CHAPTER 5
“ขออนุญาตครับคุณหนึ่งครับ... โทรศัพท์จากนายครับ”
ฉันรู้ว่าอีกฝ่ายเขาก็เกรงใจตัวเองเช่นกันที่ต้องคอยเข้ามาบริการต่างๆ ให้กับฉันตามคำสั่งของผู้เป็นนายทั้งที่ก่อนหน้าได้รับคำสั่งจากฉันว่าห้ามรบกวน การพักผ่อนของฉันที่เกิดขึ้นหลังจากทำงานไม่ว่าจะเวลาไหวก็ตามมักไม่อยากให้ใครได้รบกวนทั้งนั้นเพียงแค่ว่าเขาคือข้อยกเว้น
ข้อยกเว้นที่ฉันต้องทำตามไม่ใช่ว่าเขาต้องทำตาม
เขาคือทุกอย่าง
การกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสีหน้าท่าทางอีกฝ่ายทำให้ฉันยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์เครื่องเจ้าปัญหานั้นมาให้มันเสร็จๆ ไปหลังจากนั้นซันก็รู้งานด้วยการเดินออกจากห้องโถงฝั่งตะวันตกไปในทันที ด้วยความที่ว่าคฤหาสน์ทรงยุโรปของตระกูลวัฒธนาจักรที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองมีพื้นที่กินพื้นที่ไปเท่าไหร่ข้อนี้ฉันก็ไม่ทราบแต่เนื้อที่มันต้องไม่ต่ำกว่าร้อยไร่โดยประมาณแน่นอน คฤหาสน์ใหญ่ถูกออกแบบเป็นสีน้ำเงินเข้มให้ความรู้สึกมั่นคงอีกทั้งยังมีสีทองจากดวงไฟส่องออกมาในยามค่ำคืนยิ่งเสริมเป็นตัวเด่นสะกดสายตาไม่รู้ลืม
วัฒธนาจักรตระกูลที่ไม่ธรรมดา
วัฒธนาจักรมีอาณาจักรเป็นของตัวเอง
ทุกอย่างของวัฒธนาจักรไม่เคยมีคำว่าด้อยเลยสักครั้ง หากคนอื่นๆ ได้เข้ามารับรู้ทุกอย่างบอกเลยว่ามันมีอะไรซุกซ่อนมากกว่าที่เป็นอยู่ ภายนอกรับรู้ว่ายิ่งใหญ่แต่ความจริงมันยิ่งไปกว่านั้นหลายเท่าตัว
“ฮัลโหล... หนึ่งพูดสายค่ะ”
[ไอ้ซันมันทำงานยังไง ช้ายิ่งกว่าเต่า] แค่ได้ยินเสียงฉันเปรยออกไปตามสายน้ำเสียงที่อีกฝ่ายใช้ประกอบประโยคพูดมันชัดเจนบ่งบอกถึงความไม่พอใจในลูกน้องตัวเองมากๆ นี่แหละนิสัยนายใหญ่กุมบังเ**ยนวัฒธนาจักรตัวจริงและยังมีมากกว่านี้อีกเหมือนว่าอีกฝ่ายพยายามทำตัวเองให้อารมณ์คงที่มากๆ ก่อนจะเอ่ยอีกประโยคขึ้นตามมา “แล้วทำอะไรอยู่”
“นอนดูพระอาทิตย์ตกค่ะ”
[หึ...]
เขารู้ไงว่าฉันชอบพระอาทิตย์
เขาถึงได้ส่งเสียงแบบนั้นตามมา
“…”
[ชอบมากเหรอ...]
ถามในสิ่งที่รู้อยู่แล้ว
ถามในสิ่งที่ฉันต้องตอบทุกครั้ง
“ค่ะชอบ ยิ่งโดนปฏิเสธงานก็ยิ่งมีเวลาว่างนั่งดู”
[ดูเหมือนจะพูดผิดนะ]
“พูดถูกแล้วนะคะไม่ผิดสักนิด”
[ใครบอกโดนปฏิเสธงาน]
ฉันยืดตัวขึ้นในทันทีที่อีกฝ่ายน้ำเสียงเปลี่ยนไปจากเดิมแบบมากๆ สายตาละจากพระอาทิตย์ตกมายังกรอบรูปขนาดใหญ่ของห้องโถงนี้ ร่างกายที่ขยับปรับเปลี่ยนทิศทางการนั่งในชุดเดรสสายเดี่ยวสีชมพูอ่อนตัวยาวแต่แหวกโชว์เรียวขาขึ้นสูงไม่เป็นอุปสรรคสักนิดเดียว นัยน์ตาขยับแต่ยังจดจ้องภาพวาดจากฝีมือจิตกรระดับโลกในกรอบทองคำแท้บนผนังไม่ต้องคำนวณมูลค่ามันเพราะแพงหูฉี่ทุกอย่างในคฤหาสน์ทรงยุโรปหลังนี้ไม่มีอะไรไม่มีราคาแพง
“…”
[เวลาถามก็ตอบอย่าให้รอ]
“หนึ่งพูดผิดค่ะ”
[แน่ใจ?] เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมเชื่อใจฉันในทันที เขาพยายามทวนถามย้ำซ้ำหลายรอบเข้าด้วยกันตามอุปนิสัยส่วนตัว [แน่ใจใช่มั้ยว่าแค่พูดผิดไป]
“ค่ะ”
เขาเหมือนเสือโคร่งสีขาวเด่นด้วยลวดลายสีดำตัวนั้นบนผนัง
เขาเหมือนไม่พอใจถึงจะเป็นเรื่องผิดพลาดอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม
เขาจะใช้สายตาอันแข็งแกร่งมองเหมือนกำลังจะเขมือบในยามไม่ได้ดั่งใจ
เขาเป็นแบบนั้น เป็นเหมือนภาพวาดบนผนังตรงหน้าฉันไม่ผิดพลาดสักนิดเดียว
[เธอไม่เคยโดนปฏิเสธงาน]
“…”
[เธอต่างหากที่มีสิทธิเลือกงานพวกนั้น]
“…”
[หรืออยากนั่งกินนอนกินอย่างเดียว เอามั้ย?]
“อย่านะคะ”
[ไม่ทำงานแต่รับเงินเดือนไม่ชอบเหรอ]
“แต่เราตกลงกันแล้วนะคะว่าจะให้หนึ่งทำงานที่ชอบก่อน...” เพราะฉันกำลังกลัวว่าอีกฝ่ายจะเอาจริงต่างหากในตอนนี้ รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีใครสามารถบังคับอีกฝ่ายได้หากเขาเอาจริงแบบที่พูดขึ้นมาแต่ฉันก็ยังพยายามอยู่ทุกครั้ง เขาบอกว่าไม่ได้บังคับแค่เสนอทางเลือกเท่านั้น “หนึ่งเลือกงานเอง เป็นฝ่ายเลือกไม่ได้ถูกปฏิเสธแบบที่พูดไปค่ะ”
ภาวนาให้เขาใจดี
ภาวนาให้เขาให้ทำงาน
ภาวนา ภาวนาและก็ภาวนาซ้ำๆ
[มีอะไรแลกเปลี่ยน]
เพราะเขาคือนักธุรกิจ
เพราะเขาไม่ยอมขาดทุน
ข้อนี้ฉันรู้ดี
“มี...”
ฉันรนจนคิดไม่ทันแล้ว มีแค่เอ่ยปากพูดออกไปเพื่อให้ผ่านพ้นตัวเองกระทั่งพึ่งมาคิดได้ตอนที่เอ่ยปากออกไปแล้ว นี่แหละที่ปากต่อปากพูดกันว่าคำพูดจะเป็นนายเราก็ต่อเมื่อมันออกจากปากไป
[อ่าห้ะ]
“…”
[มีก็ดี ถามอีกครั้ง]
“…”
ปลายสายเงียบไป
ปลายสายไม่เอ่ยอะไรออกมา
ส่วนฉันนั้นไม่ต้องถามว่าตอนนี้ลุ้นกับคำถามที่กำลังจะถูกเอ่ยออกมามากแค่ไหน ทุกวินาทีมันช่างยาวนานที่สุดเลยก็ว่าได้จนในที่สุดมันก็กลายเป็นแรงกดดันที่มีมวลมหาศาลตามออกมาแทน
เวลาที่เขาเงียบไม่มีใครรู้ว่ากำลังคิดอะไร
เวลาที่เขาเงียบมันเหมือนคลื่นลูกหนึ่งกำลังก่อตัว
เวลาที่เขาเงียบมันคิดดีเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากต้องรุนแรง
ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ คำพูด สายตา ทุกอย่างพอผสมลงตัวกันแทบไม่ต้องถามเลยว่าใครชอบบ้าง ไม่ใช่แค่เพียงตัวฉันเองเท่านั้นแต่ยังมีคนอื่นๆ อีกมากมาย
[มีจริง?]
อนุภาคมันมหาศาลเลยนะสองพยางค์นี้
“มีค่ะ”
[คิดไว้แล้ว?]
“ค่ะ”
ตอบไปได้แค่นี้จริงๆ มันแก้ไขอะไรไม่ทันอีกแล้ว คำพูดกลายเป็นนายของฉันไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว นับจากนี้ไปฉันจะพยายามไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว
[อย่ารับปากพล่อยๆ]
“…”
[รู้ใช่มั้ย]
“รู้ค่ะว่าไม่ชอบ”
[หึ]
แค่เสียงออกมาให้ได้ยิน