เรื่องที่ 1 เพลิงรัก (1/4)
สัตยานักธุรกิจหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปี เดินทางเข้าไปยังบริษัทในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลางเพื่อรอรับตำแหน่งรองประธานบริหารที่ต้องทำในอนาคตอันใกล้นี้ โดยมีสัญชัยพี่ชายของเขาซึ่งเป็นประธานบริษัทคอยให้คำปรึกษาเขาอยู่
สัตยาเป็นลูกของภรรยารอง และพี่ชายของเขาเป็นลูกของภรรยาคนแรก เขาเลยไม่เคยน้อยใจที่ได้รับแค่ตำแหน่งผู้บริหาร อีกทั้งคนที่เคยเกเรและเรียนเกือบไม่จบอย่างเขาได้มาไกลขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ต่างจากพี่ชายที่เรียนจบต่างประเทศและมีคุณสมบัติที่จำดำรงตำแหน่งประธานบริษัทอย่างนี้
พ่อของสัตยายกบ้านให้สัตยากับแม่ของเขาอยู่แยกกันกับบ้านหลังใหญ่ เพื่อความสบายใจของภรรยาทั้งสองคน ที่ถึงจะเข้ากันได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เกิดปัญหา และดีที่สัญชัยนั้นรักสัตยาและคอยช่วยเหลือน้องชายอยู่เสมอ สัตยาจึงไม่รู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายที่เกิดเป็นลูกภรรยารอง หรือที่หลายๆ คนเรียกว่าเมียน้อย
แต่พอมารดาของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุยี่สิบเอ็ดปี และสัญชัยก็ไปเรียนต่อต่างประเทศในช่วงนั้น สัตยาต้องอยู่บ้านที่บิดายกให้ตามลำพังโดยมีคนรับใช้เก่าแก่อีกสองคนคอยดูแลเขา สัตยาเสียใจจนไม่เป็นอันทำอะไร เที่ยวดื่มเหล้าจนไม่ได้ไปสอบจนถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัยและทำให้ผิดใจกับบิดาเพราะความเกเรของเขา
แต่ชีวิตเขาดีขึ้นหลังจากเจอแพรวพราวในวัยสิบเก้าปี ลูกแม่ค้าขายข้าวราดแกงหน้ามหาวิทยาลัย เธอช่วยเขาเรียนจนจบและช่วยให้เขาคืนดีกับบิดา และมีชีวิตที่ดีขึ้นจนถึงทุกวันนี้
จนบิดาของเขาเสียไปเมื่อปีที่แล้วหลังเขาแต่งงานกับแพรวพราวได้หนึ่งปี สัญชัยเข้ารับตำแหน่งประธานแทนบิดาและยังคงเป็นพี่ชายที่แสนดีอย่างเดิม เพียงแต่สัตยาไม่เคยไปเหยียบบ้านหลังใหญ่อีกเลย เพราะอึดอัดเวลาถูกมารดาของสัญชัยมองเขาด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจนัก
สัตยาแต่งงานกับแพรวพราวได้สองปีแล้ว ตลอดเวลาสองปีทั้งสองคนมีความสุขกันมาก
“พรุ่งนี้ก็จะครบรอบหกปีของเราแล้วนะคะ พี่ใหญ่อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมคะ แพรวจะได้เตรียมเอาไว้ให้” แพรวพราวถามสามีอย่างเอาใจ
พรุ่งนี้เป็นวันครบรอบหกปีที่เจอกันครั้งแรก และอีกสองเดือนก็เป็นวันครบรอบสองปีของงาน แต่งงานของทั้งคู่
“ปีหนึ่งมีวันครอบรอบสองครั้งแบบนี้ ไหนจะวาเลนไทน์ ปีใหม่ คริสมาสต์ ตรุษจีน ไม่เหนื่อยบ้างหรือยังไงที่ต้องเอาใจผมแบบนี้” สัตยาถามแล้วคว้าภรรยามากอดก่อนที่จะหอมแก้มเธอ
“แพรวเหงานี่ค่ะ พี่ใหญ่ไม่ให้แพรวออกไปทำงานด้วยแบบนี้ไม่มีอะไรทำนี่นา” แพรวพราวบอก
“แพรวแค่ทำอาหารเหมือนทุกวันก็พอ ไม่ต้องพิเศษอะไรมากมายหรอก แล้วอีกอย่างเมียคนเดียวผมเลี้ยงได้ ไม่ต้องไปทำงานที่บริษัทให้ต้องวุ่นวายปวดหัวเปล่าๆ” สัตยาบอก
“อืม พี่ใหญ่ค่ะ คือแพรวมีเรื่องอยากจะขอร้องพี่ใหญ่” แพรวราวบอก
“อยากได้อะไรบอกมาเลย ถ้าหาได้ผมจะหามาให้แพรวทุกอย่าง” สัตยาบอก
“แพรวอยากรับพลอยมาอยู่ด้วย ได้หรือเปล่าคะ” แพรวพราวถามสามีด้วยน้ำเสียงเบา รู้ว่าเขานั้นไม่อยากให้เธอยุ่งเกี่ยวกับครอบครัวเก่าของเธอ ครอบครัวที่ไม่มีใครต้องการและขับไล่ไสส่งเธอ แม้กระทั่งงานศพของมารดาและงานแต่งงานของเธอก็ไม่มีใครมาร่วมแสดงความยินดี
เมื่อสิบสี่ปีก่อนพ่อแม่ของแพรวพราวและพลอยไพลินแยกทางกัน แพรวพราวอยู่กับแม่และช่วยแม่เปิดร้านข้าวแกงไปและเรียนมหาวิทยาลัยเปิดไปด้วย ตอนนั้นเองที่ได้พบกับสัตยา เขาเกเรจนถูกให้ออกจากมหาวิทยาลัยเอกชนตอนปีสามและกลับเข้ามาเรียนปีหนึ่งใหม่ในมหาวิทยาลัยเปิด จนพบรักกับแพรวพราวและเธอฉุดเขาให้ก้าวขึ้นมา เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่จนถึงทุกวันนี้
ส่วนพลอยไพลินอยู่กับบิดา เขาแต่งงานใหม่และพาเธอไปอยู่ด้วย พลอยไพลินโดนน้องชายและแม่เลี้ยงรังแก บิดาเองก็รักลูกใหม่มากกว่า ไม่ให้พลอยไพลินใช้โทรศัพท์ ไม่ให้ติดต่อกับแพรวพราวและมารดาเลย แม้กระทั่งตอนมารดาเสียชีวิตพลอยไพรินก็รู้เป็นคนสุดท้ายหลังจากงานศพถูกจัดไปแล้ว พลอยไพลินจึงอยู่บ้านหลังนั้นอย่างไม่มีความสุข
“ตอนแม่แพรวเสีย พ่อเองก็ไม่ได้อยากดูแลแพรว พลอยเองก็ไม่ได้มาร่วมงานศพแม่ตัวเองด้วยซ้ำ ตอนงานแต่งเราก็ไม่มีใครมา ตอนนี้พอไม่มีทางไปก็จะมาอาศัยกันง่ายๆ แบบนี้เลยหรือไง” สัตยาบอกเสียงเรียบ เขาไม่รู้ว่าพลอยไพลินนั้นน่าสงสารเพียงใด
สัตยาไม่ได้โกรธภรรยาที่จะพาน้องสาวมาอยู่ด้วย แต่โกรธครอบครัวของเธอที่ตอนนั้นมารดาของแพรวพราวเสียชีวิต บิดาแท้ๆ ไม่เคยเหลียวแลเธอเลย แพรวพราวต้องขายข้าวแกงส่งตัวเองเรียนจนจบและแต่งงานกับสัตยาหลังจากที่ทั้งคู่เรียนจบแล้ว
“พลอยเขามาไม่ได้เพราะแม่เลี้ยงไม่ยอมให้มาต่างหากล่ะคะ ตอนนี้พลอยโดนกดขี่จากบ้านนั้น แพรวอยู่อย่างสุขสบายแล้ว ไม่อยากเห็นน้องต้องลำบากคนเดียว” แพรวพราวพูดเสียงอ่อน จนสัตยาอดสงสารเธอไม่ได้ และต้องใจอ่อนอีกตามเคย
“โอเค งั้นผมจะยอมแพรวครั้งนี้เป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับบ้านนั้น” สัตยาบอก แพรวพราวยิ้มแล้วคล้องคอสามีดึงลงมาหอมแก้ว
