บันทึกจอมยุทธ์ ฉบับที่ ๒ ส่วนที่ ๒
ปลายฤดูใบไม้ผลิ อิงฮวาปลิดปลิว หลิวเอนลู่ลม
ข้านอนบนแคร่ไม้ไผ่ เท้าแขนมองการฝึกระดับหน่วยของสำนัก ยามเช้าอากาศสดใส เมฆฝนหายไปแล้ว เหลือแต่อากาศบริสุทธิ์สดชื่น ไอแดดยามเช้าแผดเผาจนแทบจะสุก
สวรรค์! ผ่านมาแล้วสิบห้าวัน ตัวข้าผ่านเข้าสู่รอบแปดคนสุดท้าย ปีนี้อาจารย์เจ้าสำนักจะรับศิษย์ทั้งสิ้นสี่คน นับว่าเป็นข่าวดีของพวกข้ายิ่ง ทว่าอาจารย์กลับบอกให้ข้ามานอนตากแดดเป็นปลาแห้งเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย หลังจากถูกเข็มทิ่มฝ่าเท้า
คนในสำนักต่างก็หัวร่อ คิดว่าข้าเป็นหมูในอวยรอให้ผู้คนเชือด ครั้นเห็นข้าผ่านเข้ารอบแปดคนจึงได้ตื่นตะลึงในความสมามารถอันยอดเยี่ยมของข้า หึๆ การศึกไม่หน่ายอุบาย เรื่องอะไรต้องใช้แต่พลังฝีมือเข้าสู้ หากไม่เข้าตาจนแล้ว คนอย่างข้าก็ไม่คิดทุ่มสุดตัวให้บาดเจ็บสาหัส ในอดีตยามที่เป็นคุณชายน้อยอยู่ที่ฉางอาน ข้าเคยพลาดถูกเกาลัดร้อนลวกมือจนบวมพอง ครานั้นร้องไห้ไปสามวันเพราะกลัวตาย ที่ไหนได้ กลับถูกพี่ใหญ่หัวเราะเยาะใส่ หาว่าข้าใจเท่ามด
ฮึ! ข้าไม่เถียงหรอกว่าแท้จริงแล้วตนเองถุงน้ำดีเล็กยิ่ง แต่กลัวที่สุดคือกลัวเจ็บมากกว่ากลัวตาย
การแข่งขันรอบสิบหกคนสุดท้ายผ่านพ้นไปแล้ว ผลออกมาทำให้ข้าพึงพอใจอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็วางใจได้ว่าจะไม่ได้ประมือกับอี้หลิงในรอบต่อไป สาบานได้เลยว่าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแน่นอน แผนการของข้าในตอนนี้จึงเป็นอันว่า จะทำอย่างไรให้ชนะศิษย์เอกของหนึ่งในผู้คุมกฎต่างหากเล่า
ข้าบิดขี้เกียจ เอามือยันพื้นพลางสอดส่ายสายตามองหาอาจารย์ ครั้นแน่ใจแล้วว่าเขาเข้าร่วมประชุมกับผู้อาวุโสทั้งหลายในสำนักแล้วก็อดเลียริมฝีปากที่แห้งผากไม่ได้
ข้าขยับเท้าลงจากแคร่ ย่องเข้าไปในห้องครัวอย่างเงียบเชียบ เดินผ่านโต๊ะกินข้าวไปก็เป็นเตาสำหรับทำอาหาร ด้านบนมีหม้อตุ๋นขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ถ่านใต้เตายังร้อน แสดงว่าอาจารย์คงตั้งใจจะอุ่นหม้อทั้งวัน
ข้าเปิดฝาหม้อออก ไอสีขาวแสบจมูกลอยกรุ่นออกมาจากผ้าสีขาวที่ปิดปากหม้ออีกชั้น กลิ่นเครื่องตุ๋นเปลี่ยนไป ข้าเข้าใจว่าอาจเป็นสูตรใหม่จึงรีบพัดให้ไอสีขาวเจือจางลง ปลายนิ้วมือกำลังจะแกะผ้าตรงปากหม้อออก ลมในกายก็พลันตีกลับ มือไม้ไร้เรี่ยวแรง บนผ้าขาวมีตัวอักษรสีเหลืองจางๆ เขียนเอาไว้ว่า
‘หย่งหมิง อาจารย์จะกลับมาช้า หากเจ้าเห็นข้อความนี้จงรีบกินของข้างในให้หมด หากกลับมาแล้วอาจารย์พบว่ามันเหลือหรือเจ้าแอบเททิ้ง อาจารย์จะทำโทษเจ้า!’
ข้าคงจะดีใจกว่านี้ หากไม่เห็นประโยคต่อมาที่อาจารย์เขียน
‘ช่วงนี้เจ้ากินเนื้อเยอะเกินไป เกรงว่าในท้องอาจจะมีปัญหาขับถ่ายไม่สะดวก อาจารย์กลัวเจ้าจะแข็งแรงไม่ทันประลองในรอบต่อไป เตาโต้ว[1] หม้อนี้เคี่ยวด้วยความรักทั้งหมดของอาจารย์’
ตาแก่ผู้นี้ แต่ก่อนก็วางตัวให้น่าเคารพไม่น้อย ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดยิ่งใกล้วันแข่งครั้งสุดท้ายเขาก็ยิ่งหนักข้อกับข้ามากขึ้น ทั้งยังขยันบอกรักข้าประหนึ่งว่ากำลังจะจากกันไปไกล
อา…หรือเขากลัวว่าหากข้าชนะในรอบนี้ ระยะเวลาสามปีที่ข้าต้องเข้าร่วมฝึกกับเจ้าสำนักอาจจะทำให้ไม่ได้พบเจอกันอีกกระมัง
ข้าในตอนนี้กลับโง่เขลา ทะนงตน และมองแต่หนทางเบื้องหน้า ท่อนไม้ไร้ค่าเช่นตงฟางหย่งหมิงผู้นี้กลับถูกยอดคนแห่งยุคส่งถึงฝั่งจนได้ และกว่าจะตระหนักได้ว่าอาจารย์ได้เร้นกายหายไป กลับเป็นวันที่ข้าก้าวเข้าสู่ประตูใหญ่อีกบานหนึ่ง
ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของข้าเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของผู้คุมกฎพยัคฆ์ขาวนามว่าจางฉี เป็นครั้งแรกที่ผู้คุมกฎพยัคฆ์ขาวส่งศิษย์เอกเข้าสู่การประลองฝีมือเพื่อคัดเลือกศิษย์ของเจ้าสำนัก
พยัคฆ์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในแดนตะวันตกของสำนัก ในที่สุดก็เริ่มส่งศิษย์เอกออกมาสัมผัสโลกภายนอกแล้ว
อาจารย์เคยเล่าให้ข้าฟังว่า กำลังภายในของผู้คุมกฎไป๋หู่ลึกล้ำแกร่งกร้าว หากฝึกถึงขั้นสูงสุดจะร้ายยิ่งกว่าพยัคฆ์ในป่าใหญ่เสียอีก วิชากรงเล็บพยัคฆ์เคลื่อนไหวแม่นยำและดุดัน หากสัมผัสถูกศัตรูแรงเพียงหนึ่งฝ่ามือ กระดูกและพลังปราณภายในจะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก แม้ไม่ถึงขั้นอวัยวะภายในแหลกเหลว ทว่าก็ไม่อาจใช้แรงหนักๆ ได้เป็นปี
“เสี่ยวหมิง สู้ๆ เจ้าต้องเอาชนะให้ได้”
เสียงตะโกนแหบห้าวของคนที่ข้าคาดไม่ถึงดังขึ้น เป็นเสียงของอาจารย์ปู่ที่กำลังยืนรวมอยู่กับกลุ่มศิษย์ใหม่ที่เพิ่งถูกคัดเลือกเข้ามา ท่าทางราวกับพี่เลี้ยงเด็ก เขาตะโกนครั้งหนึ่ง เด็กเหล่านั้นก็ตะโกนตามเสียงดังลั่น ปลุกกำลังใจให้ข้าจนน้ำตาซึม
ตาเฒ่าผู้นี้ถึงกับไม่อายฟ้าดิน ทิ้งลายผู้อาวุโสขั้นสูงของสำนักเพื่อมาร้องแหกปากให้กำลังใจข้าเชียวรึ...ภาพเบื้องหน้าของข้าพร่ามัวเล็กน้อย ครั้นขยี้ตาดูก็สัมผัสได้ถึงของเหลวอุ่นๆ สวรรค์! ข้าร้องไห้เพราะดีใจที่วันนี้พวกเขามาให้กำลังใจข้าอย่างนั้นหรือ ยิ่งเห็นตาเฒ่าปรบมือส่งเสียงดัง ภาพของท่านปู่ก็ปรากฏซ้อนทับขึ้นมาในหัว คล้ายกันยิ่ง…
ข้ารีบปาดน้ำตา ประสานมือคารวะคนที่ยืนอีกฝั่งของลานประลองด้วยกำลังใจที่มีเต็มเปี่ยม ซึ่งก็คือจางฉี บุรุษหน้าตาคมคาย เขาสวมชุดผ้าแพรเนื้อดีสีเทา ท่วงท่าสุขุมสง่างาม ดวงตาใต้คิ้วเข้มคมกริบดุจพยัคฆ์ร้าย มุมปากผุดรอยยิ้มยากจะหยั่งถึง เขาประสานมือตอบรับ ตรงช่วงเอวเหน็บกรงเล็บพยัคฆ์ที่เลื่องลือของศิษย์พยัคฆ์ขาว
ข้าเชื่อในลางสังหรณ์ของตนเองมากกว่าเหตุผล คนผู้นี้ฝีมือลึกล้ำ ข้าไม่อาจประมาท หากหมดทางเลือกจริงๆ แม้ต้องใช้เข็มสะบั้นวิญญาณทะลวงจุดที่เหลือ ข้าก็ต้องทำ!
อีกฝั่งของลานประลอง คนผู้นั้นกำลังมองมาที่ข้าด้วยสายตาที่ยากจะคาดเดา และหากข้าไม่สามารถเอาชนะจางฉีได้ บางทีอาจจะต้องรอไปอีกสักสิบปีเพื่อกลับไปล้างหนี้แค้นให้ครอบครัว นับว่าสำหรับข้านั้น การประลองครั้งนี้เดิมพันด้วยอนาคตทั้งหมดของตนเอง
ครั้นในภายภาคหน้าหากข้าได้หวนกลับมาคิดถึงการเลือกในวันนี้อีกครั้งก็ไม่เคยเสียใจอีก แม้ว่าสุดท้ายแล้วข้าจะต้องทุ่มสุดตัวก็ตาม
ตระกูลแตกกระสานซ่านเซ็น…ข้ายังเป็นคนได้อีกหรือ หากจะต้องอยู่อย่างอดสู มิสู้ตายไปเสียยังดีกว่า
“ตงฟางหย่งหมิง ศิษย์เอกผู้อาวุโสเซียวเหยา จางฉี ศิษย์เอกผู้คุมกฎพยัคฆ์ขาว เริ่มประลองได้!”
ใจของข้าเต้นแรงตามจังหวะกลองคล้ายกับมันกำลังจะกระดอนออกจากอกได้ทุกเมื่อ ชีพจรทั่วกายปั่นป่วน ขาสั่น มือสั่น ในหูคล้ายมีลมพัดอื้ออึง ยิ่งกว่านั้นกลับรู้สึกว่าแดดวันนี้ร้อนแรงเหลือเกิน ทั้งยังรู้สึกหนักอึ้งที่ขา บนบ่าราวกับแบกภูเขาไว้ทั้งลูก
ข้ากลืนน้ำลาย หรือนี่คือความกดดัน…ความกดดันอันไร้รูปแบบ เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ฝีมือเหนือกว่าอย่างมาก จิตใจของข้าจึงไม่สงบ มองจางฉีที่ยืนตระหง่านดุจยอดเขาเทียนซาน ยิ่งเห็นถึงความแตกต่างและความเชี่ยวชาญที่ไม่อาจเทียบเคียงได้
“พี่จางฉี โปรดออมมือด้วย” ข้าเม้มริมฝีปากแน่น ไม่กล้าสบตากับเขา ในเสี้ยวเวลาหนึ่งกลับรู้สึกว่าตัวเองช่างด้อยค่ายิ่ง
จางฉีอมยิ้ม ขยับใกล้เข้ามาอีกสองสามฉื่อ[2] “รบกวนน้องตงฟางแล้ว”
อา…บอกไม่ถูก เขาไม่จำเป็นต้องถ่อมตัว ข้าก็ไม่รู้สึกว่ากำลังถูกเขาดูแคลนสักเท่าใด อาจเป็นเพราะข้ารู้ความสามารถของตัวเองดีกระมัง
จางฉีหยิบกรงเล็บพยัคฆ์ขึ้นมาสวม ตัวกรงเล็บทำจากเหล็กกล้าเนื้อดี เหล็กสีเงินวาววามสะท้อนแสงอาทิตย์ บางเฉียบดุจใบหลิว ทว่าข้าไม่อาจประเมินอานุภาพของมันให้ด้อยกว่าที่เห็น อดคิดไม่ได้ว่าหากกรงเล็บนี้ปะทะเข้ากับแผ่นหลังของข้าเต็มๆ จะเป็นอย่างไร
