ค่ำคืนนั้นเด็กหญิงรู้สึกเหมือนถูกสายตาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกอยู่หลายครั้ง จนทำให้พี่ชายทั้งสองที่นอนอยู่ห้องเดียวกันพลอยตื่นไปด้วย
ไปๆ มาๆ เหอซิงก็ผล็อยหลับไปทั้งๆ ที่รู้สึกว่าถูกจ้องมองอยู่แบบนั้น ครั้นถึงเวลาเช้าของวันต่อมา จิ้งจอกหิมะก็ไม่อยู่ในห้องเสียแล้ว
เหอซิงกวาดตามองดูห้องที่ว่างเปล่า รู้สึกเบาใจไปเปลาะหนึ่งที่มันไม่ได้แกะผ้าพันแผลออก ข้าวของเครื่องใช้ในห้องล้วนอยู่ในตำแหน่งเดิม ไร้รอยขีดข่วนหรือสูญหาย ดูท่าจิ้งจอกหิมะตัวนั้นจะรู้จักมารยาท ไม่อาละวาดเมื่อฟื้นคืนสติ และมันคงแข็งแรงพอจึงจากไปโดยที่ไม่มีใครพบเห็น
เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันครบทั้งสามคน ไป๋เล่อก็เรียกพวกนางลงไปกินอาหารเช้า จากนั้นทั้งคณะก็ออกเดินทางต่อเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ท้องถนนเริ่มครึกครื้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อยิ่งเข้าใกล้เมืองหลวง มีรถม้าจำนวนมากต่อแถวกันอยู่ที่หน้าประตูเมืองยาวออกมาไกล แต่เนื่องจากรถม้าที่พวกนางนั่งเป็นของจวนเจ้ากรมการคลังจึงได้อภิสิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องไปต่อแถวคอยเหมือนรถม้าคันอื่นๆ เพียงแค่พารถม้าไปยังหน้าประตูเมือง เปิดรถม้าให้พวกเขาตรวจดูเล็กน้อย ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ผ่านประตูเมืองเข้าสู่เขตเมืองหลวง
ตึกรามบ้านช่องนับว่าเจริญกว่าเมืองหยวนเหยา ท้องถนนและสิ่งปลูกสร้างล้วนใหม่และสะอาด จุดที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดคงจะเป็นผู้คนมากมายที่เดินกันอย่างขวักไขว่ เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะมีให้ได้ยินอย่างไม่ขาดสาย
เด็กหญิงเกาะหน้าต่างรถม้าด้วยท่าที่ชอบทำเป็นประจำ ดวงตากลมโตเหม่อมองออกไปด้านนอกอย่างตื่นเต้น จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับซอยเล็กๆ ซอยหนึ่งซึ่งมีเด็กและสตรีนั่งอยู่เป็นจำนวนมาก พวกเขาต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าขาดๆ สีหน้าและแววตาไร้ซึ่งชีวิตชีวาโดยสิ้นเชิง
ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน แม้กระทั่งในเมืองที่เจริญก็ยังมีคนยากจนอยู่ดี คิดไปแล้วก็อดนึกถึงตัวเองในชาติที่แล้วไม่ได้ หากนางคิดยอมแพ้กับโชคชะตาที่เป็นเด็กกำพร้า ก็คงมีสภาพไม่ต่างจากพวกเขาเท่าไรนัก
ในที่สุดรถม้าหยุดลงที่หน้าจวนใหญ่ ความโอ่อ่าทำให้เจ้าของร่างเล็กเผลอเม้มปากแน่นอย่างประหม่า ความง่วงที่สั่งสมมาหายเป็นปลิดทิ้งก่อนจะแทนที่ด้วยความแปลกใหม่
เหอลั่วเองก็ตื่นเต้นไม่ต่างไปจากนาง ผิดกับพี่ชายคนรองที่มีสีหน้านิ่งเฉย เขาก้าวนำพวกนางไปเป็นคนแรก โดยมีไป๋เล่อคอยนำทาง ส่วนกวนลู่ก็จูงม้าไปยังโรงเก็บม้าทางด้านหลัง
พ่อบ้านประจำจวนเจ้ากรมการคลังพาพวกนางทั้งสามเดินตัดผ่านสวนหินขนาดใหญ่ ซึ่งเด็กหญิงคิดว่าเหอม่อเหยียนคงปลื้มใจน่าดู ไม่นานนักพวกนางก็มาถึงเรือนรับรอง เหอซิงเลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าใต้เท้าจางรอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว
เจ้ากรมการคลังคือชายซึ่งมีอายุเข้าใกล้เลขห้า รอบตัวมีกลิ่นไม่ธรรมดา ดวงตาลึกล้ำ สีหน้ายิ้มแย้มเป็นมิตร ในขณะที่ข้างกายเขาคือฮูหยินวัยสาวซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกตัว ใบหน้ารูปหัวใจของนางโดดเด่นสะดุดตา โดยมีร่างเล็กๆ ของบุตรสาวคนเล็กของบ้านอยู่ในอ้อมแขน
“พี่หญิงซิง ท่านมาแล้ว” จางโม่ส่งเสียงอย่างดีใจ กระโดดลงจากอ้อมแขนของมารดาแล้วปรี่เข้ามากอดนางแน่น ความสนิทสนมที่มอบให้ทำให้ผู้ไม่คุ้นชินยิ้มขวยเขิน แต่ก็กอดคนร่างเล็กตอบ
“คารวะใต้เท้าจาง ฮูหยินจาง” เด็กชายอีกสองคนซึ่งเดินทางมาด้วยโค้งกายคาราวะผู้อายุมากกว่าทั้งสอง
เหอซิงได้ยินดังนั้นก็รีบคลายอ้อมกอดจากจางโม่ ย่อกายเคารพทั้งสองเช่นกัน จางโม่เองก็ใช่ว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ เด็กน้อยวัยหกขวบยังคงเกาะแขนเรียวขาวราวกับผิวหยกของนางแน่นไม่ยอมปล่อย
“คุณชายน้อยทั้งสองท่านนี้คงเป็นบุตรคนรอง เหอฟง และบุตรคนที่สี่ เหอลั่ว กระมัง” ฮูหยินจางเอ่ยเสียงหวานขณะที่ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนช้อย
“ขอรับ นึกไม่ถึงว่าฮูหยินผู้งดงามจะรู้จักพวกเรา ซึ่งเป็นเพียงบุตรของนายอำเภอเล็กๆ นอกเมือง นับเป็นวาสนาของพวกเรายิ่งนัก” เหอฟงเริ่มหยอดคำหวาน ขณะที่ผู้เป็นน้องชายกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเอือมระอา ประสานกับเสียงหัวเราะคิกคักของจางโม่ที่เห็นว่าเป็นเรื่องสนุกสนาน
หญิงสาวผู้มีทรวดทรงงดงามเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ ถึงแม้ว่านางจะรูปโฉมงาม แต่ในจวนแห่งนี้นางมีศักดิ์เป็นเพียงฮูหยินคนที่สามของท่านเจ้ากรมการคลังเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นเบื้องหลังของนางเป็นถึงบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในวังหลวง คำชมทั้งหลายแหล่ล้วนเคยได้สดับฟังมาแล้วทั้งสิ้น การมาได้ยินคำสรรเสริญจากปากของเด็กอายุสิบสามก็แปลกใหม่มิใช่น้อย นางจึงยิ้มรับอย่างเอ็นดู
“พวกเจ้าเดินทางมาหลายวันคงจะเหนื่อย เหอซิง ข้าดีใจนักที่เจ้ามา โม่เอ๋อร์ช่วงนี้บ่นคิดถึงเจ้าทุกวัน พวกเจ้ารีบไปพักผ่อนเถิด ประเดี๋ยวคืนนี้หลังอาหารค่ำจะมีเทศกาล ‘ระบำวิหค’ จัดขึ้นในตัวเมือง ข้าจะให้คนนำทางพวกเจ้ากับโม่เอ๋อร์ไปเยี่ยมชม ถือเป็นของขวัญต้อนรับพวกเจ้า” เสียงเข้มของผู้เป็นเจ้าบ้านเอ่ยอย่างใจดี ทว่ากลับขัดความตั้งใจเดิมของเหอซิงที่คิดจะคุยกับจางจื่อหมิงเรื่องของขวัญที่เขาชอบส่งมาให้
อีกฝ่ายตัดช่องทางในการกล่าวของนางเช่นนี้ ดูท่าคงทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากเออออตามเขาไปก่อน ใบหน้าน่ารักของเหอซิงเผยรอยยิ้มที่ปกปิดความคิดเอาไว้อย่างมิดชิด แสดงท่าทีเหมือนกับเด็กหญิงทั่วไป
“พี่หญิงซิง ท่านจะต้องชอบแน่ๆ ระบำวิหคที่เมืองหลวงสวยมาก” เสียงเจื้อยแจ้วกล่าวเสริม รอยยิ้มกว้างประดับบนใบหน้าของคนที่มีร่างเล็กกว่า
เทศกาลระบำวิหค คือเทศกาลที่จัดขึ้นในช่วงต้นฤดูฝนของทุกปี เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองทั่วทั้งแคว้นเยว่ เพื่อขอบคุณเทพเจ้าแห่งสายฝนที่ประทานน้ำฝนมาให้ประชาชนทั้งหลายได้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคอุปโภคในครัวเรือน หรือแม้แต่ใช้สำหรับการเกษตรกรรม
ว่ากันว่าเทพเจ้าแห่งสายฝนชอบแปลงกายเป็นนกลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์ หากเห็นว่าที่ไหนแห้งแล้ง ก็จะประทานน้ำฝนชุ่มฉ่ำมาให้ จึงเป็นที่มาของเทศกาลนี้
เหอซิงเข้าร่วมเทศกาลนี้ที่หยวนเหยาทุกปี ไม่รู้ว่าในเมืองหลวงจะแตกต่างกันบ้างหรือไม่ ครั้นพอได้เห็นประกายระยิบระยับในดวงตาของจางโม่แล้ว เทศกาลนี้คงจะสวยงามมากอย่างแน่นอน
ใต้เท้าจางและฮูหยินไม่รั้งพวกนางเอาไว้นาน แม้จางโม่จะงอแงอยู่บ้าง แต่ก็ยอมปล่อยให้นางได้พักผ่อนแต่โดยดี
ไป๋เล่อพานางและพี่ๆ มายังเรือนพักแห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันออก เรือนแห่งนี้ประกอบไปด้วยหนึ่งห้องโถงและสองห้องนอน ถังอาบน้ำที่บรรจุน้ำร้อนถูกเตรียมพร้อมไว้แล้ว พวกนางสามคนจึงแยกย้ายกันไปอาบน้ำ ทว่าสิ่งที่ทำให้เหอซิงถึงกับสะดุ้งโหยงคือ หญิงสาววัยสิบหกสิบเจ็ดสองคนกำลังนั่งรออาบน้ำให้นางอยู่ในห้อง!
ตามปกติให้เสี่ยวเหม่ยอาบน้ำให้ก็อายพออยู่แล้ว ถึงกระนั้นก็ยังพอทนได้เพราะเห็นกันมาตั้งแต่เด็ก แต่นี่มันเกินที่คนอย่างนางจะรับไหวจริงๆ
เสียงใสพยายามไล่พี่สาวทั้งสองแบบสุภาพให้ออกมาด้านนอก ใช้เวลากล่อมอยู่นานเสียจนเหอซิงแทบจะหลับทั้งยืน นางไม่เข้าใจเหมือนกันว่าคนจะยุ่งอะไรกับนางเวลาอาบน้ำหนักหนา ที่บ้านก็มีพี่ใหญ่ของนางคนหนึ่งแล้ว มาที่จวนท่านเจ้ากรมการคลังก็เจอพี่สาวอีกสองคนซึ่งมีอาการไม่ต่างกัน
‘ถ้าร่างของฉันโตเป็นสาวแล้วค่อยมีอะไรน่าดูหน่อย นี่ฉันอยู่ในร่างเด็กแปดขวบยังรู้สึกว่าไม่เห็นมีอะไรน่าดูเลย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าจะดูอะไรกัน’
หลังจากเสียเวลาไปประมาณครึ่งชาติเศษในการเจรจา ในที่สุดนางก็สามารถเกลี่ยกล่อมให้พวกนางออกไปได้สำเร็จ แต่พวกนางที่พลาดจากการอาบน้ำแล้วก็ยังคงดื้อด้านที่จะแต่งตัวให้ ซึ่งนางก็ทำหน้าดุจ้องมองทั้งสองไปอีกหน พวกนางจึงได้แต่เดินคอตกออกจากห้องอาบน้ำไป
ในที่สุดก็ได้อยู่คนเดียว เหอซิงลอบถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะลงมือถอดเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็กระโดดลงไปในถังน้ำ เมื่อยืนขึ้นก็พบว่าน้ำสูงเท่าอกพอดี ความร้อนทำให้ผิวขาวหยกเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ทว่าฉับพลันก็ขนลุกซู่ เมื่อหันไปด้านหลังก็เห็นพี่สาวทั้งสองชะโงกหน้าออกมาจากฉากกั้น มองนางตาวาวราวกับแมวมองปลาย่างก็ไม่ปาน
เหอซิงในร่างเด็กน้อยลอบกลืนน้ำลาย พวกเขาคิดอะไรกันอยู่ ใครรู้ช่วยบอกที!
“อะ...ออกไปให้หมด!” เสียงเล็กตวาดออกไป ความร้อนผ่าวพุ่งขึ้นมาที่ใบหน้าจนลามไปถึงหูเล็ก
พวกนางทั้งสองเห็นเด็กน้อยทั้งโกรธทั้งอายก็หัวเราะคิกคัก ยอมออกไปแต่โดยดี แต่คนที่เสียใจภายหลังกลับเป็นนางเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วพบว่าถังน้ำนี่สูงเกินไป
ใบหน้าน่ารักงอง้ำ แล้วร่างเล็กอย่างนางจะปีนออกไปได้อย่างไรกันเล่า!