“ขอบคุณนะคะพี่ใหญ่ แพรวขอบคุณมากๆ เลยค่ะ” แพรวพราวบอกแล้วยิ้มให้สามีอย่างมีความสุข จนทำให้สัตยาต้องยิ้มตามไปด้วย เมื่อเห็นภรรยายิ้มกว้างได้ขนาดนี้
**********************
แพรวพราวก็รีบโทรบอกน้องสาวว่าให้เธอมาอยู่ด้วยได้ พลอยไพลินดีใจมากที่จะได้ออกไปจากที่นี่ เพราะตอนนี้บิดาที่เป็นที่พึ่งเดียวนั้นตอนนี้ไม่ได้เห็นเธออยู่ในสายตาด้วยซ้ำ มีแต่เอาใจลูกชายที่เกิดจากแม่เลี้ยงที่ตอนนี้อายุสิบขวบแล้วและชอบไล่ตีแต่พี่สาวอย่างเธอโดยมีแม่เลี้ยงให้ท้าย
งานศพของมารดาแม่เลี้ยงก็ไม่ให้เธอไป เพราะพ่อและแม่เลี้ยงไม่บอกเธอเลยว่ามารดาของเธอนั้นเสียแล้วเพราะไม่อยากเสียเงินจ่ายค่ารถและค่าที่พักให้พลอยไพลินเดินทางไปไว้ศพ จนงานศพเสร็จสิ้นจึงบอกเธอ มันทำให้พลอยไพลินหมดศรัทธาในตัวบิดาทันที
ตอนพลอยไพลินเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เธอทำงานพิเศษและเก็บเงินซื้อโทรศัพท์ รอจนวันหนึ่งแพรวพราวโทรมาแจ้งข่าวเรื่องแต่งงาน ตอนนั้นเองที่พลอยไพลินแอบขอเบอร์ติดต่อพี่สาวเอาไว้และแอบติดต่อกันเรื่อยมา
จนตอนนี้เธอเรียนจบปริญญาบัตรชั้นสูงแล้ว และอยากออกไปจากบ้านหลังนี้ เพราะทนโดนน้องชายเล่นตบตีเธอแรงๆ ไม่ไหว อีกทั้งแม่เลี้ยงก็ใช้งานเธอสารพัด เงินจากการทำงานพิเศษที่พลอยไพลินส่งตัวเองเรียนก็ชอบมาขอเธออยู่บ่อยๆ บางทีก็โดนน้องชายมาขโมยเงินไปเล่นเกม พ่อก็ไม่เคยใส่ใจและไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาตั้งแต่มีลูกชายสมใจเขา
พลอยไพลินจึงมองหาที่พึ่งสุดท้ายคือพี่สาว เธอไม่ได้หวังให้พี่สาวดูแล แค่มีที่ซุกหัวนอน ให้เธอได้พักพิงเท่านั้นก็พอแล้ว
เธอเก็บเสื้อผ้าและเอกสารส่วนตัวที่จำเป็นแอบออกไปจากบ้านในตอนกลางดึกคืนนั้น โดยไม่รู้ว่าที่ที่จะไปนั้นสุดท้ายแล้วมันก็ยิ่งกว่าตกนรกเมื่อได้เจอกับสัตยา พี่เขยของเธอเอง
**********************
พลอยไพลินมาถึงบ้านพี่สาวในตอนเย็น โดยที่แพรวพราวส่งคนไปรับเธอที่สถานีขนส่ง ทันทีที่ก้าวลงจากรถพลอยไพลินก็ถึงกับตาค้าง ไม่คิดว่าพี่สาวจะมีวาสนาได้แต่งงานกับคนที่ดูมีฐานะอย่างนี้
แพรวพราวเดินมาต้อนรับน้องสาวแล้วพาไปดูห้องบนชั้นสองที่เธอเตรียมเอาไว้ให้
“เป็นอย่างไร ชอบไหม” แพรวพราวถาม
“ยิ่งกว่าชอบอีกค่ะพี่แพรว พลอยขอบคุณนะคะที่ช่วยให้พลอยได้มีที่พัก ทั้งๆ ที่พลอยไม่เคยช่วยเหลืออะไรพี่แพรวเลย” พลอยไพลินบอก การพลัดพรากไม่ได้เจอกันสิบกว่าปีมันไม่ได้ทำให้สายสัมพันธ์ของพี่น้องนั้นขาดหายไปเลย พลอยไพลินเดินไปกอดพี่สาวแล้วอยู่ๆ ก็ร้องไห้ออกมา
“เป็นอะไรไป” แพรวพราวถามอย่างห่วงใย
“แม่ตาย พลอยก็ไม่ได้มาส่งแม่ พลอยรู้สึกแย่กับตัวเองมากๆ เลย” พลอยไพลินบอก
“ไม่ต้องคิดมากนะพลอย พี่เข้าใจว่าพลอยต้องเจอกับอะไรมาบ้าง พลอยอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปข้างล่างนะ อีกสักพักพี่ใหญ่ก็จะกลับแล้ว” แพรวพราวบอกน้องสาวแล้วเดินออกจากห้องไป
พลอยไพลินอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินลงมายังชั้นล่าง เธอเห็นสัตยาที่เดินเข้ามาก็ยกมือไหว้ทักทายเขา
“สวัสดีค่ะพี่ใหญ่”
“กองไว้ตรงนั้น แล้วอย่ามาเรียกฉันว่าพี่ เธอไม่ใช่น้องฉัน” สัตยาบอกเสียงเข้ม เขาต้องทำตัวเสียมารยาทตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อปรามไม่ให้พลอยไพลินคิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรก็ได้เพราะมีพี่สาวให้ท้าย
“ค่ะ คุณใหญ่” พลอยไพลินบอกเสียงเบา
“อ้าวพี่ใหญ่กลับมาแล้วหรือคะ” แพรวพราวบอกแล้วเดินไปรับกระเป๋าและเสื้อสูทของสามีมาถือไว้เพื่อเตรียมนำไปเก็บ และเข้าใจว่าทั้งสองคงทักทายกันเรียบร้อยแล้ว
“ทักทายกันเสร็จแล้วก็ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ” แพรวพราวบอกแล้วเดินเอากระเป๋าและเสื้อของเขาขึ้นไปเก็บด้านบน
“เธออยู่ที่นี่ในฐานะคนอาศัย อย่ามาตีตัวเทียบเสมอฉัน” สัตยาบอกแล้วเดินนำพลอยไพลินไปที่โต๊ะอาหาร แล้วนั่งลงที่หัวโต๊ะ พลอยไพลินเลยจะนั่งลงตรงขวามือของเขา
“ตรงนั้นที่ของแพรว” สัตยาบอกเสียงเข้ม พลอยไพลินจึงขยับไปนั่งอีกฝั่งซึ่งเป็นซ้ายมือของเขาแทน เธอรู้สึกอึดอัดเมื่อต้องอยู่กับเขาตามลำพัง ถึงจะมีป้าแม่บ้านกำลังจัดโต๊ะอยู่ก็ตาม
พอแพรวพราวเดินมานั่งที่เก้าอี้แล้วสัตยาก็เริ่มลงมือทานอาหาร พลอยไพลินก็โล่งอกขึ้นมาบ้าง เธอลอบมองสองสามีภรรยาตักอาหารเอาใจกันอยู่สักพักเธอสังเกตว่าสัตยาอ่อนโยนมากเมื่ออยู่กับแพรวพราว ทำให้พลอยไพลินโล่งใจที่เขานั้นไม่ได้ใจร้ายกับพี่สาวของเธอ แต่ก็แอบหนักใจที่เขาดูไม่ชอบเธอเลย
“แล้วมาอยู่นี่จะมาเรียนต่อหรือว่าทำงานล่ะ” สัตยาถามขึ้นเสียงเรียบ
“คิดว่าจะเรียนทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยค่ะ” พลอยไพลินบอกอย่างเกร็งๆ
“จะไม่เหนื่อยหรือพลอย” แพรวพราวถามอย่างห่วงใย
“พลอยอยากทำงานส่งตัวเองเรียนค่ะ แค่อาศัยอยู่ที่นี่ก็เกรงใจพี่แพรวกับคุณใหญ่แล้ว อีกอย่างพลอยเคยลำบากกว่านี้ แค่ทำงานไปเรียนไปสบายมากค่ะ” พลอยไพลินบอกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มให้พี่สาวสบายใจ แต่สำหรับสัตยาแล้วมันเป็นรอยยิ้มที่ดูเสแสร้ง
**********************
ตลอดสองปีที่พลอยไพลินอาศัยอยู่กับครอบครัวของพี่สาว เธอช่วยเหลืองานบ้านเท่าที่ทำได้ เธอทำงานเป็นพนักงานคิดเงินที่ร้านสะดวกซื้อและหยุดในวันเสาร์และอาทิตย์เพื่ออ่านหนังสือ ทำรายงานและทำกิจกรรมต่างๆ ตามตารางของมหาวิทยาลัยเปิดที่เน้นวันเสาร์อาทิตย์
พลอยไพลินออกจากบ้านแต่เช้า กลับบ้านตอนค่ำ ทำอย่างนี้เป็นประจำเพื่อหลีกเลี่ยงที่จะเจอหน้าหรือพูดคุยกับสัตยา ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ถ้าเลี่ยงไม่ได้เธอก็พยายามไม่เดินไปเฉียดตรงที่เขานั่งอยู่ให้เขาต้องขุ่นข้องหมองใจ
“พลอย สอบเสร็จตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนี่ วันนี้จะไปไหนอีก” แพราวพราวถามน้องสาวด้วยน้ำเสียงที่ดูอิดโรย
“พลอยจะไปทำเรื่องขอเอกสารรับรองผลการศึกษาค่ะ จะได้มีวุฒิปริญญาตรีไว้สมัครงานที่อื่น” พลอยไพลินบอกพี่สาวขณะที่กำลังจะรีบออกจากบ้าน
“อืม รีบไปเถอะ” แพรวพราวบอกแล้วปิดปากหาวนอนอย่างอ่อนเพลีย สองสามวันมานี้เธอรู้สึกอ่อนเพลียง่ายและง่วงนอนตลอดเวลา และตัวก็บวมๆ ขึ้น
“พี่แพรวเองก็ไปหาหมอบ้างนะคะ พลอยเป็นห่วง” พลอยไพลินบอกแล้วรีบขอตัวออกไปเมื่อเห็นว่าสัตยากำลังเดินลงมา แพรวพราวส่ายหัวเบาๆ เธอรู้ว่าสัตยานั้นอคติกับพลอยไพลิน ส่วนพลอยไพลินเองก็พยายามเลี่ยงการเผชิญหน้าสัตยา
“ไหนบอกว่าสอบเสร็จ เขาจะไปไหนของเขา คงไปเที่ยวนะสิ พี่สาวไม่สบายแทนที่จะอยู่ดูแล น้องสาวแพรวนี่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ” สัตยาพูดขึ้นมาขณะที่เดินเข้ามาหาภรรยา
“พลอยเขาไปทำเรื่องขอใบรับรองวุฒิต่างหากค่ะ พี่ใหญ่คิดมากไปแล้ว ที่ผ่านมาพลอยก็ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบไม่ได้ขอเงินเราเลยแม้แต่บาทเดียว จนป่านนี้แล้วพี่ใหญ่ยังไม่เลิกอคติกับพลอยอีกหรือคะ” แพราวพราวพูดจบแล้วขาอ่อนเหมือนจะล้มลง
“เลิกพูดเรื่องพลอยเถอะ พี่ว่าแพรวควรไปหาหมอได้แล้ว บ่ายเบี่ยงมาสองวันแล้วนะ” สัตยาบอก แพรวพราวจึงพยักหน้าแล้วให้เขาพาเธอไปตรวจที่โรงพยาบาล
ผลตรวจออกมาทำเอาสัตยาแทบยืนไม่อยู่ ไตทั้งสองข้างของแพรวพราวหยุดทำงาน ตอนนี้เธอตัวบวมเพราะมีอาการน้ำท่วมปอด และหายใจเอาอ็อกซิเจนเข้าร่างกายไม่เพียงพอเลยอ่อนเพลียและง่วงนอนอยู่เสมอ
พลอยไพลินเดินทางมาที่โรงพยาบาลทันทีที่ทราบเรื่อง แต่เธอไม่สามารถเข้าไปเยี่ยมพี่สาวได้เพราะหมดเวลาพักของห้องไอซียูที่ให้เข้าเยี่ยมได้เป็นเวลา
“หมอว่าอย่างไรบ้างคะคุณใหญ่” พลอยไพลินถามด้วยความกังวล
“ไตเสื่อมทั้งสองข้าง น้ำท่วมปอด เจาะเอาน้ำออกเสร็จก็จะส่งไปฟอกไต แล้วอีกสองวันก็กลับบ้านได้ แต่ต้องมาฟอกไตทุกสามวัน จนกว่าจะได้รับการเปลี่ยนไต” สัตยาบอกเธอเสียงเรียบแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้องไอซียูด้วยความเป็นห่วงภรรยา
**********************
แพรวพราวกลับไปรักษาตัวที่บ้านแล้ว แต่โรคแทรกซ้อนของเธอนั้นทำให้แพรวพราวอ่อนเพลียง่าย สัตยาจึงสั่งให้แม่บ้านดูแลเรื่องอาหารของเธอมากขึ้นเป็นพิเศษ
ส่วนพลอยไพลินเองตัดสินใจยังไม่ไปหางานทำในตอนนี้ และลาออกจากร้านสะดวกซื้อเพื่อมาดูแลพี่สาวอย่างเต็มตัว เธอกับสัตยาเคยเสนอบริจาคไตให้พี่สาวด้วยซ้ำ แต่ว่าแพรวพราวไม่ยอมรับมันเพราะเธอไม่อยากใช้ไตของคนเป็น และอยากรอไตที่บริจาคมามากกว่า
สัตยากลับบ้านเร็วกว่าปกติทุกวันเพื่อมาดูแลภรรยา วันที่เธอมีนัดฟอกไตเขาจะพาเธอไปด้วยตนเองทุกครั้ง
“เป็นอย่างไรบ้างแพรว วันนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง” สัตยาถามเธอด้วยเสียงที่ห่วงใย เอื้อมมือไปจับเธอไว้แล้วส่งยิ้มให้กำลังใจเธอ
“คนใกล้ตายอย่างแพรวจะดีขึ้นด้วยหรือคะ” แพรวพราวถามเสียงเบาด้วยความอ่อนเพลีย เธอรู้ตัวว่าจะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว
“แพรวรอก่อนนะผมกำลังหาไตที่จะเข้ากับคุณได้ อีกไม่นานนี้คุณต้องได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนไต แล้วคุณจะอาการดีขึ้น เราจะได้ไปเที่ยวทะเลด้วยกัน” สัตยาบอกเธอ
“พี่ใหญ่ค่ะ ถ้าแพรวเป็นอะไรไป ฝากดูแลพลอยด้วยนะคะ” เธอบอกเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง
“พี่จะไม่มีวันให้แพรวเป็นอะไรไป พี่สัญญา” เขาบอกแล้วก้มลงจะจูบที่หน้าผากของเธออย่างแผ่วเบา ก่อนจะขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อมานั่งคุยกับเธอใหม่
ในขณะเดียวกันพลอยไพลินก็ยกอาหารขึ้นมาเตรียมให้พี่สาว เป็นอาหารจืดๆ ที่ไม่มีการใส่เครื่องปรุงใดๆ แพรวพราวเลยไม่เจริญอาหารเพราะทานแต่อาหารจืดสำหรับผู้ป่วยโรคไตแบบนี้ตามที่แพทย์ระบุ
“พลอย พรุ่งนี้พี่อยากกินต้มยำปลากะพง ร้านข้าวต้มตรงตลาด พลอยซื้อมาให้พี่ได้หรือเปล่า” แพรวพราวถามน้องสาว
“ไม่ได้นะคะพี่แพรว หมอห้ามไม่ให้พี่ทานอาหารรสจัด” พลอยไพลินบอกด้วยความห่วงใย
“พี่รู้ว่าพี่จะอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ขอให้พี่มีความสุขเถอะนะพลอย ถือว่ามันเป็นคำขอสุดท้ายของพี่” แพรวพราวบอกน้องสาวด้วยเสียงดูดูอ่อนแรง
“พี่แพรว” พลอยไพลินเรียกพี่สาวเสียงเครือ
“ค่ะ พลอยจะซื้อให้พี่แพรวทานเอง” พลอยไพลินตัดสินใจรับปาก แพรวพราวพยักหน้าแล้วยิ้มให้กับน้องสาว เธอเป็นคนดีและหัวอ่อนแบบนี้ แพรวพราวเลยคิดเล่นๆ ว่าหากเธอเป็นอะไรไปให้พลอยไพลินดูแลสัตยาต่อไปก็คงจะดีไม่น้อย เพราะแพรวพราวไม่ไว้ใจให้ใครมายุ่งกับสัตยา ยกเว้นน้องสาวของเธอ
**********************