จิตเเพทย์

1209 Words
Saya Talk "มัดติดเตียงไว้ก่อน" ฉันเอ่ยสั่งบุรุษพยาบาลสองคนที่ช่วยกันกดไหล่คนตัวโตลงกับเตียง หลังจากรั้งเขาไว้ได้แล้วฉันก็รีบส่งสัญญาณจากด้านบนลงไปด้านล่างเพื่อขอเจ้าหน้าที่ให้ขึ้นมาช่วยพาคนไร้สติที่แหกปากโวยวายลงไปจากดาดฟ้าแห่งนี้ "ปล่อยผม!" คำเดิมๆยังถูกพ่นออกมาจากปากได้รูป พอได้เห็นหน้าชัดๆยอมรับเลยว่าเขาหน้าตาดีไม่น้อย ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วพนันได้เลยว่าไม่ใช่คนญี่ปุ่นแน่นอน "พวกคุณจะทำอะไรผม!" "หื้ม คนไทยงั้นเหรอ" เพราะเขาเผลอเอ่ยภาษาไทยขึ้นมาแถมยังชัดซะขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่เจ้าของภาษาย่อมไม่มีทางออกสำเนียงชัดเจนได้ถึงขนาดนี้แน่ เว้นแต่พวกชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยมาตั้งแต่เกิด ฉันมองคนที่ยังอาละวาดไม่หยุดแถมแหกปากโวยวายเสียงดังรบกวนไปทั้งบริเวณ ใช้ว่าฉันอยากทำแบบนี้หรอกนะแต่เพื่อรักษาความสงบให้กับคนไข้อื่นๆฉันจำเป็นต้องฉีดยาสลบให้เขาได้พักผ่อนเพราะตราบใดที่เขายังเมามายพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้คงยากที่จะคุยกันได้ "พาเขาไปที่ห้องฉัน" ห้องทำงานฉันเป็นห้องหรูหราขนาดใหญ่ กั้นเป็นห้องตรวจและโซนพักผ่อนด้วยฉากภาพเขียนราคาแพงที่ประมูลมาในราคาหกหลัก บุรุษพยาบาลเข็นเตียงเข้าไปหลักฉากกั้นก่อนจะขอตัวออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง ในห้องนี้จึงเหลือแค่ฉันและหนุ่มไทยที่ยังคงสลบไสลไร้สติและคาดว่าคงอีกหลายชั่วโมงถึงจะฟื้นขึ้นมา ตลอดทั้งวันฉันใช้เวลากับคนไข้ที่แวะเวียนมาไว้ขาดสาย การเป็นจิตแพทย์ต้องมีสติและควบคุมอารมณ์จิตใจของตัวเองให้ได้มากที่สุดเพราะในแต่ละวันเราต้องพบเจอคนไข้มากหน้าหลายตาและแน่นอนว่ามากปัญหาตามไปด้วย เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสะสวยตามแบบฉบับลูกครึ่ง คือคนไข้รายที่สิบของวันนี้ เธอเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน พ่อของเธอเสียชีวิต แม่จึงพามาอยู่ญี่ปุ่นด้วย แต่เพราะเธอแตกต่างจากคนอื่นทั้งรูปร่างหน้าตา ทำให้เธอถูกเพื่อนที่โรงเรียนรังแก ไม่เท่านั้นยังถูกญาติฝั่งแม่รังเกียจเพราะมีสายเลือดอเมริกันที่เคยสร้างความเสียหายให้แผ่นดินญี่ปุ่นครั้งสงครามโลกเมื่อนานมาแล้ว มันไม่ยุติธรรมกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เธอต้องกลายมาเป็นที่รองรับความเกียจชังที่ตัวเองไม่ได้ก่อ แต่จะให้เปลี่ยนทัศนคติลบล้างอคติที่คนเหล่านั้นมีต่อเธอก็ไม่ใช่เรื่องง่าย และการฟื้นฟูจิตใจเด็กคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน "เธอไม่พูดกับใครมาเกือบปีแล้วล่ะคะ" น้ำเสียงสั่นเครือของหญิงวัยกลางคนที่เป็นแม่แท้ๆของเด็กสาวเอ่ยขึ้น ในแววตาเธอยามมองไปลูกสาวเพียงคนเดียวนั้นทั้งเจ็บปวดทั้งห่วงใย หัวอกคนเป็นแม่เมื่อเห็นลูกเป็นทุกข์ก็ยากที่จะไม่รู้สึกอะไร "ตอนเธออยู่อเมริกาเธอเป็นแบบนี้รึป่าวคะ" "ไม่เลยค่ะ เธอร่าเริงปกติ" "งั้นฉันเสนอให้คุณพาเธอกลับไปอเมริกา" คำพูดประโยคเดียวของฉันทำให้แววตาหม่นหมองของเด็กสาววูบไหวเปล่งประกายยินดีอยู่พักหนึ่ง