“เอยตกใจเจ้าชารีฟน่ะค่ะ”
นั่งอยู่ภายในรถเจ้าเอยถึงได้กล้าพูดโกหกบอกเหตุที่ทำให้ตัวเธอวิ่งขาสับออกไปอย่างกับนักแข่งทีมชาติ มองเห็นใบหน้าหล่อยังคงมองมาอย่างจับผิดก็รีบพูดโป้ปดเสริมเข้าไป
“พอดีเมื่อกี้มันแยกเขี้ยวใส่เอย”
“อ่อครับ”
“คุณมังกรโกรธไหมคะ แต่เอยไม่ได้รังเกียจเจ้าชารีฟนะคะแค่กลัวมันเฉยๆ”
“ผมไม่มีสิทธิ์ไปโกรธหรอกครับ รู้สึกผิดมากกว่าที่ทำให้เอยต้องตกใจขนาดนี้”
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะหันมาทำงานต่อหลังรถเคลื่อนไปยังโซนที่ใช้เป็นที่สำหรับปลูกผลไม้ เห็นไม้ถูกปักลงพื้นเป็นทางยาวก็พอจะเดาได้ว่าจุดนี้ปลูกองุ่น ส่วนอีกด้านมีต้นไม้เล็กๆ วางเรียงซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นต้นส้ม
“คุณชัยชนะบอกว่าที่นี่จะปลูกสตอเบอรี่ด้วย”
“ใช่ครับ แต่ตอนนี้กำลังศึกษาสายพันธุ์อยู่”
“ต้นองุ่นเยอะดีนะคะ”
“พอดีคุณนายสมรเขาชอบ ผมก็เลยลงต้นองุ่นมากเป็นพิเศษ”
“คุณนายสมรดีกับเอยมากเลยค่ะ”
เจ้าเอยเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มและแววตาเป็นประกายเมื่อพูดถึงผู้มีพระคุณ ครั้งหนึ่งคุณนายสมรเคยมาขอรับตัวเธอไปเลี้ยงดูแต่ทว่าผู้เป็นบิดากลับไม่ยอม ท่านให้เหตุผลว่ากลัวคนมาด่าตอกหน้าเรื่องขายลูกกิน
“ท่านเอ็นดูเอย”
“คุณมังกรก็มีพระคุณกับเอยค่ะ อุตส่าห์ส่งเอยเรียนจนจบ”
“ไม่ต้องคิดว่ามันเป็นบุญคุณนะ ผมช่วยเพราะเต็มใจ”
ถึงคราแรกฝ่ายมารดาจะขอความช่วยเหลือ แต่ทว่านานวันเข้าก็เกิดเป็นความเต็มใจและแอบภูมิใจในตัวหญิงสาวทุกครั้งเวลามารดาส่งภาพผลการเรียนระดับดีเยี่ยมมาให้ รวมไปถึงภาพสาวเจ้าในชุดนักศึกษากำลังทำกิจกรรมของมหาวิทยาลัย
‘หนูเอยในชุดนักศึกษาน่ารักมากเลยนะมังกร’
‘หนูเอยได้รับรางวัลเรียนดีด้วย’
‘หนูเอยไปปลูกต้นไม้กับเพื่อน หน้าตาสวยเชียว’ ใบหน้าที่เลอะไปด้วยคราบสกปรกยังสวยเสมอสำหรับคุณนายสมร
‘หนูเอยเรียนทำขนม ดูสิขนาดในภาพยังน่ากินมากๆ เลย’
‘วันนี้หนูเอยสอบเสร็จแล้ว แต่หน้าเครียดเชียว’
และมากมายหนูเอย ในแต่ละวันตลอดสี่ปีที่คนตรงหน้าเรียนในระดับอุดมศึกษา มังกรก็จะได้รับภาพมากมายของหนูเอยที่อยู่ในอิริยาบถต่างๆ ซึ่งคาดว่าหญิงสาวคงจะถ่ายส่งรายงานให้แม่ของเขา
ชายหนุ่มเสมือนพ่อที่คอยมองลูกสาวคนหนึ่งศึกษาเล่าเรียน วันไหนเหนื่อยจากการประชุมเพียงได้ยินแจ้งเตือนและรูปภาพของคนที่อยู่ในชุดนักศึกษาก็ทำเอาผ่อนคลายขึ้นมา ในรูปว่าน่ารักแล้วแต่ตัวจริงน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งกว่าเป็นไหนๆ
“คุณมังกรยิ้มอะไรคะ หรือว่าขำหน้าเอย”
เจ้าเอยเอ่ยถามด้วยความสงสัยเมื่อร่างสูงเอาแต่จ้องหน้าเธอก่อนจะหัวเราะออกมาแผ่วเบา มือเล็กรีบจับแก้มเนียนนุ่มของตัวเองไปมาเพราะกลัวจะมีสิ่งแปลกปลอมอะไรติดอยู่
“เปล่า แค่คิดไปเรื่อย”
ตะวันตกดินทั่วทั้งบริเวณมืดและเงียบสงัด คนที่ยืนชะเง้อคออยู่หน้าบ้านรีบฉีกรอยยิ้มกว้างให้เจ้านายและผู้จัดการรีสอร์ต ชัยชนะผายมือเชิญทั้งสองนั่งรับประทานอาหารที่ริมระเบียง บรรยากาศกำลังดีมีลมเย็นพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา แถมบนท้องฟ้าเริ่มปรากฏหมู่ดาวระยิบระยับ
“เอยลืมล้างมือค่ะ”
ร่างเล็กทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นมือขวาของชายหนุ่มยื่นกะละมังบรรจุน้ำสะอาดให้ หญิงสาวส่ายหน้าไปมาพร้อมรอยยิ้มกับความสามารถเหลือล้นของเขาเสียเหลือเกิน
“ผ้าครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณวินเนอร์” ชัยชนะยิ้มกริ่มเมื่อได้ยินชื่อเดิมของตัวเอง
“รู้ได้ยังไงครับว่าชัยชนะชื่อวินเนอร์” เป็นประโยคคำถามของมังกร
“เจ้าตัวบอกค่ะ”
พูดตอบกลับพรางหยิบหมูทอดกระเทียมลงในจานตัวเอง อาหารอร่อยแถมวิวยังสวยล้วนสร้างความสุขให้กับเจ้าเอย เธอเคี้ยวจนแก้มตุ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลายอารมณ์ดีทำเอาสองหนุ่มเจริญอาหารกว่าครั้งไหนๆ
“หลักๆ งานของเอยมีอะไรบ้างคะคุณมังกร” วางช้อนส้อมลงหลังทานอาหารเสร็จ ก่อนจะหันไปถามชายหนุ่มที่ยกน้ำขึ้นจิบ
“ช่วยผมดูแลรีสอร์ต ไว้หากรีสอร์ตเปิดทำการเมื่อไหร่คอยมาแจกแจงงานกันอีกที”
“งั้นแปลว่าคุณมังกรไปไหน เอยก็ต้องตามไปด้วยเหรอคะ”
“ประมาณนั้นครับ”
หญิงสาวแอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก หากเป็นเช่นนั้นเธอย่อมต้องเจอกับวิญญาณที่ตามติดตัวเขาบ่อยขึ้น แต่ทว่าก็ต้องแอบสงสัยในตัวผีสาวนั้นมากเหลือเกิน
เธอคือใคร ต้องการอะไร
หรือเป็นคนรักเก่าของคุณมังกรในชาติที่แล้ว
คิดได้อย่างนั้นเจ้าเอยก็เลื่อนสายตาจ้องมองใบหน้าหล่อคมคายแทบไม่มีที่ติ แต่หลายครั้งหลายคราที่วิญญาณตนนั้นเสมือนจะเข้ามาทำร้ายเขา แต่ก็คอยตามพูดคุยกับเธออย่างอัธยาศัยดี
“คุณเจ้าเอยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
ชัยชนะสะกิดเรียกหญิงสาวถี่ยิบหลังเห็นเธอเอาแต่ลอบมองเจ้านายของเขาไม่วางตา ส่วนเจ้าตัวก็นั่งทำอะไรไม่ถูกเมื่อมีสาวสวยมาจับจ้องแบบนี้ รู้ว่าสนใจและปลาบปลื้มแต่ควรเก็บอาการไว้บ้าง
ไว้มีโอกาสชัยชนะต้องจับเข่าคุยกับหญิงสาวจริงจังถึงเรื่องการวางตัวเข้าหาผู้ชายของเธอใหม่เสียที
“เปล่าค่ะ”
“งั้นผมจะให้แม่บ้านมาเก็บจานนะครับ”
“ค่ะคุณชัยชนะ”
เจ้าเอยส่งยิ้มส่งให้เล็กน้อย พรางหันสายตาสำรวจรอบๆ บริเวณ แอบใจชื้นขึ้นมาหลังไม่เห็นวิญญาณตนนั้นลอยไปลอยมาให้หวาดผวา ถึงจะเห็นผีมานักต่อนักทว่าคงไม่เท่าคุณเธอร้อยแฟชั่นที่ห่มสไบไม่ซ้ำสี
“มาอยู่ไกลแบบนี้แฟนไม่ว่าเหรอ”
มังกรที่นั่งเงียบเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย หญิงสาวจัดได้ว่าหน้าตาดีถึงดีมากเธอคงมีผู้ชายเข้ามาไม่ใช่น้อย
“เอยไม่มีค่ะ”
“ไม่มีแฟน?”
“ใช่ค่ะ แต่มีคนมาจีบเอยเยอะเลยนะคะ”
หญิงสาวพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อนึกถึงช่วงเวลามหาวิทยาลัย เธอกลายเป็นสาวฮอตประจำคณะเลยก็ว่าได้แต่เจ้าเอยบอกปัดปฏิเสธทุกคนเพราะอยากจะตั้งใจเรียนให้สมกับที่คุณนายสมรไว้ใจและให้การช่วยเหลือ
“แล้วทำไมถึงโสด”
“เพราะเอยไม่อยากทำให้คุณนายสมรผิดหวัง และก็อยากจะเต็มที่ในการเรียนมากกว่า”
“เด็กดีใช่เล่นนะ”
“คุณมังกรชมเอยเหมือนผู้ใหญ่เขาชมลูกหลานเลยค่ะ”
มังกรหุบรอยยิ้มแทบไม่ทันหลังได้ยินแบบนั้น ภายในสมองประมวลข้อมูลของตัวเขาและคนตรงหน้าสลับกัน ปีนี้ชายหนุ่มอายุสามสิบห้าส่วนคนตัวเล็กเพิ่งเรียนจบอายุราวๆ ยี่สิบสาม
สิบสองปีทำเอาชายหนุ่มชะงัก
“ขอโทษค่ะ เอยไม่ได้ตั้งใจจะว่าคุณมังกรแก่นะคะ แค่เปรียบเทียบเฉยๆ”
“เอยครับ”
คำว่าแก่พูดเบาๆ ก็เจ็บ แม่งเอ๊ย!
“จะอธิบายยังไงดีคะ ถึงคุณมังกรจะอายุมากแล้วแต่หน้าตาดีอย่างกับหนุ่มวัยรุ่นเลยนะคะ”
“พอเถอะเอย”
มังกรยกมือขึ้นปรามสาวเจ้าที่พยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ ทว่ากลับพูดเหล่านั้นล้วนเปรียบเสมือนมีดคมๆ ที่จ้วงแทงใจดำเข้าไม่ยั้ง
“เอยไม่ได้ตั้งใจค่ะ” เสียงแผ่วเบาพูดตอบกลับด้วยความรู้สึกผิด
“ผมไม่ได้ถือสาอะไร” ใครว่าล่ะ ถือสาจนปวดขมับตุบๆ
“จริงเหรอคะ”
“ครับผม”
“คุณมังกรใจดีอย่างที่คุณนายสมรพูดไว้ไม่มีผิด”
“แม่แอบนินทาผมกับเอยเหรอครับ”
“พูดถึงอย่างชื่นชมต่างหาก และที่สำคัญเอยรู้ว่าการนินทาผู้ใหญ่เป็นสิ่งไม่ดี”
ชายหนุ่มในวัยสามสิบห้าขยับตัวพิงพนักของเก้าอี้อย่างตรอมใจอีกครั้ง ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยมีความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเองน้อยขนาดนี้มาก่อน ยิ่งได้ยินหญิงสาวพูดตอกย้ำก็ล้วนสร้างความบอบช้ำภายใต้จิตใจ
“คุณนายสมรเล่าให้เอยฟังอยู่บ่อยๆ ค่ะว่าคุณมังกรชอบทานขนมของแม่มาก” เจ้าเอยเปลี่ยนเรื่องคุยเมื่อเห็นสีหน้าไม่ดีของร่างสูง
“ครับ คุณน้าทำอร่อย”
“อร่อยถึงขนาดร้องไห้เลยใช่ไหมคะ” แอบล้อเลียนพฤติกรรมเอาแต่ใจของเขาเล็กน้อย
“คุณนายสมรนี่น่าตีจริงๆ เลยนะ”
“เสียดายเอยยังอยู่ในท้องแม่ ไม่ได้เห็นคุณมังกรร้องจะเอาขนม”
บรรยากาศที่เริ่มจะดีขึ้นกลับหม่นลงอีกครั้ง และรอบนี้คงจะหนักกว่าครั้งไหนๆ เมื่อหญิงสาวเล่าช่วงเวลานั้นขึ้นมาจนมังกรชะงักหลังได้ยินแบบนั้น
“เอยว่าตัวเองควรไปนอนได้แล้วค่ะ”
.
.
.