำสนิท แสดงถึงความเป็นสุดยอดในสำนัก ศิษย์ใหม่ทั้งหลายรวมถึงข้าจึงได้แต่มองตาละห้อยเมื่อเห็นศิษย์พี่เหล่านั้นออกมาควบคุมการฝึกสอนเด็กใหม่ แม้ข้าจะยังไม่เคยเข้าร่วมฝึก แต่การยืนมองอยู่ไกลๆ ก็เห็นได้ชัดเจนยิ่ง ท่าร่างสง่างามดุจมังกรร่ายรำ อาภรณ์งามล้ำราวกับน้ำค้างพิสุทธิ์ คือบทชมที่ส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่นของศิษย์พี่ผู้มากฝีมือเหล่านั้น ถัดมาคือศิษย์เอกของเหล่าผู้คุมกฎ พวกเขาจะสวมชุดผ้าแพรสีเทาปักลวดลายสัตว์วิเศษทั้งสี่ตามสังกัดผู้คุมกฎแต่ละท่าน ศิษย์ทุกคนในสังกัดผู้คุมกฎล้วนหน้าเชิดคอตั้ง แม้จะสามารถคุยโม้โอ้อวดได้ ทว่าศักดิ์ศรีก็พอๆ กับศิษย์ในของสังกัดหน่วยปัญจธาตุทั้งห้า อาภรณ์ที่สวมล้วนเป็นเนื้อผ้าชนิดเดียวกัน เพียงแต่สังกัดหน่วยปัญจธาตุจะสวมชุดที่มีสีสันตามธาตุต่างๆ สีแดงสำหรับศิษย์หน่วยอัคคี สีเขียวสำหรับศิษย์หน่วยพฤกษา สีน้ำตาลเข้มสำหรับศิษย์หน่วยปฐพี สีฟ้าสำหรับศิษย์หน่วยวารี และสีเหลืองสำหรับศิษย์หน่วยทอง สีของเสื้อผ้าจะเข้มขึ้นตามลำดับศักดิ์และตำแหน่งฐานะในสังกัด หน่วยปัญจธาตุนับได้ว่ามีสมาชิกในสังกัดมากที่สุดแล้ว ส่วนศิษย์ในสังกัดผู้อาวุโสเช่นข้า... ศักดิ์ฐานะของผู้อาวุโสในสำนักไม่ได้ด้อยกว่าเจ้าสำนักหรือรองเจ้าสำนักแม้แต่น้อย ทว่าผู้อาวุโสส่วนใหญ่จะไม่ชื่นชอบความวุ่นวาย นานๆ จะรับศิษย์หนึ่งหรือสองคน เพราะแยกตัวไปตามสถานที่ต่างๆ ของเขาอวิ๋นซาน ศิษย์ของผู้อาวุโสจึงไม่ค่อยได้สุงสิงกับศิษย์ในสังกัดอื่นมากนัก ส่วนชุดที่สวมอยู่นั้นเป็นไปตามรสนิยมของอาจารย์เจ้าสังกัด คิดแล้วก็รันทดใจนัก ชุดที่อาจารย์ข้าให้สวมมีเพียงชุดผ้าฝ้ายที่ไร้ซึ่งสีสัน ชุดเดิมของข้าเป็นเสื้อที่ตัดเย็บจากผ้าแพรเจียงหนานชั้นเลิศ ยามท่านแม่ตัดเย็บเสร็จจะเอามาทาบกับตัวข้าแล้วเอ่ยชื่นชมด้วยความภูมิใจ ทว่าอาจารย์กลับตวัดสายตาคมกริบมองข้าตั้งแต่ศีรษะจดเท้าแล้วพูด “ผู้ใส่แพรพรรณที่สวยหรูงดงามเหมาะกับการเป็นคุณชายในเมืองหลวงล้วนไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริงของอู่สิง ผู้อื่นชื่นชอบแพรไหม ทว่าข้าสนใจประโยชน์ใช้สอย การสวมอาภรณ์ที่ทำจากฝ้ายจะระบายความร้อนได้ดี และเสริมความอบอุ่นได้ในเวลาเดียวกัน” ข้าเถียงไม่ออกแม้เพียงครึ่งคำ แต่ก็จริงดังที่อาจารย์ว่า ข้าเคยสัมผัสชุดผ้าไหมของศิษย์หน่วยอัคคีแล้ว เนื้อก็นุ่มลื่นดีอยู่ เสียดายที่ไม่ให้ความอบอุ่นเท่าใดนัก ทว่าคนเหล่านี้ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสภาพอากาศ เนื่องด้วยพวกเขาฝึกลมปราณมาตั้งแต่ไม่ถึงสิบขวบ มีพลังปราณเบญจธาตุคุ้มกายเช่นนั้นจะต้องไปกลัวสภาพอากาศอันใดอีก อย่าว่าแต่พลังปราณเลย พลังกายของพวกเขาก็มิใช่ชั่ว ขนาดข้าแค่ฝึกตัดฟืนยังเห็นว่าตัวเองมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ทั้งยังรู้สึกว่าร่างกายทนทานต่อสภาพอากาศไม่น้อย จะว่าไปแล้วข้าก็แข็งแกร่งขึ้นบ้างแล้วละนะ หึๆ เมื่อถึงลำธารเป้าหมายก็รู้สึกอยากกระโดดลงไปเต็มแก่ ทว่าขณะที่กำลังจะถอดเสื้อผ้าก็พลันได้ยินเสียงคนพูดคุยกันแว่วมาจากทางปลายน้ำ ห่างออกไปหลายจั้ง[1] น่าเสียดายที่มองไม่เห็นเพราะความหนาวเย็นทำให้เกิดม่านหมอกตลอดทั้งวันเหนือผิวน้ำ จึงเห็นแต่ภาพคนเคลื่อนไหวรางๆ เท่านั้น ครั้นฟังจากเสียงก็คาดเดาได้ว่ามีราวสองถึงสามคน เป็นเสียงที่คุ้นเคยนัก ยามนี้ข้าจึงไม่ถอดเสื้อผ้า และคิดว่าจะล้างเสื้อผ้าเน่าๆ ชุดนี้ด้วย ข้าซ่อนชุดผ้าฝ้ายเนื้อดีเอาไว้หลังก้อนหิน เผื่อว่าจะเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด อันที่จริงข้าก็คาดคิดไว้ส่วนหนึ่ง เพราะครั้งหนึ่งเคยถูกศิษย์เอกของหน่วยอัคคีพาศิษย์คนอื่นๆ รุมกลั่นแกล้งข้าด้วยการเอาเสื้อผ้าของข้าไปซ่อน จนข้าต้องทนหนาวสั่นจนแทบจะแข็งตาย พวกเขาจึงยอมคืนเสื้อผ้ามาให้ เริ่มเห็นใจกันบ้างแล้วใช่หรือไม่ ดูสิ ข้าเป็นเด็กดีขนาดไหน แค่ถีบศิษย์เอกของหน่วยอัคคีตกน้ำ อาจารย์ยังทำโทษข้าได้ลงคอ หากข้าไม่รู้วิชาแพทย์และแก้ไขได้ทันท่วงที ป่านนี้ท่านพญายมราชคงได้แต่หัวเราะเยาะข้าว่าทำอุดมการณ์ล้มเหลวไม่เป็นท่าไปแล้ว หลังจากซ่อนเสื้อผ้าเสร็จแล้วและถอดรองเท้าเก็บไว้ ข้าก็เดินไปยังโขดหินก้อนใหญ่อีกก้อนที่อยู่ไม่ไกล เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วมือสัมผัสก้อนหินก็รู้สึกสะท้านเยือกเพราะความเย็นเยียบของมัน ข้าเขย่งปลายเท้าจุ่มลงไปในน้ำ สัมผัสแรกทำเอาสะดุ้งโหยง ทว่าโชคดีแสงแดดที่กำลังส่องมาในยามสายของวันช่วยขับไล่ความหนาวเย็นได้บ้าง ในที่สุดข้าก็กลั้นใจจุ่มตัวลงไปในน้ำ ความเย็นยะเยือกของสายน้ำทำเอาผิวหนังชาด้าน ข้าจึงได้แต่ข่มใจตัวเอง หากคิดว่ามันไม่หนาวข้าก็จะไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป จิตใจจึงสงบอย่างประหลาด ที่สุดแล้วก็อดคิดถึงเนื้อหาในคัมภีร์พื้นฐานของสำนักไม่ได้ ยิ่งขบคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความหนาวเย็นค่อยๆ เลือนหายไป เหลือแต่ความอบอุ่นโล่งสบายขุมหนึ่ง ยิ่งข้ามุดศีรษะลงไปในน้ำ ใช้มือสางผมที่พันกันยุ่งเหยิงและกลั้นหายใจไปด้วย แผนผังเส้นทางลมปราณก็ผุดขึ้นมาในมโนภาพ โสตประสาทเปิดรับสรรพสำเนียงเข้ามาด้วย “ช่วงนี้ไม่เห็นเจ้าเด็กนั่น สงสัยมันจะท้อจนลงเขาไปแล้ว” ใครคนหนึ่งพูดขึ้น “มันโง่ถึงเพียงนั้น ใครๆ ก็รู้ว่าปรมาจารย์เซียวเหยาปิดกั้นตัวเองขนาดไหน ศิษย์คนก่อนที่มาตามตื๊อ หนีไปเข้าสังกัดหน่วยปฐพีแล้ว” จากนั้นก็มีเสียงใครบางคนหัวเราะแล้วพูดขึ้นมา “เจ้านั่นบอกว่าปรมาจารย์เซียวเหยาให้มันไปขอเข้าสังกัดหน่วยปฐพี มันก็เลยรีบไปสมัครสังกัดหน่วยปฐพีทันที” พูดจบก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นลูกคู่ “เรื่องนี้ไม่เหมือนกันนะ” อีกคนเถียง “เจ้านั่นยังไม่ได้กราบฝากตัวกับท่านปรมาจารย์เป็นศิษย์เลย เจ้าสำนักแค่ให้ปรมาจารย์เซียวเหยาช่วยดูคนให้เท่านั้น” ‘ข้าคารวะอาจารย์แล้วต่างหาก ผายลมอะไรของพวกมัน’ “เช่นนี้ พวกเจ้าคิดว่าเด็กคนนั้นเป็นท่านปรมาจารย์รับเอาไว้รึ” ‘ก็ใช่น่ะสิ รูปงามเช่นข้า เฉลียวฉลาดเช่นข้า ใครๆ ก็ต้องการ’ ข้าโผล่ขึ้นพ้นผิวน้ำอีกครั้ง ดวงตาพยายามเพ่งมองทะลุม่านหมอก เห็นรางๆ ว่าทั้งสามกำลังดำผุดดำว่ายเล่นน้ำกันอยู่ คงเป็นศิษย์เอกของหน่วยอัคคีกระมัง น้ำเสียงหยิ่งผยองเช่นนี้ ฮึ! รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นมาบนริมฝีปากข้า ในหัวมีวิธีแก้แค้นวิธีหนึ่ง หึๆๆ ข้ารวบรวมสมาธิ เคยคิดวิธีการเหล่านี้ในหัวมาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่แผนการของข้ากำลังจะถูกนำออกมาใช้จริงๆ คิดได้เช่นนั้นข้าก็ถอดกางเกงโยนขึ้นฝั่ง ก่อนจะรวบรวมพลังและ อา... ปัสสาวะที่อุตส่าห์อดกลั้นมาตั้งแต่เช้าได้เวลาโยกย้ายถ่ายเทลงสู่กระแสธารอันบริสุทธิ์ กลิ่นฉุนเพราะของยาสมุนไพรบำรุงกำลังที่ข้าดื่มเป็นประจำคงเพียงพอให้มันอาบย้อมลำธารแห่งความยุติธรรมนี้ไปได้สักระยะหนึ่ง แค่คิดถึงผลลัพธ์ข้าก็ตื่นเต้นจนอดขนลุกไม่ได้ หึๆ เพียงถ้วยชาเดียวก็ได้ยินเสียงคนผุดขึ้นจากน้ำและเสียงโวยวายดังตามมา “แค่ก! พี่ใหญ่ ท่านฉี่ในน้ำรึ” “เจ้าโง่ ข้าจะไปฉี่ได้อย่างไรเล่า อี๋! ทำไมน้ำในลำธารมีกลิ่นแปลกๆ เจ้าสาม เจ้าใส่อะไรลงไปในน้ำ” “พี่ใหญ่ ข้าก็ฝึกดำน้ำกับท่าน ใครจะไปอุตริทำแบบนั้นกัน” ข้ารีบวิ่งขึ้นฝั่งด้วยฝีเท้าอันเบาหวิว ทั้งขบขันทั้งหนาวสั่น และไม่ลืมหยิบกางเกงเปียกๆ ที่กองอยู่บนฝั่งกับรองเท้าแล้วหอบชุดสะอาดไปหาที่เปลี่ยน ได้ยินเสียงตะโกนแว่วๆ ดังมาว่ามีคนอยู่ทางต้นน้ำ จะว่าไปแล้ว เปลือยช่วงล่างเช่นนี้ก็โล่งๆ โหวงๆ ไม่น้อย วิ่งฝ่าดงต้นไม้สักพักเบื้องหน้าก็ปรากฏเป็นถ้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ไม่เคยพบมาก่อน คาดเดาว่าคงเป็นถ้ำร้างที่ไม่มีคนอาศัยกระมัง โชคดีที่แถบนี้ไม่ค่อยมีต้นไม้ที่มีหนาม มิเช่นนั้นร่างกายข้าคงโดนบาดจนเกิดรอยขีดข่วนเป็นแน่ “มีรอยน้ำอยู่ทางนี้พี่ใหญ่!” แย่แล้ว! ข้าไม่รอช้า รีบกระโดดเข้าพุ่มไม้ที่ปกคลุมปากถ้ำ กิ่งไม้หักๆ ครูดเท้าและก้นของข้าจนแสบแปลบ แม้จะเจ็บปวดอยู่บ้างแต่ความตื่นเต้นก็ยังคงอยู่ จึงรีบเดินคลำผนังถ้ำที่มืดสลัวเข้าไปด้านใน ปรับลมหายใจเข้าออกให้ราบเรียบที่สุดแล้วสวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว “บัดซบ! มันอยู่ไหน” เสียงของศิษย์พี่ใหญ่แห่งหน่วยอัคคีดังขึ้น ข้านั่งนิ่ง ตัวเกร็งจนแทบจะเป็นตะคริว ภาวนาให้ผีสางเทพเซียนช่วงคุ้มครองทีเถิด เพื่อเห็นแก่ความยุติธรรมในโลกนี้ “ข้าว่ามันต้องไปทางหน่วยพฤกษา พี่ใหญ่ กลิ่นที่มันทิ้งไว้คล้ายกลิ่นสมุนไพร มันต้องเป็นคนของหน่วยนั้นแน่ๆ” ‘ดี! เข้าใจแบบนี้ละดี’ ข้าได้ยินเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวของศิษย์พี่ใหญ่แห่งหน่วยอัคคี ใจพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ กลัวว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของข้าในถ้ำนี้ “ข้าว่าเราไปกันเถอะ แถวนี้เป็นเขตหวงห้ามของสำนัก เดี๋ยวจะซวยกันซะเปล่า” “ฮึ่ย! กลับ! ข้าต้องคิดบัญชีกับมันแน่ อย่าให้รู้นะว่ามันเป็นใคร” สิ้นเสียงของศิษย์พี่ใหญ่แห่งหน่วยอัคคี ฝีเท้าของทั้งสามก็มุ่งกลับไปทางลำธาร ข้าระบายลมหายใจด้วยความโล่งใจ “เจ้าเป็นคนก่อเรื่องรึ” “แน่นอนว่าต้องเป็นข้าสิ” ถามอะไรแปลกๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะหนีมาในถ้ำนี้ทำไม “ร้ายกาจไม่เบานะเจ้าหนู” โฮะๆ ตัวข้าไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรอกนะ แต่เอ๊ะ! ข้าอยู่คนเดียวนี่ แล้วที่ได้ยินคือเสียงใคร ลมหายใจเย็นเยียบเป่ารดต้นคอข้าจนขนลุกชัน ตัวของข้าเกร็งขึ้นทันใด ค่อยๆ หันไปทางขวาเพื่อมอง สิ่งที่ข้าเห็นทำให้ข้าเบิกตากว้าง ถอยกรูดไปชนผนังถ้ำ เจ็บสะโพกจนน้ำตาเล็ด ข้าไม่อาจหลับตาเพื่อหลบหลีกหรือแม้แต่จะขยับขาเพื่อวิ่งหนี รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่กดดันข้าจนไม่อาจทำอันใดได้ ใจเต้นกระหน่ำราวกับว่ามันจะหลุดออกจากอกได้ทุกเมื่อ ได้แต่ร่ำร้องในใจ ‘ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!!!’ [1] จั้ง หน่วยวัดระยะของจีน หนึ่งจั้งมีค่าประมาณ ๓.๓๓ เมตร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD