3.1 หัวขโมยตัวน้อย

1644 Words
3 หัวขโมยตัวน้อย ระยะเวลาสองชั่วยามผ่านไปไวเหมือนโกหก เด็กน้อยถูกสาวใช้ทั้งหลายจับแต่งตัวให้ราวกับตุ๊กตา ชุดไหมสีครามราคาแพงถูกหยิบยื่นมาให้ใส่ ปิ่นปักผม กำไลหยก สร้อยคอ ถูกประดับประดาตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำเอาร่างเล็กแทบจะล้มทั้งยืน หัวคิ้วเรียวเล็กกดลึกขึ้น หากเครื่องประดับล้ำค้าพวกนี้หล่นหายสักชิ้นสองชิ้นก็อย่ามาโกรธนางแล้วกัน หากพูดถึงงานเทศกาลที่มีคนพลุกพล่านแล้วละก็ การใส่ของล้ำค่ามากมายเพียงนี้ก็ไม่ต่างไปจากการเป็นเหยื่อล่อโจร นางคิดพลางถอนหายใจ ป่วยการที่จะอธิบายให้ทั้งสองเข้าใจ ร่างกระจ้อยร่อยที่รู้สึกหนักศีรษะขยับเท้าเล็กๆ ของตนเดินออกไปจากห้องอย่างเชื่องช้า ธรณีประตูก็สูงไม่น้อย กว่าเหอซิงจะเดินออกมาได้ก็เล่นเอาเสียเหนื่อยหอบ ครั้นเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าพี่ชายทั้งสองของนางรออยู่ก่อนแล้ว พวกเขากำลังพูดคุยอยู่กับจางโม่ที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนาน เหอซิงเห็นพวกเขาคุยกันอย่างออกรสก็ไม่อยากส่งเสียงรบกวน ทว่าพี่สาวทั้งสองที่เดินตามออกมากลับไม่คิดเช่นนั้น พวกนางกระแอมไอเรียกร้องความสนใจอย่างเต็มที่ เรียกพวกเขาทั้งสามให้หันมาดูผลงานของพวกนาง จางโม่ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้เป็นคนแรก นางกับเหอซิงแต่งกายเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนราวกับฝาแฝด ติดตรงที่ว่าเหอซิงตัวสูงกว่า จากนั้นเหอฟงก็เดินเข้ามาใกล้ มองพวกนางอย่างพิจารณาก่อนจะจุปาก ดวงตาเป็นประกายมองดูนางที่ถูกแปลงโฉมอย่างชื่นชม “นับว่าไม่เลว” ครั้นเหอลั่วได้ยินก็เข้ามาดูอย่างสนใจบ้าง เตรียมจะเข้ามายีศีรษะของน้องสาวด้วยความมันเขี้ยวแต่ถูกห้ามเอาไว้ได้ทัน ดวงตาสีน้ำตาลของเหอซิงจ้องมองพี่ชายคนเล็กอย่างห้ามปราม นางเสียเวลาเกล้าผมตั้งครึ่งชั่วยาม แค่ร่างเล็กคิดว่าต้องไปเกล้าใหม่ก็เริ่มรู้สึกถึงความทรมานและอาการเมื่อยคอ “พี่หญิงซิง ท่านช่างงามนัก” เด็กหญิงร่างเล็กที่สุดในที่นี้เอ่ยประจบ เรียกรอยยิ้มจากเหอซิงได้เป็นอย่างดี “หากข้าเรียกว่างาม ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงงามยิ่งกว่า” ยอมาก็ยอกลับ คุณหนูจางโม่ตัวน้อยเขินจนอายม้วน ครั้นพูดคุยกันจบแล้ว สองเด็กชายและสองเด็กหญิงก็เดินไปกินอาหารมื้อค่ำที่จวนรับรอง กินอาหารจนอิ่มหนำสำราญถึงขั้นที่ไม่สามารถกลืนอาหารที่ยังมีอยู่เต็มโต๊ะลงกระเพาะเล็กๆ ได้อีก ก็ออกไปเยี่ยมชมงานเทศกาลต่อ สองข้างทางของถนนสายหลักในเมืองหลวง ทั้งอาคารและบ้านเรือนล้วนประดับไปด้วยโคมไฟสีแดงสด บ้างก็ผูกติดกันเป็นรูปนก บ้างก็เป็นรูปก้อนเมฆ หลายครอบครัวต่างก็ทำของคาวของหวานออกมาขาย มีบ้างที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ เหอซิงมักจะหยุดมองแถวๆ ร้านขายเครื่องดนตรีและร้านขายอาวุธเพื่อหาซื้อของฝากให้พี่ชายทั้งสอง เหอซิงที่คาดว่าคงมีผู้ติดตามจากจวนเจ้ากรมการคลังเพียงแค่สามสี่คน แต่ที่ไหนได้ กลับมีมากถึงสิบหกคน! ทว่าขบวนของพวกนางกลับหาได้สะดุดตาชาวบ้านทั้งหลายไม่ พวกเขาต่างมองภาพเช่นนี้จนคุ้นชินเสียแล้ว คนในตำแหน่งในเมืองหลวงย่อมมีมากมายกว่าที่อื่น ยิ่งในงานเทศกาลเช่นนี้ก็ย่อมต้องมีคุณชายคุณหนูตระกูลใหญ่มาเยี่ยมชมเป็นเรื่องธรรมดา จางโม่เล่าว่าบนถนนสายหลักนี้จะมีเวทีแสดงการเต้นระบำที่โด่งดังอยู่เพียงสามแห่ง ซึ่งนางก็ตั้งใจจะพาพวกนางซึ่งมาจากต่างเมืองไปดูการแสดงให้ครบทั้งสามที่ พวกเหอซิงพบเจอเหล่าคุณชายคุณหนูจากจวนอื่นบ่อยครั้ง แต่ละคนต่างก็มีผู้ติดตามรายล้อมเช่นเดียวกัน พวกเขาผงกศีรษะทักทาย พวกนางจึงต้องทำเช่นนั้นตอบกลับไปตามมารยาท ครั้นเดินชมงานไปสักพัก เหอซิงก็รู้สึกเริ่มหนักศีรษะจนกลายเป็นความรำคาญ ไม่เข้าใจเลยว่าเหล่าบรรดาสาวน้อยใหญ่ทนสวมเครื่องประดับพวกนี้ไปได้อย่างไร “หัวขโมย!! ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยจับเจ้าเด็กนั่นไว้ที!” นางละสายตาจากการร่ายรำเมื่อได้ยินเสียงร้อง สิ่งที่เห็นคือเด็กวัยสิบกว่าขวบซึ่งมีผ้าผืนดำปกปิดใบหน้าครึ่งล่าง ในมือถือห่อผ้าสีขุ่นกำลังวิ่งหนีบางสิ่งอย่างสุดฝีเท้า ทิศทางที่จากมาคือร้านขายยาเล็กๆ แห่งหนึ่ง โดยที่ชายชราไม่อาจวิ่งตามมาขโมยตัวน้อยผู้นั้นได้อย่างใจหวัง เหอซิงไม่รอช้ารีบหันไปมองรอบกาย แต่กลับพบว่าตนพลัดหลงกับคนอื่นๆ เข้าเสียแล้ว ในเมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แววตาก็ไร้ซึ่งความลังเลอีก นางรีบใช้วิชาตัวเบาพุ่งทะยานตามเจ้าหัวขโมยตัวน้อยไปอย่างไม่รอช้า เด็กหญิงไล่ตามอีกฝ่ายไปโดยไม่สนใจการแสดงบนท้องถนนที่แสนวุ่นวายอย่างสิ้นเชิง ผู้ที่ถูกไล่ตามแม้จะมีกำลังภายใน แต่ก็ถือว่าอ่อนด้อยกว่านางอยู่มาก การตามตัวจึงเป็นเรื่องง่ายดาย ร่างเล็กเพียงกระโดดตีลังกาไม่กี่ทีก็ทิ้งตัวลงพร้อมกับยกมือเท้าสะเอวขวางหน้าผู้หนีเอาไว้อย่างพอดิบพอดี ดวงตาเล็กปราศจากผ้าผืนดำปกปิดเบิกโพลงอย่างคาดไม่ถึง ก่อนไล่มองชุดที่ผู้ที่ยืนขวางสวม เรื่อยขึ้นมาจนกระทั่งดวงตาหยุดอยู่ตรงเครื่องประดับมากมายบนลำคอและศีรษะเล็ก ไม่รู้เพราะเหตุใด พอเด็กชายได้เห็นแล้วก็แสดงท่าทีรังเกียจออกมาอย่างไม่ปิดบัง “หลีกไป! อย่ามาขวางทางข้า” เขาประกาศกร้าวด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยว ผิดกับผู้ขวางทางที่มีสีหน้านิ่งเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับคำสั่ง ในทางตรงกันข้ามนางขยับกายเข้าไปใกล้มากยิ่งขึ้น ทว่าอีกฝ่ายก็มีสัญชาตญาณดีอยู่บ้าง เขาก้าวถอยไปทางด้านหลังทันที ด้วยเหตุนี้มือเล็กๆ ที่ยื่นออกไปหมายจะจับตัวจึงคว้าได้เพียงผ้าปิดปาก ก็เห็นใบหน้าธรรมดาของเด็กชายวัยประมาณสิบขวบเท่านั้น! “อายุเพียงเท่านี้ก็ริอ่านอยากเป็นโจร คอยดูเถิด ข้าผู้นี้นี่แหละจะสั่งสอนเจ้าแทนบิดามารดาของเจ้าเอง!” เสียงเล็กๆ แฝงความเดือดดาลเอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา หัวขโมยได้ฟังแล้วก็โมโหจนหน้าเปลี่ยนสี นิ้วเล็กที่ชี้ใส่นางสั่นตามอารมณ์ เด็กน้อยคนนี้มีสิทธิ์อะไรมาว่าเขากัน! “จะ...เจ้าถือสิทธิ์อะไรมาว่าข้า เด็กตัวกะจ้อยร่อยอย่างเจ้า ดูแล้วอายุน้อยกว่าข้าเสียอีก!” ประโยคนี้เล่นเอาผู้ฟังอึ้งไปหลายอึดใจ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลกะพริบถี่ๆ ก่อนจะก้มลงมองร่างตนเอง “เออ จริงของเจ้า” นางก็เพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเวลานี้นางเองก็เป็นเด็กเช่นเดียวกัน อีกฝ่ายเริ่มรู้สึกว่านางคงสติเลอะเลือน ใบหน้าธรรมดาจึงแปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยันไม่สมวัย เขากระชับห่อผ้าที่ขโมยมาเตรียมจะหนีจากไปอีกหน ทว่าเหอซิงกลับเอื้อมมื้อไปคว้าคอเสื้อเขาเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายหงายหลังล้มลงบนพื้นเสียงดังลั่น “จะหนีไปไหน ข้ายังสั่งสอนเจ้าไม่เสร็จ” เสียงเล็กๆ กล่าวอย่างราบเรียบ ในขณะที่เขาเองก็หงุดหงิดไม่แพ้กัน ‘เด็กคนนี้จะเอายังไงกันแน่!’ เด็กชายคิดอย่างไม่สบอารมณ์ เวลานี้เขายิ่งรีบๆ อยู่ หากชักช้ากว่านี้จะไม่ทันกาล! เด็กชายคิดในใจขณะที่ผุดลุกขึ้นจากพื้นแล้วซัดฝ่ามือเข้าใส่ เหอซิงเห็นดังนั้นก็เบี่ยงตัวหลบ ส่งผลให้ร่างเล็กรอดพ้นไปอย่างฉิวเฉียด ก่อนจะสวนฝ่ามือกลับเข้าที่ช่องท้องของเขาทันที! อุก! แรงปะทะเข้าอย่างจังทำให้เขาเซไปด้านหลังหลายก้าว เด็กชายขบฟันแน่น ถึงกระนั้นแววตาแข็งกร้าวก็แสดงออกว่าเขาไม่มีทางยอมแพ้ มือที่กำห่อผ้านั้นบีบแน่นก่อนจะคลายออก จากนั้นก็เริ่มหันหน้าซ้ายขวาเพื่อหาทางหนีอีกครา ทว่ายังไม่ทันที่เท้าเล็กๆ จะออกตัว เสียงร้องไห้จ้าก็ดังขึ้นมาจากซอยลึกด้านใน ทำให้เหอซิงที่กำลังจะเข้าไปจับตัวหัวขโมยชะงักกลางคัน ใบหน้าน่ารักพยายามใช้ดวงตาเพ่งมอง แต่เนื่องจากซอยนั้นลึกมากเสียจนแสงจากโคมไฟตรงถนนใหญ่ส่องไม่ถึง เหอซิงจึงไม่อาจมองลอดความมืดไปได้ว่าต้นเสียงมาจากส่วนไหน ร่างในเครื่องแต่งกายหรูหรารีบใช้วิชาตัวเบาพุ่งตามไปอย่างไม่รอช้าจนกระทั่งตามอีกฝ่ายทัน ทว่าภาพเบื้องหน้าทำให้อารมณ์คุกรุ่นหายไปโดยสิ้นเชิง แสงจากดวงจันทร์ทำให้นางเห็นเด็กทารกแรกเกิดที่อยู่ในอ้อมแขนของเด็กชายแทนห่อผ้าที่ถูกทิ้งลงบนพื้นอย่างไม่ไยดี ตรอกซอยนี้ถือว่ารกร้างไร้ผู้คนและเต็มไปด้วยคราบฝุ่น ทว่าเหอซิงกลับละความสนใจจากสิ่งเหล่านั้นไปโดยสิ้นเชิงเมื่อสังเกตเห็นร่างที่นอนอยู่บนพื้นเบื้องหลังเด็กชายและทารกน้อย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD