CHAPTER 8
2 สัปดาห์ต่อมา
“มีที่ติดต่อมาอีก 20 กว่าราย” ไม่ตั้งใจฟังหรอกเพียงแค่ว่าทำอะไรนอกจากนี้ไม่ได้นอกจากจ้องมองคนที่กำลังพูดผ่านกระจกบานใหญ่โดยมีช่างแต่งหน้าและช่างทำผมส่วนตัวกำลังทำงานอยู่ด้วย ผมสีน้ำตาลยาวถูกไดร์ตรงเข้ากับที่คาดผมรูปงูสีดำสนิทบนศีรษะ การแต่งแต้มใบหน้าในลักษณะเหมือนเอาความดาร์กดิบเถื่อนมาใส่ตัวเองราวกับกำลังเป็นแม่มดในนิยายแฟนตาซีเรื่องหนึ่งก็ไม่ปาน “เอาไง”
“เหมือนเดิม”
เหมือนเดิมในที่นี้หมายถึงไม่รับ
เหมือนเดิมในที่นี้หมายถึงไม่สนใจใดๆ
และเหมือนเดิมในที่นี้คือการไม่ยอมความอะไรทั้งนั้น
“โอเค” ปุ้ยเอ่ยรับ
“ต้องแบบนั้นค่ะ อย่าไปยอมให้พวกมันได้ใจ สันดานเสียอย่าเอาไปใช้ในพื้นที่ส่วนตัวของใคร เอาให้เจ็บหนักๆ”
น้ำเสียงของพี่ช่างแต่งหน้าใช้เอ่ยออกมามันแสดงให้รู้สึกว่าเขารู้สึกสะใจอย่างที่สุดเมื่อพวกเกรียนคีย์บอร์ดที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายในพื้นที่ทางโลกออนไลน์โดนฟ้องไปตามๆ กัน หากจะฟ้องก็เอาทั้งชื่อเสียงของฉันเป็นตัวชี้วัดในการเรียกเงินซึ่งในแต่ละรายที่โดนถือว่ามากเช่นกัน
หลายวันก่อนก็โดนกันระนาวเหมือนกันแต่นั่นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเริ่มเรื่องต่างหาก วันนั้นก็เพียงแค่ชุดก่อนส่วนวันนี้ชุดหลังจึงตามกันมาและไม่รู้เช่นกันว่าแบ่งกันมันมีกี่ชุดกันแน่ เริ่มมีหลายคนต่างติดต่อเข้ามาเพื่อหาทางไกล่เกลี่ยเพื่อเอาตัวรอดแต่มันเป็นวิธีที่ใช้ไม่ได้เท่าไหร่นักเพราะการยื่นคำขาดว่าไม่ต้องการจากทางฉันเองต่างหาก
ไม่ต้องการกระเช้าใดๆ
ไม่ต้องการคำขอโทษที่ไร้การสำนึกผิด
ไม่ต้องการเห็นน้ำตาจอมปลอมไหลเหมือนเขื่อนแตก
ไม่ต้องการเห็นพ่อแม่ใครมาขอโทษแทนลูกจนแทบต้องกราบ
และไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นนอกจากยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้กับผลการกระทำของตัวเอง
นั้นคือสิ่งที่ฉันต้องการเห็นมันมากที่สุดต่อจากนี้ไป
กว่าจะฟันฝ่าทุกอย่างเข้ามาถึงจุดนี้ได้ความอดทนมันใช้ไม่พอหรอกมันต้องทำตัวเองเหมือนคนไร้ความรู้สึก พยายามฝึกฝนตัวเองในสิ่งที่คนอื่นบอกว่าด้อย พยายามให้กำลังใจตัวเองและแก้ไขจุกบกพร่องให้มันกลายเป็นจุดเด่นมันนานมากแค่ไหนกว่าความมั่นใจมันถึงจะกลับมามีอย่างเต็มเปี่ยม
วงการที่ตัวเองยืนอยู่มันก็ไม่ได้ใสสะอาดหรอก มันมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะที่ซุกซ่อนเอาไว้ในส่วนลึก ฉันรู้แต่ก็ทำเหมือนไม่รู้เพราะตัวเองก็ไม่ได้ดีเด่นไปกว่าใครด้วยซ้ำ การโดนแย่งงาน การโดนเสียบงานแทน การโดนตำนิทั้งที่ไม่ผิด การโดนแกล้งโดนไม่สนหัวใครและการโดนเหยียด ฉันผ่านมาก่อน ฉันรู้ดี
“ให้พวกมันโอดอวยกันเข้าไปค่ะคุณน้อง” ตามมาด้วยเสียงสมทบของช่างทำผมส่วนตัว “ด่าได้ก็ต้องมีเงินในบัญชีไว้ใช้เป็นค่าด่าด้วย”
“ได้ยินมาว่าอยากเข้าพบที่สุดนะ” ปุ้ยเอ่ยขึ้น
“คนไหน?” เพราะยังคุยกันผ่านการมองกระจกปุ้ยจึงเป็นฝ่ายเดินมาใกล้ฉันแทนแต่ก็ยังคุยกันโดยมองผ่านกระจกเช่นเคย “เด็กเหรอ?”
ฉันถามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“คนนี้” ipad ถูกยื่นมาให้ได้เห็นพร้อมกับรายชื่อและหน้าตาของคนๆ หนึ่งเปิดเผยขึ้นมา “แผลงฤทธิ์เยอะสุดในบรรดาคนทั้งหลาย”
“เกลียดฉันที่สุดเหรอ”
เคยเห็นผ่านสายตามาบ้างจากชื่อแอด ประโยคถ้อยคำที่ใช้ฉันก็เคยอ่านมัน ใช่ว่าจะมีแค่เพียงประโยคเดียวแต่มันมีมากกว่านั้น รูปแบบประโยคการพิมพ์ก็ค่อนข้างรุนแรงเอาการไม่น้อย ไม่คิดว่าเด็กขนาดนี้จะยังทำได้เบอร์นี้เลยเหรอแต่ก็นั่นแหละอะไรๆ ก็เป็นไปได้เสมอ
“และก็โดนเรียกเงินเยอะสุดด้วย”
“เท่าไหร่”
“เจ็ดหลัก คุณทนายเรียกไปเจ็ดหลัก”
“นั่นคือราคาที่ต้องจ่าย”
ภายในห้องเงียบกริบเมื่อได้ยินประโยคนี้ออกจากริมฝีปากของฉันแทนคำที่ว่าให้อภัย จะไม่มีใครได้รับคำนี้เด็ดขาดไม่ว่าอีกฝ่ายจะพยายามเข้าหามากแค่ไหนก็ตามแต่เพราะการกระทำแบบนี้สำหรับฉันไม่มีคำว่าอภัยเด็ดขาด
“คงสู้เต็มที่เช่นกันฝ่ายนั้น”
“มีอิทธิพลเหรอ”
คิดเป็นอื่นไม่ได้สักวินาทีเดียว หากไม่เป็นแบบที่ฉันคิดมันก็คงต้องยอมไปแล้วไม่วิ่งเต้นพยายามถึงขนาดจะเข้าตัวได้หรอกฉะนั้นหากไม่มีอิทธิพลก็ต้องพอมีเส้นสาย
“ใช่แต่ไม่มากหรอก ใช้เส้นอามากกว่า”
“แสดงว่ายังไม่เข็ด พยายามจะเข้ามาจนได้ใช่หรือเปล่า”
เข้ามาที่หมายถึงอยากเข้ามาเจอฉันทั้งที่ไม่มีช่องว่างก็ยังพยายามแทรกเข้าไม่สนใจใครว่าจะเดือดร้อน เพียงแค่นี้ฉันก็พอเข้าใจเรื่องที่มีการ์ดเข้ามาเพิ่มกว่าสองคนรวมเป็นสี่
“ใช่” ปุ้ยยอมรับ
“โอเค”
ใช้เวลาในการทำงานไปหนึ่งวันเต็มๆ ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องแยกย้าย ฉันเดินออกจากสตูสถานที่ทำงานของตัวเองในวันนี้ก็มีรถตู้สีดำมาจอดเพื่อรอรับส่วนรวบตัวก็มีการ์ดตัวใหญ่เฝ้าแต่ละมุมซึ่งละความห่างไว้พอสมควรเพื่อไม่ให้อึดอัด ฉันเข้าใจดีและชินชาไปหมดแล้ว
ทว่าพึ่งเดินผ่านประตูสตูใหญ่ถึงต้องชะงักเมื่อมีผู้ชายร่างท้วมในสูทกำลังจะเดินเข้ามาแต่ก็โดนการ์ดกันเอาไว้ก่อนมาถึงตัวของฉัน
ไม่ชอบการรุกล้ำแบบนี้เลย
ฉันเกลียดที่สุดยิ่งอีกฝ่ายพยายามเข้ามาอีก
“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณวินิจ” ปุ้ยเดินมาบังตัวของฉันเอาไว้แล้วรับหน้าแทนเพราะรู้ว่าตอนนี้ภายใต้ใบหน้าที่สวมแมตทับไว้มีสีหน้าไม่สู้ดีกับสถานการณ์นี้นัก “แบบนี้ไม่ดีนะคะ”
“ผมมีเรื่องพูดกับคุณหนึ่งครับ ขอคุยหน่อย”
“ทางเราแจ้งแล้วนะคะว่าไม่มีการคุยเรื่องอื่นนอกจากงานซึ่งงานก็จบเรียบร้อยไปแล้ว”
ปุ้ยพยายามย้ำชัดถึงจุดนี้
ปุ้ยพยายามไม่ให้เขาล้ำเส้น
“ผมอยากให้ถอนฟ้องหลานผม”
“…”
“ถอนฟ้องได้ไหมครับเดี๋ยวงานถ่ายแบบผมมีให้ทำอีกแน่”
“ตอนนี้ทางเราไม่ได้มีหน้าที่ตอบเรื่องนี้ค่ะ”
“แต่...”
“เรื่องไปถึงมือทนายแล้ว ให้ทางนั้นจัดการไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“ผมก็ไม่อยากทำแบบนี้แต่ผมก็โดนกดมาเช่นกัน” คุณวินิจพยายามอธิบายให้ได้ยินพร้อมทั้งถอนหายใจยาวราวกับว่าตัวเองก็เบื่อหน่ายเช่นกันกับเรื่องที่เกิดขึ้น “ถ้าผมไม่เข้ามาทำแบบนี้ก็โดน ผมพยายามทำเพื่อหาทางที่ดีที่สุด ขอโทษด้วยครับที่มันดูคุกคามไปหน่อย ขอโทษจริงๆ ครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ฉันตอบออกไป
ตอบอย่างใจเย็น
“…”
“แต่คงถอนไม่ได้ จ่ายก็จบ”
“มันจบง่ายผมก็ไม่มาอยู่ที่นี่หรอกครับ”
“หมายความว่าไง?”
ฉันพยายามนึกว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นออกมาเพราะเท่าที่ได้ฟังมันก็ไม่ทำให้เดือดร้อนนอกจากโดนกดดันแค่นั้นส่วนเรื่องงานมันสามารถแบ่งแยกกันอยู่แล้ว
“คนฟ้องคือคุณอคิณครับ”
“…”
“ทั้งหมดมีแค่หลานผมคนเดียวที่คุณอคิณเป็นผู้ฟ้อง”
งานยากแล้วแหละ
ฉันพึ่งมารู้เลยข้อนี้
“คุณลลินคงช่วยหลานคุณไม่ได้ค่ะ” ปุ้ยได้ตอบแทนไปเรียบร้อย “หากคุณวินิจรู้แบบนี้แล้วยังจะเข้าไปยุ่งเหรอคะ มันจะได้ไม่คุ้มเสียมากกว่า ปุ้ยบอกได้แค่นี้”
“ผมอยากให้คุณลลินช่วยพูดหน่อยได้หรือเปล่า ฟ้องก็ได้แต่เปลี่ยนผู้ฟ้องก็พอ”
“ฉันช่วยไม่ได้ค่ะ”
ใช่ฉันปฏิเสธออกไปในทันที
ปฏิเสธอย่างไม่คิด
“…”
“ไม่ใช่ฉันสะใจ ไม่ใช่ฉันใจดำแต่เพราะมีเหตุผลเดียวกันกับพวกคุณ ในเมื่อไม่มีใครกล้าต่อกรกับคุณอคิณแล้วทำไมฉันต้องหาเรื่องใส่ตัวเองด้วย เอาจริงมันก็ไม่จำเป็นเลยสักนิดเดียวขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ”
“ช่วยหลีกทางหน่อยนะคะ” ปุ้ยก็เอ่ยสมทบ
“ผมขอร้อง”
แต่แล้วก็เหมือนมันจะยากขึ้นหลายเท่าตัวในเมื่ออีกฝ่ายยังไม่เลิกพยายามซึ่งมันก็มีเหตุผลแต่ฉันก็มีเหตุผลของตัวเองเช่นกันกระทั่งมือยาวของการ์ดอีกคนยื่นเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือที่เปิดอยู่
[อย่าพยายาม ความพยายามของคุณมันไม่ช่วยหรอก]