แต่แค่ครู่เดียวก็หม่นลงอีกครั้งเมื่อแม่ของเธอไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ฉันเสนอ "ฉันคงไปอเมริกาไม่ได้อีกแล้วล่ะค่ะ" "ขอเหตุผลได้มั๊ยคะ" คนเป็นแม่อึกอักและดูลังเลที่จะตอบคำถามจนฉันต้องเกลี้ยกล่อมเธอพักใหญ่ ระหว่างนั้นฉันก็เหลือบมองเด็กสาวที่นั่งก้มหน้าเม้มปากแน่น เด็กคนนี้เก็บกดและมีสภาวะซึมเศร้า หากไม่พาเธอไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดีกว่านี้ ฉันรับรองได้ว่าคนเป็นแม่จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่ "ฉันกำลังจะแต่งงานใหม่ ฉันไปอเมริกาไม่ได้อีกแล้ว" "คุณจะแต่งงานใหม่ทั้งๆที่ลูกคุณเป็นแบบนี้เหรอคะ" ยอมรับว่าฉันอารมณ์เสียนิดหน่อยที่ได้ยินเหตุผลจากปากแม่ของเด็กตรงหน้า ทั้งๆที่ลูกตัวเองกำลังเผชิญกับความโหดร้ายของสังคมอยู่แต่คนเป็นแม่ยังมีกระจิตกระใจจะแต่งงานใหม่ และเท่าที่ฟังมาเธอไม่เคยปกป้องลูกตัวเองได้เลย ...เป็นแม่ที่แย่และไม่ได้เรื่องจริงๆ สงสารเด็กที่เกิดมาชะมัด! ฉันแอบสบถกับตัวเองในใจ ถึงจะเป็นหมอแต่ฉันไม่ใช่คนดี ไม่ใช่แม่พระหรือนางฟ้าที่จะมาเข้าอกเข้าใจความคิดและเหตุผลของใครๆ หากแนะนำแนวทางการแก้ไขให้แต่ไม่ยอมปฏิบัติตาม มันก็อดที่จะโมโหไม่ได้หรอก! "ฉันเป็นหมอมีวิธีแก้ไขปัญหาให้คนไข้เสมอ แต่ถ้าหากคนรอบตัวคนไข้ไม่ให้ความร่วมมือฉันเองก็จนปัญญาที่จะช่วย ที่สำคัญลูกคุณจะหายหรือไม่ ในตอนนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณ" อาการของเธอขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจ ตราบใดที่เธอยังอยู่ที่นี่ก็มีโอกาสเสี่ยงที่เด็กหญิงคนนี้จะคิดสั้นและฆ่าตัวตายเพื่อหนีความโหดร้ายของสังคมที่เธอต้องเผชิญอยู่ทุกวันโดยที่คนเป็นแม่ก็ช่วยเหลืออะไรลูกไม่ได้เลย "ฉันอยากให้ลูกเข้มแข็ง ไม่อยากให้หนีปัญหา" "การหนีปัญหาไม่ใช่เรื่องผิด ถ้ามันเกินจะรับไหวก็หลบไปพักบ้างไม่เห็นเป็นไร" สู้กับคนหมู่มากมีแต่เสียเปรียบและอาจจะทำให้สถานการณ์ที่เป็นอยู่เลวร้ายขึ้นเป็นเท่าตัว หากเด็กคนนี้ลุกขึ้นสู้ นั่นเท่ากับว่าต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นเพราะฉันไม่คิดว่าเธอจะคุมตัวเองตอนฟิวส์ขาดได้ ...อย่างน้อยอาจจะแค่มีคนเจ็บตัว หรืออย่างมากก็อาจจะมีคนตาย "คุณเคยคุยกับลูกคุณบ้างมั๊ยคะ" "ฉันพยายามที่จะคุยแต่แกไม่ยอมพูดไรเลย ยาที่ได้มาแกก็ไม่ยอมกิน" "ยาไม่ใช่การแก้ปัญหาหรอกนะคะ" ดูจากอาการเด็กหญิงตรงหน้าแล้วจะพึ่งแค่ยาไม่มีทางที่เธอจะหายหรือกลับมาเป็นคนปกติแบบเดิมได้ ตราบใดที่เธอยังอยู่ในสังคมที่มีแต่การกลั่นแกล้งรังแกกัน สภาพจิตใจที่ไม่ได้รับการฟื้นฟูจะต้องย่ำแย่หนักกว่าเก่า และอาจนำพาความสูญเสียมาสู่คนเป็นแม่ที่ยังคงลังเลตัดสินใจอะไรไม่ได้สักที ฉันแอบถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมกับจ้องมองเด็กสาวที่ยังคงนั่งก้มหน้านิ่ง ใช่ว่าฉันจะไม่เคยโดนรังแกแต่เพราะว่าเป็นคนไม่ยอมใคร ไม่เคยอยู่เฉยให้โดนกลั่นแกล้งอยู่ฝ่ายเดียว ฉันจึงรอดพ้นมาได้ถึงทุกวันนี้และไม่ได้ตกอยู่ในสภาพแบบเด็กสาวตรงหน้า...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD