บท5คุณเธอมีนามว่าจำปี

1646 Words
เวลาผ่านไปหลายวันจนเกือบเดือนที่เจ้าเอยทำงานอยู่ในวังน้ำเขียว เธอเริ่มที่จะปรับตัวได้แล้วแถมยังเป็นผู้ช่วยรับสมัครพนักงานร่วมกับเจ้าของรีสอร์ตอีกด้วย แต่คงมีอยู่หนึ่งเรื่องที่ยังคงไม่ชินคือการได้เห็นวิญญาณในชุดสไบลอยไปลอยมาตามติดชายหนุ่ม คนตัวเล็กหมั่นสวดมนต์แผ่เมตตาตลอดทุกคืนก่อนนอนเพื่อหวังจะให้ผีสาวได้บุญกุศลบ้างก็ชวนคุณมังกรและคุณชัยชนะไปตักบาตรถวายสังฆทานที่วัด “อย่าเอาเชียวหนา แม่หญิงคนนี้ขี้คร้านตัวเป็นขน” เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้งเมื่อผู้หญิงร่างเล็กเดินเข้ามาสัมภาษณ์งาน หญิงสาวไม่ได้ฟันธงหรือทำตามที่ผีในชุดสไบเฉียงสีแดงเลือดหมูกระซิบบอกทว่ากลับผายมือเชิญคนตรงหน้านั่ง “ชื่ออะไรคะ” “เปรี้ยวค่ะ” “คุณเปรี้ยวมีประสบการณ์ทำงานในรีสอร์ตมาบ้างไหมคะ” เจ้าเอยเริ่มถามประโยคเพื่อเปิดประเด็นการสัมภาษณ์ แอบหรี่ตามองเด็กสาวนั่งไขว่ห้างจ้องร่างสูงข้างกายไม่วางตาโดยไม่ได้คิดที่จะสนใจตัวเธอเลยแม้แต่น้อย “เห็นรึไม่” เสียงแหบพร่ากระซิบข้างหู “ไม่ผ่านค่ะ” “คะ? แต่ฉันยังไม่สัมภาษณ์เลยนะ!” “ฉันสัมภาษณ์แล้วค่ะ คุณไม่ผ่าน” เด็กสาวชื่อเปรี้ยวรีบหันขวับมามองด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะเดินกระแทกเท้าออกไปจากห้องด้วยกิริยามารยาทที่แทบเรียกว่ามีอยู่น้อยนิด “วันนี้พอก่อน” มังกรเงยหน้าจากแฟ้มงานกองสูงบนโต๊ะพร้อมหันไปพูดกับผู้จัดการรีสอร์ต กวักมือเรียกชัยชนะที่อยู่ๆ ก็โผล่ตัวมาโดยที่เขาไม่ต้องเรียกให้เหนื่อย “มีอะไรหรือเปล่าครับเจ้านาย” “ช่วยไปติดต่อช่างที่จะเข้ามาสร้างซูเปอร์มาเก็ตหน่อย” “ได้ครับ” “หิวหรือยัง” มือขวาคนสนิทเดินออกไปถึงได้หันมาคุยกับหญิงสาว ทั้งเธอและเขาสัมภาษณ์คนที่จะเข้ามาทำงานตั้งแต่เช้าจนลากยาวมาถึงบ่าย ชายหนุ่มไม่คาดคิดเหมือนกันว่าจะมีคนสนใจที่จะเข้ามาทำงานมากถึงเพียงนี้ “นิดหน่อยค่ะ” “งั้นไปหาอะไรทานกันก่อนดีกว่า” “ค่ะคุณมังกร” “ข้ารู้ว่าแม่เจ้าเอยมองเห็น” ลมหวิวๆ พัดลอยมาจนขนแขนลุก เจ้าเอยพยายามเบียดร่างกายเข้าไปใกล้เจ้าของรีสอร์ตจนเขาก้มมองมาด้วยความสงสัย ถึงอย่างนั้นไม่อาจเรียกความสนใจของเจ้าเอยที่มองเห็นผีสาวตรงหน้า ใบหน้าขาวซีดไร้คราบเลือดแต่ทว่าสไบยังคงเก่าและขาดวิ่น “ข้าได้รับผลบุญแล้วหนา” เป็นอีกครั้งที่วิญญาณอัธยาศัยดียังชวนคุยต่อ แถมยังตามติดชายหนุ่มและเธอมาจนถึงโรงอาหารที่คนงานนั่งรับประทานกันอย่างเนืองแน่น “ผมอยากลองมาทานอาหารที่นี่ดู” “ค่ะคุณมังกร” เจ้าเอยรับหน้าที่เดินไปหยิบข้าวและสำรับอาหารให้เจ้านายหนุ่ม วางถาดลงบนโต๊ะตรงหน้าคุณมังกรจากนั้นเดินไปกดน้ำสะอาดเย็นๆ ใส่แก้ว แอบเห็นชายฉกรรจ์หลายคนขยิบตาส่งให้อย่างมีเลิศนัย บ้างผิวปากแซวเพื่อหยอกล้อ ดวงตาคู่สวยมองวิญญาณสาวลอยไปที่ชายหนุ่มคนดังกล่าว ก่อนจะใช้หลังมือตบเข้าใส่ศีรษะจนหน้าคะมำเข้ากับจานข้าว ตอนนี้ทุกคนในโรงอาหารพากันหัวเราะดังลั่น “ใครตบกูวะ!” “ผมเปล่านะลูกพี่” ทั้งโต๊ะรีบโบกมือปฏิเสธ หญิงสาวแอบลอบยิ้มเดินกลับมาที่โต๊ะเป็นจังหวะที่ขาสะดุดเข้ากับอากาศจนล้มลงบนหน้าตักเจ้าของรีสอร์ตพอดิบพอดี เจ้าเอยเบิกตากว้างตกใจเมื่อน้ำในแก้วหกใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวจนเปียกชุ่มแนบลำตัว “เอยขอโทษค่ะ” คนตัวเล็กพยายามจะลุกขึ้นจากชายหนุ่มทว่าตัวเธอกลับแข็งทื่อไม่สามารถขยับได้ เสียงคนงานดังขึ้นเป็นเท่าตัวเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งบนหน้าตักอย่างแนบชิดกับเจ้านาย “เอยลุกไม่ได้ค่ะคุณมังกร” “ว่าอะไรนะ?” เจ้าเอยพยายามดันตัวขึ้นก็ไม่สามารถทำได้เพราะในตอนนี้ผีสาวล็อกตัวของเธอเอาไว้แน่นอย่างกับคีมเหล็ก เสียงหัวเราะคิกคักชอบใจดังผสมผสานกับลมเย็นๆ มังกรหน้าแดงก่ำเมื่อสาวเจ้าขยับตัวไปมาบนหน้าตักของเขา แถมยังนั่งทับเจ้าลูกชายภายในกางเกงจนจุกแทบขาดใจ คราแรกนึกว่าคนตัวเล็กจงใจที่จะใกล้ชิดแต่เมื่อเห็นใบหน้าสวยตื่นตระหนกก็ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ นานหลายนาทีกว่าวิญญาณตรงหน้าจะยอมปล่อย หญิงสาวรีบลุกขึ้นจากหน้าตักของร่างสูงอย่างไวก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดบนเสื้อเชิ้ตให้เขาด้วยความรู้สึกผิด “ไม่เป็นไร ผมเช็ดเอง” ชายหนุ่มปลดกระดุมเสื้อออกจนเกือบหมด แผงอกขาวกำยำสะท้อนเข้าสู่สายตาจนเจ้าเอยหน้าแดงก่ำ อดไม่ได้ที่จะแอบลอบมองเขาอย่างลืมตัว “ผมว่าน่าจะต้องเข้าไปเปลี่ยนชุดที่ห้องใหม่” “ค่ะ” คนตัวเล็กเดินตามหลังเจ้านายออกมาจากโรงอาหารผ่านเสียงกระซิบกระซาบของบรรดาลูกน้องในรีสอร์ต ยิ่งเพิ่มความโกรธเคืองผีสาวเป็นไหนๆ ที่กล้ามาแกล้งเธอ “ว้าย!” หญิงสาวถลาล้มใส่คุณมังกรอีกครั้งทว่ารอบนี้ใบหน้าหวานฝังลึกลงบนหน้าอกบึกบึน สองมือหนาโอบกอดพร้อมรับร่างบอบบางไว้แน่นด้วยความตกใจ “แม่เจ้าเอยโกรธข้ารึ” เสียงหัวเราะแหบพร่าดังขึ้นใกล้หูอย่างถูกอกถูกใจ เจ้าเอยแทบร้องกรี๊ดออกมาด้วยความอับอายเหลือเกิน นึกแล้วก็แค้นคุณเธอผีสไบเป็นที่สุด “เป็นอะไรหรือเปล่า หรือหน้ามืด” “เอยไม่เป็นไรค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” คนตัวเล็กรีบผละตัวออกห่างพร้อมวิ่งหนีออกไปด้วยความรวดเร็ว มือเรียวเท้ายันเข้ากับตัวอาคารพรางหอบหายใจเหนื่อยเมื่อขยับขาวิ่งสุดพลัง “ฉันจะโกรธเธอจริงๆ แล้วนะ” “ยอมรับแล้วรึว่าแม่เจ้าเอยเห็นข้า” กลิ่นน้ำอบไทยและดอกจำปีลอยมาแตะจมูกก่อนจะเห็นร่างอรชรของวิญญาณสาวมาหยุดตรงหน้า รอบนี้สีสไบเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ใบหน้ามีรอยแผลและเศษดินติดอยู่ทำเอาเจ้าเอยยกมือขึ้นหยุดคุณเธอเอาไว้ “ถ้าจะมาสภาพนี้ฉันขอไม่คุย” “มิสวยรึ หรือแม่เจ้าเอยมิชอบสีสไบของข้า” ช่างหัวสีสไบเถอะแม่คุณ! “หน้าเธอ ฉันกลัวหน้าเธอ” “แม่เจ้าเอยรอข้าประเดี๋ยวหนา” ไม่นานผีสาวที่หายลับไปก็ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยรูปโฉมพอใช้ได้ ทว่ารอบนี้ใบหน้าขาวซีดถึงกระนั้นดวงตายังมีแต่สีขาวจนน่าผวาเสียเหลือเกิน “แม่เจ้าเอยยังกลัวรึ” “ไม่กลัวก็บ้าแล้ว ตาดำเธอไปไหนล่ะ” “มิรู้สิ สงสัยข้าทำตกไว้ที่ไหนสักแห่ง” “งั้นเอาสไบปิดหน้าไว้” เจ้าเอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แอบโล่งอกเมื่อคุณเธอยกผ้าสไบสีซีดของตัวเองขึ้นมาปิดหน้าตามคำสั่ง ก่อนจะค่อยๆ พาตัวไปนั่งทอดขาอยู่บนหน้าต่างโล่งตรงหน้าเพื่อพูดคุย “แม่เจ้าเอยเห็นหน้าคาตาข้ามานานแค่ไหนแล้ว” ถามอย่างตื่นเต้น “ก็ตั้งแต่วันแรกที่มา” “แล้วเหตุใดถึงยอมบอกว่าเห็นข้าแล้ว” “เพราะอยากจะคุยกับเธอให้รู้เรื่อง มีอย่างที่ไหนมาผลักฉันชนคนอื่นไปทั่ว” หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกเพื่อชำระความกับผี ถึงแม้จะหวาดระแวงกลัวใครมาเห็นเธอยืนพูดคนเดียวอย่างกับคนบ้า “ข้ามีนามว่าจำปีมิใช่เธอเสียหน่อย” ผีสาวแนะนำตัวเองให้ฟังเพื่อเปลี่ยนเรื่อง เธอดีใจเหลือเกินที่นานๆ จะมีคนมองเห็นและอยู่พูดคุยไม่หนีหายหรือหวาดกลัวไปไหน “ค่ะคุณจำปี ต่อไปฉันขอสั่งห้ามเลิกมายุ่งวุ่นวายได้แล้วรวมไปถึงคุณมังกรด้วย” “ข้ามิได้วุ่นวายหนาแม่เจ้าเอย แต่กำลังช่วยพ่อคนนั้นอยู่” “ช่วยจากอะไร?” “ข้าบอกแม่เจ้าเอยมิได้” จำปีหน้าสลดลงเมื่อไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำนั้นออกมาได้ ลำพังแค่เธอตามวนเวียนใกล้ๆ ตัวชายหนุ่มก็แทบจะหมดพลังทุกครั้งเมื่อต้องคอยช่วยเหลือเขา แต่ทว่าหญิงสาวตรงหน้ากลับเป็นแสงสว่างที่มักจะคอยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายพวกนั้นไปจนหมด และนี่คงเป็นเหตุที่เธอมักจะหาทางเรียกแม่เจ้าเอยให้มาอยู่ใกล้ๆ ชายคนนั้น “แม่เจ้าเอยต้องพยายามอยู่ใกล้ๆ พ่อคนนั้นหนา” “แล้วเธอมาตามช่วยคุณมังกรเขาทำไม” วิญญาณสาวทำท่าจะอ้าปากบอกก่อนจะสำลักเลือดสีแดงออกมาไม่หยุดทำเอาเจ้าเอยตกใจกลัวขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังแอบมีความรู้สึกเป็นห่วงคุณเธอไม่ใช่น้อย “เกิดอะไรขึ้นจำปี” “ฮึก! ข้าไปแล้วหนาแม่เจ้าเอย ไว้จักมาคุยเล่นด้วยกันใหม่” พูดตอบกลับรัวเร็วพร้อมร่างสลายหายวับไป หญิงสาวพ่นลมหายใจออกมาด้วยความหนักอึ้งและสงสัยเป็นทวีคูณถึงประโยคเมื่อครู่ เป็นจังหวะเดียวกันที่คุณชัยชนะจะเดินเข้ามาหา “ผมเดินหาคุณเจ้าเอยไปทั่วเลยครับ” “มีอะไรหรือเปล่าคุณชัยชนะ” “เจ้านายให้ผมมาตามคุณเจ้าเอยไปกินข้าวครับ” เจ้าเอยมองไปรอบๆ บริเวณอีกครั้งเพื่อมองหาคุณจำปี ทว่ากลับพบแต่ความว่างเปล่าเธอทำได้เพียงถอดใจแล้วเดินตามคุณชัยชนะไปที่บ้านพักตากอากาศ . . .
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD