CHAPTER 7
“ระวังหน่อย”
เป็นวันที่สองของความสัมพันธ์อันดีอันมีระยะเวลาสามวันเป็นตัวกำหนด เขารักษาสิ่งที่พูดเอาไว้ยิ่งกว่าอะไรเรื่องแบบนี้ถือว่าเล็กน้อยมาก
มันก็ถือว่าเป็นการพักผ่อนของเขาด้วยเช่นกันในช่วงเวลาหลายปีที่อีกฝ่ายไม่เคยได้ให้ตัวเองเลย เหมือนชีวิตทุ่มกับงานการดูแลธุรกิจต่างๆ ที่นับวันมันยิ่งขยายความยิ่งใหญ่ออกไปเรื่อยๆ ในทุกๆ ปีแต่ก็ถือว่าความรับผิดชอบขยายเป็นวงกว้างใหญ่เช่นกัน
“…”
“บอกให้ระวัง”
“เดี๋ยวๆ” เพราะยังตั้งตัวไม่ได้จึงไม่พร้อมที่จะขับเร่งสกู๊ตเตอร์ออกไปได้ ความตื่นเต้นมันก็มีแต่ความกลัวมันได้คืนคลานเข้ามาจนหมดไม่เว้นแม้กระทั่งในตอนนี้ “ยัง ยังไม่พร้อม”
“จับอยู่จะกลัวอะไร”
มือใหญ่จับแฮนรถไว้หนึ่งข้างส่วนอีกมือก็จับเอวของฉันไว้มั่นเพื่อเป็นสิ่งยืนยันชั้นดีว่าจะไม่ปล่อยให้เจ็บตัวเด็ดขาด ถึงแม้บนร่างกายจะยังใส่สนับทั้งเข่าและก็แขนแต่มันก็ยังไม่ทำให้มั่นใจเลยสักครั้งเดียวตอนนี้รู้ไหมว่ามือทั้งสองข้างของตัวเองได้กอดจับแขนแกร่งเอาไว้แน่เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้ปลอดภัย ประสบการณ์ครั้งก่อนๆ ยังทำให้เข็ดหลาบไม่หาย หัวใจมันก็เลยเต้นตุ๊บตั๊บไม่คลายความตื่นเต้น เกร็งไปหมดแล้ว
“จะไม่กลัวได้ไง”
“งั้นทั้งวันก็อยู่แบบนี้”
“…”
ไม่มีคำตอบอะไรจากปากของฉันมีเพียงแค่หันหน้าไปมองคนตัวสูงโปร่งเปลือยท่อนบนโชว์รูปร่างส่วนท่อนล่างมีเพียงกางเกงยีนเอวต่ำสีดำเข้ากับรองเท้าแตะยี่ห้อดังสีดำเท่านั้น อ้อ... ไม่ได้มีเพียงแค่นั้นยังมีอีกอย่างหนึ่งที่มัดรอบเอวสอบอยู่เป็นสายเชือกสีดำสนิทมีแท่งสีดำขนาดเท่านิ้วก้อยถูกพันด้วยเชือกสีดำเช่นกันขั้นตรงกลางเชือกนั้นซึ่งขณะนี้เจ้าของรูปร่างเอามาไว้ด้านหน้าส่วนหน้าหลังมีรอยสักอยู่ตรงท้ายทอย
รูปร่างบางที่คลีนมีแพคเด่นชัด เห็นวีไลน์ชัดเจนไม่ได้ทำให้ฉันเขินอะไรเนื่องจากเห็นมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแต่สายตาการ์ดที่อยู่รอบตัวในแต่ละจุดนี่สิหันมาสนใจกันใหญ่กับสิ่งที่ได้เห็นในวันนี้ เกิดคำถามขึ้นในใจทันทีว่าอะไรมันจะขนาดนั้นกัน แค่นี้มันธรรมดาไหมทำไมฮือฮาได้ขนาดนั้น
ยังไม่เคยเห็นเจ้านายตัวเองเปลือยเหรอ
นี่คือคำถามในใจของฉันเองที่เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำๆ
“ตั้งใจอีกครั้ง... นั่นมันอดีต ไม่ต้องกลัว เร่งช้าๆ มองไปข้างหน้า”
ไม่นึกว่าจะจำได้
ประโยคนี้ทำเอาชะงักไป
เพราะอดีตเคยเจ็บกับการเล่นสกู๊ตเตอร์ถึงขั้นต้องผ่าตัดมีเหรอตอนนี้ความกลัวมันจะหายไป พอได้จับอีกครั้งทุกๆ อย่างทั้งภาพและความเจ็บมันก็ยังคืนหวนกลับมาชัดเจนเหมือนเดิมเปลี่ยนแค่ไม่ได้ฝึกเล่นคนเดียวอีกแล้ว เนื่องจากมีตัวงานที่รับเอาไว้มันมีสกู๊ตเตอร์เข้ามามีส่วนร่วมด้วยนี่เป็นสาเหตุที่ฉันต้องกลับมาจับมันอีกครั้ง
“กลัว”
แค่คำเดียวเท่านั้นเหมือนมันไม่สามารถทำให้ฉันหลุดพ้นจากอดีตตรงนั้นได้เลย ทุกอย่างมันดูยากไปหมดเสียไปกับความทรงจำห่วยๆ พวกนั้นไหลเข้ามาตอกย้ำ ถึงแม้จะผ่านพ้นไปหลายปีทว่าตอนส่องกระจกซึ่งสะท้อนตัวเองในนั้นให้ได้เห็นเหตุการณ์วันนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บาดแผลที่ถูกศัลยกรรมด้วยแพทย์ทางด้านความงามจนมันสวยไม่มีโครงเค้าความน่ากลัวอย่างเช่นตอนแรกให้ได้เห็นอีกและยังเป็นที่นิยมที่หลายคนเอามาเป็นรูปแบบให้ทำเหมือนตาม ความจริงแล้วความสวยงามนี้มันซุกซ่อนบาดแผลความน่ากลัวเอาไว้ก็คือการที่ฉันเกิดอุบัติเหตุขี่สกู๊ตเตอร์ล้มหน้าฟาดพื้นจนจมูกหักจนต้องเสริมแต่งใหม่
และเรื่องนี้เขาก็รับรู้มาตลอด
“งั้นก็ตัดงานนั้นออกไป”
“ไม่นะ”
ตัดไม่ได้
ไม่ได้เด็ดขาดเลย
“ทำไม?”
“เดี๋ยวได้จ่ายค่าสัญญา มันแพงหลายเท่า”
“รู้มั้ยว่าเรื่องเงินมันไม่ได้มีปัญหา เท่าไหร่ก็จ่ายได้”
รู้... ทำไมจะไม่รู้
รู้ว่าเรื่องเงินมันไม่ได้เป็นปัญหากับผู้ชายคนนี้เลยแต่ฉันต้องคิดถึงงานของตัวเองด้วย ขืนปล่อยให้ทำแบบนั้นอีกรับรองว่างานนี้ได้กลายเป็นข่าวดังอีกแน่ๆ
“…”
“แค่บอกมา ทุกอย่างจะจบ”
“อย่าปล่อยนะ พี่ห้ามปล่อยหนู”
ฉันปล่อยผ่านกับคำพูดของเขาแล้วตั้งใจขึ้นมากกว่าเดิมจนทำให้อีกฝ่ายถอนหายใจอย่างปลงๆ ออกมาแทนคำพูด ฝ่ามือทั้งสองข้างจับแฮนรถแน่นสายตามองไปด้านหน้าไม่ลังเลมองไปทางไหนอีก มันจะขับไม่ได้ก็ให้มันรู้ไปทั้งวันฉันจะฝึกขับอยู่แบบนี้ต้องมีสักจังหวะของเวลาที่จะทำให้ขับได้โดยไม่ต้องกลัวอะไรอีก
ตอนเด็กฝึกหัดขี่จักยานก็เป็นแบบนี้ดังนั้นจะยังคงเอาวิธีนี้มาใช้มันก็ไม่ได้แปลกอะไรนัก เสริมสร้างแค่เรื่องความมุ่งมั่นและก็ความมั่นใจกลับมามันก็เท่านั้นเอง
“เห้อ” เขาถอนหายใจให้ความดื้อด้านของฉันแทน
“ไม่ปล่อยใช่หรือเปล่า”
ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้งหนึ่ง
ถามเพื่อเรียกความมั่นใจเสริมเข้ามาอีก
“เคยปล่อยให้เจ็บมั้ย?”
ฉันได้เป็นคำถามมาแทนคำตอบ หากตีความดีๆ มันก็มีคำตอบของมันซุกซ่อนอยู่ด้วย
“ไม่ปล่อยนะ”
“ไม่ปล่อยครับ” แล้วก็เป็นคำพูดของเขาที่ทำให้สายตาละออกไปจากความมุ่งมั่นตรงหน้า พอหันไปสบสายตาคนที่กำลังหันมาพอดี เสี้ยวใบหน้าที่พระเจ้าสันสร้างขึ้นมาอย่างประณีตโดดเด่นด้วยสันจมูกโด่งแทบแนบชิดกับแก้มของฉัน เวลาสายลมพัดมาก็พลางได้กลิ่นหอมอ่อนๆ มาจากอีกคนให้รู้สึกว่ายังไงก็ปลอดภัยหากอยู่ใกล้กับผู้ชายคนนี้ “ไม่ปล่อยให้เป็นอะไรแน่ๆ”
“ค่ะ”
“ชัดหรือยัง”
“ชัดแล้วค่ะ”
แล้วการฝึกขี่สกู๊ตเตอร์มันก็พังไม่เป็นท่าเมื่อฉันไม่สามารถเอาชนะความกลัวได้เลยตอนนี้ถึงต้องมานั่งชายหาดโต้ลมมองวิวทะเลแบบนี้ หกโมงเย็นที่พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าแสงสีจรดกับผืนน้ำสะท้อนให้เห็นความงามที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดยังไงเพื่อให้เหมาะสมกับคำว่าสวย
ใบหน้าที่ไร้การตกแต่งใดๆ นอกจากการทำครีมกันแดดพร้อมกับการใส่แว่น บนตัวก็มีแค่บิกินีตัวโปรดสีดำสวมทับด้วยเสื้อแขนยาวสีขาวตัวบางพอมันต้อกับแสงแน่นอนว่าต้องเห็นหุ่นที่อยู่ภายใต้เสื้อผืนบางตัวนี้ซึ่งมันก็ได้แค่นั้นแหละ ไม่ได้โผล่ให้สายตาใครเห็นหรอกเพราะนี่คือหาดส่วนตัว
การ์ดถูกสั่งให้ประจำอยู่ไกลในที่ลับตาส่วนคนที่สั่งก็หาดไปกับเลขาส่วนตัวได้สักครู่หนึ่งแล้ว หากมีเรื่องด่วนเข้ามาคนที่สามารถนำว่าให้เขาได้ก็คือเลขาคนนี้ซึ่งแน่นอนว่าเป็นผู้ชายอีกเช่นกัน ไม่รู้ว่ายังจำสัญญาได้หรือเปล่าที่บอกจะไม่แตะต้องงานใดๆ ภายใน 3 วันนี้แต่นี่พึ่งผ่านไปไม่ถึงวันเอง
รู้สึกว่าเขาจะทำมันไม่ได้เสียแล้ว
ทำไมจึงรู้สึกห่อเหี่ยวเช่นนี้กัน
ด้วยสถานะที่ค่อนข้างงอแงไม่ได้ เรียกร้องเกินไปก็ไม่ได้ ทำทุกอย่างเหมือนอยู่ในขอบเขตเต็มไปหมดก็เลยทำให้ความคิดตัวเองฟุ้งซ่านไปยิ่งกว่าเดิม คิดมากไร้การยอมรับใดๆ ทำเหมือนตัวเองเป็นเด็กที่พึ่งเติบโตอย่างงั้นทั้งที่อายุผ่านเลยวัยนั้นมาแล้วด้วยซ้ำไป
อ่า... เย็นเฉียบ
กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งใบหน้าก็ถูกแตะด้วยกระป๋องเครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่เย็นเฉียบส่งผ่านเข้ามาให้ได้รู้สึก คนที่เข้ามาก็เป็นเขานั่นเองไม่มีใครหรอกแบบนี้พอทำให้ยิ้มขึ้นมาบ้าง กระป๋องโซดากลิ่นเลม่อนถูกเปิดอย่างง่ายดายก่อนยื่นมาให้ฉันแล้วเขาก็คว้ากระป๋องเบียร์ขึ้นมาเปิดแล้วยกขึ้นดื่ม
“ขอบคุณค่ะ”
“ทำไม?”
“ที่ไม่ไปไหน”
“หึ...” เขาส่งเสียงหัวเราะในลำคอทันทีจากนั้นก็ส่งมือใหญ่เข้ามาวางบนศีรษะฉันอย่างแผ่วเบาที่สุด “คงไม่คิดว่าจะหายไปทำงานแล้วรักษาสิ่งที่พูดเอาไว้ไม่ได้ใช่ไหม”
“หนูคิด”
“เด็กน้อย”
“ไม่เด็ก” ฉันเถียงเขาทันที “หนูไม่เด็กแล้ว”
“…”
“เข้าใจหรือเปล่า ไม่เด็กแล้ว”
“ไม่เด็กก็ไม่เด็ก”
เพราะไม่อยากถกเถียงกับฉันมากกว่าเขาจึงยอมรับขึ้นมา เสี้ยวใบหน้าที่มองในจุดนี้สายตาของอีกคนมองไปยังทะเลกว้างพร้อมกับจรดของเหลวของเบียร์เข้าปากไปอย่างช้าๆ เบียร์กระป๋องถูกนำวางเอาไว้ข้างตัวเองจากนั้นเขาก็หันใบหน้ามามองฉัน มือใหญ่คว้าแขนซ้ายของฉันไปจากนั้นความเย็นของโลหะชนิดหนึ่งก็เข้ามาทำให้รู้สึกตรงข้อมือ
กำไลข้อมือแบรนด์ดังของฝั่งยุโรปที่มีลักษณะเป็นรูปงูฝั่งเพชรหรูหรามาอยู่บนข้อมือฉันอย่างเหมาะเจาะและนั่นยังไม่พอยังมีอีกชิ้นหนึ่งที่กำลังใส่ลงมาเป็นกำไลลักษณะคล้ายตะปูฝังเพชรไม่แพ้อันแรก สองสิ่งนี้เข้ามาเรียงบนข้อมือของฉันโดยที่ไม่เคยปริปากของด้วยซ้ำ
“หมดแล้วใช่มั้ยคะ”
“อยากได้อะไรอีก ชี้มาสิ”
“อ่า... ไม่ได้หมายถึงแบบนั้นเสียหน่อย”
“ไปชี้มาอีก 5 ชิ้นนะ มันท้าทายดีนัก”