ลำคอข้าแห้งผาก…ขนลุกชัน ข้าหลับตาเพื่อเรียกสติให้กลับมา ครั้งนี้จำต้องใช้เคล็ดวิชาเบญจธาตุที่ฝึกฝนมาใช้ให้เกิดประโยชน์ อา…รู้แล้วว่าเหตุใดบ่าของข้าจึงหนักอึ้ง
ในที่สุดอาจารย์ก็อนุญาตให้ข้าใช้กระบี่ กระบี่ที่ทำขึ้นโดยช่างตีเหล็กในตำนานหรือจะสู้กระบี่ที่อาจารย์พูดอย่างไม่ใส่ใจว่าหลอมมาจากมีดทำครัวของเขา ข้าไม่รู้หรอกว่ากระบี่บนหลังที่สะพายนี้คือกระบี่อะไร อาจารย์เรียกมันว่าอู่เฟิง เขาหายไปเกือบเจ็ดวัน และกลับมาพร้อมกระบี่เล่มนี้ หากเขาบอกว่าเป็นเขาที่สร้างมันขึ้นเองกับมือ ข้าก็ยอมเชื่อเขาแต่โดยดี
มือขวาเอื้อมจับด้ามกระบี่ รวมรวมพลังปราณไปที่ฝ่ามือ กระบี่อู่เฟิงเป็นกระบี่ประหลาด ทุกครั้งที่จะดึงออกจากฝักได้ต้องใช้พลังที่แขนพอสมควร เส้นปราณบางจุดข้ายังติดๆ ขัดๆ ไม่อาจฝืนทะลวงได้ตามใจชอบ ตอนนี้สมดุลระหว่างกำลังภายในกับภายนอกยังเหลื่อมล้ำ ตอนฝึกต้องทุ่มแรงเป็นอันมากกว่าจะออกกระบวนท่าได้ในแต่ละครั้ง
กระบี่อู่เฟิงนั้นมีเนื้อกระบี่เงาดุจกระจก ไร้ซึ่งริ้วรอยใดๆ เรียบลื่นวาววาม สง่างามราวกับดรุณีแรกรุ่นที่ไร้ราคี อา…อาจารย์สาธยายให้ฟังหรอกนะ ข้าก็ไม่เข้าใจนัก ทว่าทุกครั้งที่ใช้พลังเบญจธาตุ กระบี่ในมือจะเบาดุจปุยนุ่น เคลื่อนไหวคล่องแคล่วประหนึ่งกำลังแกว่งไกวกระบี่ไม้
“กระบี่อะไร น่าขันสิ้นดี”
เสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่อข้าชักกระบี่ คำพูดขำขันล้อเลียนดังขึ้นจากศิษย์หน่วยอัคคี ในอกข้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ทว่าจำต้องฝืนอดกลั้นรอคอยให้จางฉีเริ่มการจู่โจมอย่างใจเย็น
แม้ว่าความสามารถพื้นฐานของข้าจะด้อยกว่าจางฉี ทว่าอย่างน้อยมันสมองของข้าก็ไม่เคยทำให้ผู้ใดต้องดูหมิ่นอาจารย์ได้
จางฉีกะพริบตา วูบเดียวก็เคลื่อนเข้าใกล้ตัวข้า ข้าพลันรู้สึกราวกับว่าเส้นลมปราณที่ตากำลังกระตุกพล่าน มองเห็นการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าลงระหว่างข้ากับเขา กรงเล็บสีเงินพุ่งเข้าหาลำตัวข้าโดยตรง กระบี่อู่เฟิงคล้ายมีชีวิต แขนของข้ายกขึ้นต้าน ชี้ปลายกระบี่อู่เฟิงลงพื้น ข้าสะกิดเท้าไปด้านหลังครึ่งฉื่อ กรงเล็บสีเงินของจางฉีขย้ำโดนตัวกระบี่อู่เฟิงดังติ๊งแล้วรูดเข้าหาตัวเขา เสียงโลหะครูดกันเสียดแทงแก้วหูอย่างยิ่ง ข้าเสือกกระบี่เข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว จางฉีรู้ตัวแล้วว่าขย้ำพลาด เขาเปลี่ยนสีหน้า แววตาดุร้าย ใช้มืออีกข้างจับกระบี่ของข้าเอาไว้ ตั้งท่าจะทำลายกระบี่อู่เฟิง
อำมหิต! อำมหิตเกินไปแล้ว แววตาของเขาคล้ายกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง ถึงกับคิดทำลายกระบี่ของข้า!
ข้ากัดฟันรั้งกระบี่กลับ ทว่ากำลังที่ข้อมือและแขนของคนผู้นี้แข็งแกร่งอย่างมาก อาจารย์เคยเล่าว่าวิชากรงเล็บของผู้คุมกฎไป๋หู่แข็งแกร่งเกือบเทียบเท่าวิชาหมัดของเส้าหลิน ดูท่าแล้วก็คงกล่าวไม่ผิดนัก ความกดดันอีกขุมหนึ่งก่อกวนจิตใจข้าอีกครั้ง จางฉีแยกเขี้ยว ดวงตาแดงก่ำราวกับสัตว์ร้าย
เขากำลังจับปลายกระบี่หันเข้าหาตัวข้า ตั้งใจจะหักกระบี่จริงๆ ข้าเบิกตากว้าง รู้สึกปวดแปลบที่ฝ่ามือ แม้จะใช้มือข้างซ้ายเข้าช่วย ขาทั้งสองข้างยันพื้นเพื่อไม่ให้ไถล ทว่าจางฉีกลับหัวเราะในลำคอ เร่งพลังปราณส่งผ่านกระบี่อู่เฟิงกลับมา เท้าของเขามั่นคง ดันจนข้ายืนแทบไม่อยู่
อุ้งมือของข้าเริ่มชา จางฉียิ่งได้ใจ เขาสังเกตสีหน้าข้า ใช้ความแข็งกร้าวปะทะความอ่อนหยุ่นอย่างข้าด้วยความกร้าวแกร่งที่ยิ่งกว่า ข้าสูดลมหายใจ ไม่ผิดไปจากที่คิด ศิษย์หน่วยทองเชี่ยวชาญอาวุธทุกชนิด พลังปราณบริสุทธิ์ทั้งสองสายของจางฉีนอกจากทองแล้วคงเป็นดิน ดินให้กำเนิดทอง เกื้อหนุนทอง พลังยุทธ์ของเขาถึงโหดเหี้ยมและดุดันถึงเพียงนี้
ผลุบ!
มือขวาของข้าชาคล้ายกับว่าเส้นลมปราณตรงปลายนิ้วขาดสะบั้น กระบี่หลุดจากมือกะทันหัน แรงเหวี่ยงทำให้ด้ามจับกระบี่ฟาดหน้าผากจางฉีเข้าอย่างจัง
ผัวะ!
รอบข้างเงียบกริบ มีเพียงข้าที่ยังคงมีสติ หน้าผากของจางฉีเลือดอาบ ดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว ลมหายใจของเขายิ่งนานยิ่งถี่กระชั้น กลิ่นเหงื่อปะปนกับกลิ่นคาวเลือด
ไหล่ข้าสั่นเทาน้อยๆ ดุจกำลังยืนอยู่ท่ามกลางลานประลองระหว่างมนุษย์ที่แสนอ่อนแอกับพยัคฆ์ที่แสนโหดเหี้ยม อา…หากไม่ใช่ข้าที่กำลังประลองกับเขาก็คงหลุดหัวเราะไร้มารยาทไปบ้าง ทว่าเพราะเป็นข้าที่ทำให้เขาบาดเจ็บ เพราะเป็นข้าที่ยืนอยู่บนลานประลองนี้ ข้าจึงหวาดกลัวยิ่ง
กระบี่หลุดมือ ในใจประหวั่นข้าพรั่นพรึงยิ่ง ท่านพ่อ…ท่านแม่…ช่วยข้าด้วยเถิด
จางฉีกำปลายกระบี่แน่น ทว่ากลับไม่มีรอยบาดแม้แต่น้อย เขาถลึงตากว้าง ขว้างกระบี่อู่เฟิงลงกับพื้นราวกับขว้างปาสิ่งของไร้ค่าชิ้นหนึ่ง พลันง้างเท้าเหนือกระบี่ เผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมและเสียงคำรามทุ้มต่ำในลำคอดุจปีศาจคลุ้มคลั่ง ใจของข้ากระตุกวูบ...ในหูอื้ออึง
กระบี่ของอาจารย์ไม่อาจถูกคนเหยียบย่ำ ในสำนักยึดถือมาโดยตลอด หากผู้ใดเหยียบย่ำกระบี่ของผู้อื่นเท่ากับกำลังดูถูกผู้ที่เป็นอาจารย์ของคนผู้นั้นด้วย
“ไม่!” ลำคอข้าแห้งผาก พุ่งสุดตัวเพื่อคว้ากระบี่บนพื้น เพียงชั่วพริบตาฝ่าเท้าของจางฉีก็เหยียบลงมาบนหลังมือของข้าเต็มแรง ใต้พื้นรองเท้าของเขาเป็นเดือยแหลมนับสิบ ข้ารู้สึกราวกับกำลังถูกหนามแหลมทิ่มแทงบดเบียดกระดูกบนมือของข้าจนแหลกเหลว
เจ็บ…ทว่าข้าไม่อาจร้องไห้ ศักดิ์ศรีของอาจารย์ไม่อาจถูกเหยียบย่ำ เลือดไหลอาบหลังมือ เสียงกระดูกลั่นกร๊อบ ตัวข้าพลันสะท้านเยือก รอบกายเงียบสงัด ข้ามองเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวอย่างทนไม่ได้ของผู้คนข้างลานประลอง
จางฉี…ภายนอกดุจสุภาพชน ทว่ากลับเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ ใต้รองเท้าของคนผู้นี้กลับแฝงลูกเล่นที่อันตรายยิ่ง หากข้าไม่ยื่นมือไปขวาง เขาก็จะทำลายกระบี่ของข้าจริงๆ
ความขมฝาดผุดวาบในอก โทสะแล่นริ้วดุจกองเพลิงที่ถูกน้ำมันซัดสาดจนสว่างโชติช่วง
“อ๊ากกก!!!” ข้ากู่ร้อง ความโกรธเกรี้ยวผุดขึ้นราวกับภูเขาไฟในอกปะทุ ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย ความโกรธ ความเกลียดชัง ความคั่งแค้นผุดพรายไม่หยุดหย่อนจนไม่อาจควบคุมตัวเองได้แล้วในตอนนี้ ความร้อนรุ่มและเย็นเยือกหลั่งไหลปะปนกันไปทั่วเส้นลมปราณพื้นฐานทั้งแปด ประสานเข้ากับพลังขุมหนึ่งจากจุดตันเถียน หมุนวนจนรวดร้าวไปทั้งกาย ข้ากัดฟันทนเจ็บแล้วหงายตัว เหนี่ยวขาทั้งสองข้างฟาดลำตัวของจางฉี มันเอากรงเล็บเข้ารับ ข้าจึงบิดข้อเท้าเต็มแรงจนมันถอยกรูดไปหลายจั้ง ตัวข้าในตอนนี้กลับลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น แม้ว่ากรงเล็บจะทะลุข้อเท้าของข้าจนบาดเจ็บ ทว่ากลับเป็นโอกาสอันดีในการลุกขึ้นยืนและดึงกระบี่กลับ
เคร้ง! กระบี่อู่เฟิงหลุดออกจากมือ นิ้วมือขวาทั้งห้าไร้ความรู้สึก ข้าเบิกตากว้างมองผู้คนรอบด้านที่สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งแล้วมองมาอย่างเงียบเชียบ
อาจารย์ปู่…อาจารย์…อี้หลิง…พวกเขากำลังสงบเพื่อให้ข้าสงบ อาจารย์ส่ายหน้าพลางยิ้มบางๆ ให้ข้าว่าไม่เป็นไร ตาเฒ่าส่ายหน้าประหนึ่งว่าจะบอกให้ข้ายอมแพ้ ทว่าอี้หลิงยังคงมองมาที่ข้าด้วยแววตาเชื่อมั่นเต็มเปี่ยม
ตงฟางเหมยเสิน…กำลังยิ้มเยาะ มองความล้มเหลวของข้า
จางฉีหัวเราะ “ยอมแพ้ซะ”
ข้ามองหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย จู่ๆ ก็อยากยิ้มขึ้นมา ยอมแพ้คนที่คิดดูถูกอาจารย์ของข้า ยอมแพ้เพื่อให้คนทรยศเหยียบย่ำซ้ำเติมศักดิ์ศรีของตระกูลหรือ หึ!
“ไม่มีทาง!” ข้ากัดฟันแน่น เผยยิ้มวิปลาส มือขวาของข้าแม้ไม่อาจเอื้อมจับกระบี่ กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะไร้ทางสู้
“เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว” พูดจบจางฉีก็พุ่งเข้ามา
ข้ายิ้มเยาะตัวเอง สูดลมหายใจลึก รวมพลังปราณไปที่ฝ่าเท้า กระทืบพื้นสุดแรงจนสั่นสะเทือน กระบี่อู่เฟิงลอยเข้ามือซ้ายอย่างแม่นยำ
“ใช้มือซ้าย มิสู้ยอมแพ้” จางฉีกล่าวเยาะ ตวัดฝ่ามือเข้าหา
ข้าหลบเลี่ยง ฟาดกระบี่ใส่จางฉีเต็มแรงจนมันถอยร่น จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้น คาบเข็มที่ซ่อนอยู่ใต้ปลอกมือออกมา
“หยุดนะหย่งหมิง” อาจารย์ตะโกนเสียงดังลั่น หมดสิ้นท่าทางสูงส่งเหนือผู้คน เขาทำหน้าตาตื่น ทำท่าจะพุ่งตัวเข้ามาในลานประลอง “ข้าขอห้าม!”
ข้าไม่สนใจเขา เป่าเข็มออกจากปากอย่างแม่นยำ ความเจ็บปวดพลันเลือนหาย กระแสพลังอาบล้น ทว่าข้ารู้ดี…ถึงความเสี่ยงที่จำต้องเดิมพัน
“เจ้าทำอะไร” จางฉีมองอย่างหวาดระแวง ไม่กล้าเคลื่อนเข้ามามั่วซั่ว
ข้ายิ้มมุมปากมองมันอย่างสมเพช “ข้าเพียงคิดสั่งสอนคนที่เหยียบย่ำเกียรติของผู้อื่น การที่เจ้ามีฝีมือเหนือกว่า ไม่ได้หมายความว่าเจ้าสูงส่งกว่าผู้ใด.. จางฉี แท้จริงแล้วข้าไม่ได้ถนัดขวา!”
กระแสลมหวีดหวิว ผู้คนส่งเสียงอื้ออึง ทว่าในใจของข้าตอนนี้กลับได้ยินเพียงเสียงชีพจรเต้นพล่านไปทั่วร่าง เสียงลมหายใจหนักหน่วงของตน ตระหนักรู้ถึงสภาวะหนึ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ชีพจรทั้งหมดได้ผ่านการทะลวงแล้ว ปลายนิ้วมือขวาเป็นเพียงจุดเดียวที่เหลืออยู่ เพราะข้าไม่เคยให้ผู้ใดรับรู้ว่าถนัดมือซ้าย อาจารย์จึงไม่ยอมให้ข้าทะลวงจุดที่มือขวา เกรงว่าหากฝืนทะลวงอีกครั้งอาจจะกระทบถึงเส้นแขนไท่ยินปอดกับแขนหยางหมิงลำไส้ใหญ่ ยิ่งฝืนเร่งพลังปราณในกายเท่าใด ชีพจรที่เกี่ยวกับหัวใจก็จะได้รับผลกระทบเป็นอันตรายถึงชีวิต
ทว่าตัวข้าในตอนนี้…ไม่ใช่เพื่อศักดิ์ศรีเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความปรารถนาทั้งหมดทั้งมวลของข้า
ข้ามิอาจไปพบหน้าท่านปู่ที่ช่วยเหลือให้ข้ามายังสถานที่แห่งนี้ ไม่อาจไปบอกเขาว่าข้ายังพยายามไม่เพียงพอ…หากตงฟางหย่งหมิงไม่พยายามจนถึงที่สุด ครอบครัวของข้า...จะต้องเศร้าใจเป็นแน่
[1] ยาที่มีสรรพคุณช่วยอบอุ่นไต บำรุงหยาง
[2] ๑ ฉื่อ ประมาณ ๑๐ นิ้ว