ผู้ที่แทรกตัวเข้ามาปกป้องนางคือเจ้าของดวงตาคมดุดั่งพญาอินทรี แววตานิ่งสงบทว่ากลับมีรัศมีดุดันจนผู้คนต้องยำเกรง ส่งผลให้นางเผลอมองอย่างไม่อาจละสายตา ใบหน้าของเขาคล้ำแดดจนกลายเป็นสีเข้ม ทว่าองค์ประกอบบนใบหน้ากลับหล่อเหลาคมคาย ริมฝีปากบางรับกับจมูกโด่งเป็นสัน ทั้งโดดเด่นและสะดุดตา
เขาก้มหน้าลงสบตานาง แววตาของบุรุษผู้นี้เฉยเมยต่อทุกสิ่ง ราบเรียบไม่แสดงอารมณ์ ทำให้เหอซิงคุ้นเคยอย่างประหลาด
...หรือว่าเขาจะเป็นคนที่ซ่อนกายอยู่บนต้นไม้สูงผู้นั้น!
ทว่ายังไม่ทันหาคำตอบให้ตนเองก็ต้องดึงสายตากลับมา เมื่อโจรร้ายจ้องมองผู้มาช่วยเหลือด้วยสายตาเคียดแค้น กล้ามใหญ่กำยำออกแรงกดดาบมากยิ่งขึ้นจนดึงให้ชายปริศนาหันหน้ากลับไปตั้งท่ารับคมดาบที่หนักหน่วงเสียจนแผ่นหลังเกร็งแน่น
“ซิงเอ๋อร์!” เสียงเรียกจากอีกด้านเรียกให้นางหันไปมอง ครั้นพบว่าผู้นั้นคือเหอลั่วนางจึงเผลอลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก พี่ชายคนเล็กแต่งกายในชุดรัดกุม กระชับกระบี่เล่มยาวในมือพร้อมกับสะบัดอย่างแรง เป้าหมายคือแขนใหญ่กำยำอีกข้างของโจรร้ายที่ล็อกคอนางเอาไว้
ฉัวะ!
ไม่มีแม้กระทั่งเสียงร้องโหยหวนของผู้ที่ถูกทำร้าย ดวงตาของอีกฝ่ายเบิกโพลงด้วยความเจ็บปวด ขณะที่เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นโดนใบหน้าเหอซิง บาดแผลฉกรรจ์ทำให้แขนแข็งแกร่งที่ถูกฟาดฟันอย่างแรงจนเห็นกระดูกที่อยู่ภายใน
คนร้ายบาดเจ็บหนักเสียจนคลายแขนออก ส่งผลให้ร่างเล็กเกือบร่วงลงสู่พื้น หากไม่มีวงแขนแข็งแกร่งรับไว้ได้เสียก่อน
ไม่ใช่อ้อมกอดของเหอลั่ว แต่เป็นของชายปริศนาที่เด็กหญิงไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ!
“ศิษย์พี่! ฝากดูแลซิงเอ๋อร์ด้วย” เหอลั่วตะโกนเสียงดังพร้อมกับหันกลับไปรับมือกับคมดาบของคนร้ายอีกคนซึ่งพุ่งเข้ามาหา ฝ่ายเหอซิงก็ได้แต่มองตามอย่างงงงวย นางไม่เคยรู้มาก่อนว่าพี่ชายของนางมีศิษย์พี่กับเขาด้วย
นางไม่ได้กลัวเลือด บวกกับความตื่นเต้นระทึกขวัญ จึงทำให้เหอซิงละความสนใจจากโลหิตที่เปรอะใบหน้าไปเสียสนิท เวลานี้ชายในชุดดำต่างวิ่งกรูเข้ามาหาพวกนางกว่าสามคน เจ้าของอ้อมกอดกักตัวนางไว้แน่น ก่อนจะกระโดดตีลังกาไปบนอากาศ ดาบใหญ่สวยงามในมือตวัดเพียงไม่กี่ครั้งกลับเรียกบาดแผลจากศัตรูได้มากมาย
ฝ่ายจางจื่อหมิงที่อยู่ไกลออกไปเห็นว่านางได้รับการช่วยแล้วก็ไม่รอช้า ออกคำสั่งทันที “จับพวกมันมาให้หมด! อย่าให้หนีไปได้แม้แต่คนเดียว!”
“ขอรับ!!” ทหารทั้งห้าสิบนายน้อมรับคำสั่ง เงื้ออาวุธขึ้นพร้อมกับวิ่งฝ่าเข้าไปต่อสู้กับกลุ่มโจร!
ศัตรูแม้จะมีเพียงสิบสามคน ทว่าฝีมือการต่อสู้กลับร้ายกาจราวกับได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี การปะทะจึงกินเวลายาวนานกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว เหอซิงถูกศิษย์พี่ของพี่ชายอุ้มเอาไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ส่วนอีกข้างก็สะบัดดาบใหญ่ในมือวาดผ่านตัดตัวศัตรู ทุกกระบวนท่าของเขาเฉียบขาดไร้ซึ่งความลังเล ราวกับการทำร้ายสังหารผู้อื่นเป็นเรื่องปกติ
เหอซิงลอบกลืนน้ำลาย ฝีมือของเขาช่างเก่งกาจจนนางมองตามกระบวนท่าของเขาไม่ทัน แม้จะถูกรุมถึงสามคนก็ไม่หวาดหวั่น รู้จักรุกรู้จักถอยอย่างช่ำชอง
ฝ่ายเหอลั่ว ถึงแม้เด็กชายวัยสิบขวบจะไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะต่อกรกับบุรุษเต็มไว แต่กระบวนท่าของเขาก็พลิ้วไหวไม่มีสะดุด เหมือนสายน้ำที่ไม่ยี่หระต่อความดุดันของสรรพสิ่งที่ตกกระทบ เขาเอี้ยวตัวหลบโดยไม่รับการปะทะตรงๆ ถือโอกาสที่อีกฝ่ายมีช่องโหว่แล้วจึงตอบโต้
หากให้เปรียบเทียบ ศิษย์พี่ของเขาคงเป็นดั่งพญาอินทรีที่แสนดุดันผู้ครองท้องนภา ส่วนเหอลั่วก็คือพญางูเห่าที่รั้งรอจังหวะฉกศัตรูด้วยพิษ!
ความปวดร้าวบนลำคอบางทำให้ใบหน้าน่ารักเริ่มซีดเผือด คาดว่าแผลคงอักเสบเสียแล้ว แม้นางจะไม่อยากให้ชายหนุ่มเสียสมาธิกับการต่อสู้ แต่ร่างกายก็ไม่อาจฝืนทนอีกต่อไป
เหงื่อไหลซึมออกมาจากใบหน้าน่ารัก แม้กระทั่งกลืนน้ำลายยังรู้สึกเจ็บ
“เจ็บ...” เสียงเล็กแหบแห้งเอื้อนเอ่ยท่ามกลางเสียงปะทะของคมดาบ เวลานี้นางไม่อาจฝืนสังขารได้อีกต่อไปแล้ว
เหอซิงคงไม่ทันสังเกตว่าคำพูดของนางนั้นทำให้เจ้าของอ้อมแขนก้มลงมา แววตาราบเรียบไหววูบอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะจางหายไปเมื่อเขากระโดดขึ้นสูง ตวัดดาบเป็นครั้งสุดท้าย ส่งผลให้โจรร้ายที่เข้ามาขวางถูกฟันเข้าที่ท้องเป็นแผลยาวจนร่างทรุดลงบนพื้น
เมื่อจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจึงใช้วิชาตัวเบาเหาะทะยานเพียงครั้งเดียวก็ไปถึงตัวเหอฟงบนหลังอาชาซึ่งอยู่ไกลออกไป
เสียงต่อสู้ การฟาดฟันของคมดาบเบาลงกว่าทีแรกพอสมควร แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ใกล้จบลงแล้ว ทว่าร่างที่มีเลือดไหลซึมออกมาจากลำคอกลับเหนื่อยล้าเกินกว่าจะหันไปมอง
เหอฟงเห็นสภาพของน้องสาวก็แทบจะควบคุมสติของตนไม่อยู่ เขาสัญญากับบุพการีทั้งสองแล้วว่าจะดูแลน้องๆ ให้ดี แต่เหอซิงกลับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ เด็กชายวัยสิบสามปีคว้าตัวนางมากอดเอาไว้อย่างทะนุถนอม ใช้แขนเสื้อเช็ดคราบเลือดออกจากใบหน้าน้องสาวอย่างเบามือ
นางปรือตาขึ้นมาช้าๆ ครั้นสบเข้ากับแววตาสั่นไหวของพี่ชาย ก็อยากพูดออกไปว่าตนเองปลอดภัยดี แต่สุดท้ายก็หมดสติอยู่ในอ้อมอกโดยยังไม่ทันได้พูดอะไร
บุตรชายคนรองของครอบครัวเม้มริมฝีปากแน่นในขณะที่กอดน้องสาวของตนเอาไว้ทั้งๆ ที่นางหมดสติไปแล้ว ไม่ใช่ว่าต้องการปลอบใจเหอซิงเพียงอย่างเดียว แต่เขาต้องการปลอบใจตนเอง ไออุ่นจากกายของน้องสาวตอกย้ำให้เขาตระหนักว่านางยังมีชีวิตอยู่ น้องสาวของเขาปลอดภัยแล้ว
ด้วยเหตุนี้เหอฟงจึงกัดฟันพูดโดยไม่หันไปมองผู้มีอำนาจข้างกาย “เสี่ยวซิงต้องกลับไปรักษาตัว” เขาพูดจบก็ไม่รอให้อีกฝ่ายอนุญาต เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มวัยสิบเจ็ดปีที่ยังไม่จากไปไหนด้วยแววตาเชื่อมั่น “ข้าตัวใหญ่ไม่พอที่จะประคองเสี่ยวซิงและควบม้าไปด้วยได้ รบกวนท่านใช้ม้าของข้าพานางกลับไปก่อนได้หรือไม่”
ผู้ถูกไหว้วานพยักหน้าแล้วรับร่างเล็กมาประคองขึ้นแนบกับอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เสียงหัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอแนบอยู่ข้างใบหูของคนที่หลับใหล เหอฟงกระโดดลงจากอาชาก่อนจะส่งต่อมันให้เขา
เมื่อมั่นใจแล้วว่าทุกอย่างเข้าที่ อาชาสีน้ำตาลจึงห้อตะบึงไปอย่างเร่งรีบ กระแสลมแรงพัดผ่านใบหน้าและร่างกายของคนทั้งสองเสียงดังอื้ออึงอยู่ข้างหู
กลุ่มควันลอยคลุ้งในยามเช้าที่แสนดุเดือด ทว่าทิศทางที่เขามุ่งไปหาใช่โรงหมอหรือจวนท่านเจ้ากรมการคลังไม่...