เรื่องที่ 3 ดวงกินผัว (1/2)

2719 Words
เชื่อว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนอยากแต่งงานหลายหน เช่นเดียวกับนฤมล หญิงสาววัยสามสิบห้าปีที่ตอนนี้เธอกำลังโปรยเถ้ากระดูกของสามีคนที่สองลงในแม่น้ำสายหลักของจังหวัดที่เธออยู่ “ดวงกินผัว” เสียงของแม่สามีที่พึ่งจะเสียไปพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจและโกรธเธอ นฤมลไม่ได้ตอบโต้ เธอเองก็เฝ้าโทษตัวเองที่แต่งงานครั้งที่สอง สามีก็ต้องมีอันเป็นไปเหมือนกับสามีคนแรก “คนแรกก็รถชน อีกคนก็รถคว่ำ” อีกฝ่ายยังพูดไม่หยุด “ถ้ามึงว่าลูกกูอีกคำนะอีสร้อย กูจะถีบมึงตกเรือตอนนี้” ปราณีปกป้องลูกสาวของตัวเอง เพราะทนฟังมาสักพักแล้ว “ลูกมึงออกไปเที่ยวกลางคืน เมาแล้วรถคว่ำ มันอยู่ที่ความประมาท ลูกกูไปตัดสายเบรกลูกมึงหรือยังไง ปากดีแบบนี้แหละ ระวังเถอะ ลูกมึงจะเอาไปอยู่ด้วย” เธอด่าต่อไม่ยอมหยุด ญาติของทั้งสองฝ่ายเงียบ ไม่มีใครอยากออกความเห็นในเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง “พอเถอะแม่” นฤมลบอกมารดาที่ตอนนี้เท้าเอวด่าแม่สามีด้วยความโมโห ในขณะที่สร้อยนั้นเงียบเพราะกลัวท่าทีของปราณี “ถึงกูจะชื่อปราณี แต่กูไม่เคยปรานีใคร หากจะมาด่าลูกกูแบบไม่มีเหตุผลแบบนี้” ปราณีพูดทิ้งท้าย นฤมลได้แต่ถอนหายใจออกมา เธอเศร้ากับการสูญเสียสามีไปแล้วยังต้องมานั่งฟังแม่ตัวเองกับแม่สามีผิดใจกันอีก มันทำให้เธอรู้สึกแย่ไม่ใช่น้อย ทันทีที่เรือกลับถึงฝั่ง สร้อยเดินมาหาลูกสะใภ้ที่ตอนนี้เป็นอดีตลูกสะใภ้ แล้วพูดกับเธอก่อนที่ปราณีจะเดินมาถึง “เงินประกันลูกชายฉัน ฉันต้องเป็นคนได้” “หนูจะไม่สินสมรสในส่วนของพี่แทนไป แต่ว่าเงินประกันหนูเป็นคนส่งเบี้ย หนูคงให้แม่ไม่ได้ ต้องขอโทษด้วยนะคะ” นฤมลตอบตามสิทธิ์ที่เธอควรจะได้ ไม่ใช่ว่าร้อนเงินหรือว่าอะไร แต่การทำประกันให้สามีเป็นสิ่งที่เธอกับสามีวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า เมื่ออีกฝ่ายจากไป อีกฝ่ายจะได้อยู่อย่างไม่ลำบาก “หน้าด้าน ถ้าอย่างนั้นแกก็ไสหัวออกจากบ้านลูกชายของฉันไป รถนี่ก็ของลูกชายฉัน ฉันจะเอาไว้ใช้” สร้อยพูดออกมา เธอไม่อยากเสียเปรียบเอาสมบัติของผู้ชายยกให้ลูกสะใภ้คนนี้ “เชิญค่ะแม่ บ้านค้างธนาคารอยู่อีกยี่สิบห้าปี งวดละหกพันนะคะ ส่วนรถนี่ติดไฟแนนซ์อยู่สี่แสน ส่งเดือนละหมื่นสาม ก็ดีเหมือนกันค่ะ หนูไม่อยากรับภาระต่อแล้ว แม่จะเอาไปขายใช้หนี้อะไรก็ตามใจนะคะ หนูขอตัว” นฤมลประชดประชันแม่สามีด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา แล้วคว้ากระเป๋าสะพายของตนเองและข้าวของบางส่วนออกมาจากรถ ยัดกุญแจรถของเธอและสามีให้กับอีกฝ่าย เธอไม่อยากเสียมารยาทอะไร แต่ในเมื่ออีกฝ่ายแสดงความเห็นแก่ตัวออกมาในวันสำคัญอย่างนี้ เธอก็ต้องรีบออกไปจากตรงนี้ แล้วพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกที สร้อยได้ยินดังนั้นตัวเองก็ไม่อยากรับภาระ อีกอย่างพูดไปก็เพื่อเอาชนะนฤมลเท่านั้น แต่เมื่อรู้ว่าลูกชายของตนเป็นหนี้เงินกู้ซื้อบ้านซื้อรถก็ไม่อยากได้แล้ว อีกทั้งชื่อก็เป็นของลูกชายกับลูกสะใภ้ อย่างไรตามกฎหมายก็ต้องตกเป็นของคู่สมรส “ฉันไม่เอาแล้ว ทั้งบ้านและรถ เชิญเธอใช้หนี้เองแล้วอยู่ที่นั่นต่อไปเถอะ” สร้อยตามมาคืนกุญแจรถ แล้วพูดเสียงดังจนคนในบริเวณนั้นเอือมระอา ที่แม่ผัวกับลูกสะใภ้ผิดใจกันเรื่องสมบัติทั้งๆที่พึ่งลอยอังคารเสร็จ “เออ มึงจะไปไหนก็ไปอีสร้อย อย่ามาเรียกร้อง สมบัติเขาหาด้วยกันมา อยากได้แต่เสือกไม่มีปัญญาผ่อน อีเวรตะไล” ปราณีตามมาด่าอีกรอบ คราวนี้สร้อยไม่ตอบโต้ เธออับอายที่ถูกอีกฝ่ายด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายแบบนั้น แต่สำหรับคนที่นี่มันสรรพนามสมัยพ่อขุนมันเป็นคำพูดของคนในถิ่น เขาจึงไม่ได้ถือว่าหยาบคายอะไรมากนัก “แม่พอเถอะ” นฤมลบอก ตอนนี้เธอเริ่มรับไม่ไหวแล้ว กับความวุ่นวายในวันนี้ สร้อยกับญาติๆ นั่งรถตู้กลับกรุงเทพฯ ไป ส่วนนฤมลก็ขับรถกลับไปยังบ้านของเธอและสามี แล้วร้องไห้ออกมาเมื่อเห็นบรรยากาศเก่าๆที่เต็มไปด้วยความทรงจำของทั้งคู่ ********************** แม่ม่ายสาวประกาศขายบ้านของตนเอง เธอไม่ต้องการเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขระหว่างเธอกับเขา แม้ช่วงหลังจะทะเลาะกันบ้างก็ตามที เพราะเขาเองเริ่มเปลี่ยนไป และเมามายกลับมาในช่วงนี้จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้น เธอใช้เงินประกันของสามีในการซื้อบ้านหลังเล็กๆอยู่ในงบเพียงหนึ่งล้านเศษ เพราะบ้านของมารดานั้นมีพี่ชายกับพี่สะใภ้อยู่ ทั้งคู่กลัวเธอกลับไปอยู่ด้วยและแย่งบ้านไป นฤมลรู้ดีจึงไม่ได้ไปอยู่ตามคำชวนของมารดา และอยากมีบ้านเป็นของตัวเองเพราะมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า เงินที่ได้จากการขายบ้านหักหนี้กับธนาคารก็นำมาปิดงวดรถแล้วโอนเป็นชื่อของตัวเอง ตอนนี้เธอมีบ้าน มีรถ และเงินเก็บเหลือในบัญชีอยู่เกือบหนึ่งล้านบาท แต่นฤมลก็ไม่ได้บอกใครว่าบ้านซื้อเงินสด เพราะคนรอบข้างนั้นจ้องแต่จะหยิบยืม จึงให้คนเข้าใจว่าขายบ้านสองชั้นมาอยู่บ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ เพราะผ่อนไม่ไหว ดีกว่าให้คนรู้ว่าเธอมีเงินเก็บเหลือ ส่วนงานที่ทำอยู่นั้นเธอก็ยังทำงานเป็นพนักงานบริษัทเงินเดือนหมื่นต้นๆต่อไป หลังเลิกงานและวันหยุดก็ใช้เวลาอบคุกกี้เอาไว้ขายส่งตามร้านกาแฟเพื่อไม่ให้ตัวเองเหงา ทำให้เพื่อนร่วมงานและคนรู้จักเข้าใจว่าตอนนี้ชีวิตเธอกำลังตกต่ำอยู่และต้องหาเงินคนเดียวมาใช้หนี้ค่าบ้านและค่ารถ และมันทำให้ผู้ชายที่คิดจะจีบแม่ม่ายอย่างเธอจึงต้องคิดหนักเพราะไม่อยากแบกภาระนี้ไปด้วยกัน ซึ่งนฤมลก็ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้น เพราะเธอก็ไม่อยากแต่งงานเป็นครั้งที่สามแล้ว “ขอโทษนะครับ ผมมารับคุกกี้ที่โทรนัดไว้เมื่อสักครู่” ชายหนุ่มวัยสามสิบปีพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ การแต่งตัวของเขานั้นทะมัดทะแมง รองเท้าผ้าใบ กางเกงยีนกับเสื้อยืดถูกๆตามตลาดนัด ดูก็รู้ว่าเป็นพนักงานของร้าน “ของร้านกาแฟที่เปิดใหม่ใช่ไหมคะ” “ครับ” “รอพี่แป๊บนะ เดี๋ยวพี่เอามาให้” เธอบอกด้วยน้ำเสียงที่ดูเป็นมิตร แล้วเดินเข้าไปหยิบลังใส่ห่อคุกกี้ออกมาให้แก่เขา พร้อมกับถุงหูหิ้วที่ใส่คุกกี้มาอีกห้าห่อเล็ก “นี่ของร้าน ส่วนนี่ของน้อง เอาไปแบ่งเพื่อนๆที่ร้านทานนะ อย่าทานหมดคนเดียวล่ะ เดี๋ยวอ้วน” “ขอบคุณพี่มากๆเลยครับ” เขาบอกด้วยท่าทางที่ดีใจ แล้วยิ้มกว้างออกมา รับลังมามัดติดท้ายรถมอเตอร์ไซค์เอาไว้ แล้วนำถุงขนมมาห้อยไว้ที่มือจับของรถมอเตอร์ไซค์ เขายิ้มมองเธอด้วยสายตาที่ดูสนใจจนเธอรู้สึกได้ มีสามีมาถึงสองคน มีหรือว่าท่าทีของชายหนุ่มเธอจะดูไม่ออก หลังจากนั้นเขาก็กลับมารับขนมจากเธออีกในสองวันต่อมาพร้อมกับเครื่องดื่มจากร้านของเขา “นี่ครับ นมเย็นสีชมพูหวานๆ เหมาะกับคนหวานๆอย่างพี่” เขาบอกแล้วยื่นให้เธอรับไว้ “ขอบคุณนะคะ วันหลังไม่ต้องซื้อมาฝากพี่ก็ได้” เธอบอกเขา อยากถอยห่างจากหนุ่มรุ่นน้องตรงหน้า เพราะไม่อยากให้ความหวังเขาอีก “พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ถ้าว่างก็ไปนั่งทานกาแฟที่ร้านได้นะครับ” เขาบอกขณะที่เธอยกลังขนมมาให้ “ขอบใจนะที่ชวน แต่พี่ไปไม่ได้หรอก ต้องอบขนมเพิ่มทั้งวัน ไม่งั้นไม่ทันขายแน่ เพราะวันธรรมดา พี่อบได้ไม่เยอะ” เธอบอกเขาทั้งๆที่เธอทำเป็นงานอดิเรกแค่พอขายเท่านั้น “ขนมพี่ขายดีนะครับ ไม่ลองทำอย่างอื่นนอกจากคุกกี้บ้างเหรอ” เขาถามเธอ พยายามชวนคุยยังไม่ยอมกลับง่ายๆ “ไม่หรอกค่ะ เตาที่บ้านเป็นเตาเล็ก อบคุกกี้ได้แค่ครั้งละไม่ถึงห้าสิบชิ้นด้วยซ้ำ คืนหนึ่งพี่ต้องอบอยู่เป็นสิบรอบ และวันอาทิตย์เตาก็ไม่ว่างเลย หากปลีกตัวไปทำอย่างอื่นเพิ่มน่าจะเหนื่อยและทำไม่ทัน” “ไม่อยากได้คนมาช่วยอบขนมเหรอครับ” เขาถามเธอ หยอดจีบเล็กน้อย “ไม่หรอกค่ะ พี่ชอบทำอะไรด้วยตัวเองดีกว่า ทำคนเดียว อยู่คนเดียว คิดคนเดียว มันสบายใจดีนะคะ ไม่ต้องทะเลาะหรือขัดแย้งกับใคร” เธอยิ้มให้เขา ปฏิเสธทางอ้อมว่าในชีวิตไม่พร้อมจะมีใคร และสามารถอยู่คนเดียวได้อย่างมีความสุข “ป้องนะครับ” “คะ?” “ผมชื่อป้อง และผมจะมาตื๊อชวนพี่ไปนั่งที่ร้านกาแฟทุกครั้งที่มารับขนม ผมเชื่อว่าการอยู่คนเดียว ทำอะไรเองคนเดียวมันก็มีความสุขดี แต่ถ้าเราลองเจอคนใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ บางทีมันอาจจะเป็นความสุขอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้” เขาพูดเป็นนัยว่าจะไม่ยอมแพ้ แล้วยิ้มออกมาจนตาหยี หัวใจของนฤมลกระตุกวูบ รอยยิ้มและสายตาที่สดใสของเขา ทำให้เธอนึกถึงอดีตสามีคนแรกที่จากไป ใจเธอเต้นแรงกับเขาเหมือนกับตอนนั้นไม่มีผิด ‘ใจเต้นเหมือนกับรักแรก?’ “ปะ เป็นไปไม่ได้” เธอพึมพำออกเสียงด้วยความตกใจ “อะไรนะครับ?” เขาถามเธอเพราะได้ยินไม่ถนัด “เอ่อ เปล่าจ้ะ” “พี่น่าจะชื่อมลใช่ไหมครับ ตามป้ายที่ติดในคุกกี้” เขาถามเธอถึงคุกกี้คุณมลของเธอ” “จ้ะ เอ่อ ค่ะ” “พี่ไม่ต้องเป็นทางการกับผมก็ได้ครับ เรามาสนิทกันไว้เถอะ” เขาพูดพลางมองเธอด้วยสายตาที่ดูเหมือนกำลังจะสื่อความหมายออกมาอย่างชัดเจน “จะจีบเหรอ หยอดเก่งจัง” “ถ้าจีบจริงๆ พี่โอเคไหมล่ะครับ” เขาถามเสียงเบาในตอนท้าย “กลับไปได้แล้ว ออกมานานเดี๋ยวโดนหักเงินเดือนไม่รู้ด้วยนะ” เธอบอกเขาหลังจากที่ยืนคุยกันนานหลายนาที เขาอมยิ้มเมื่อรู้ว่าเธอนั้นกำลังบ่ายเบี่ยงเขา และยอมกลับไปแต่โดยดี เมื่อป้องกลับไปแล้ว เธอมองตามแผ่นหลังกว้างนั้น ยกมือขึ้นทาบหัวใจ รู้สึกสับสนว่าเธอควรหยุด ‘ดวงกินผัว’ เอาไว้เท่านี้ หรือว่าเธอควรจะลองเปิดโอกาสให้หัวใจได้เต้นแรงอีกครั้ง ********************** หนึ่งเดือนผ่านไป หลังจากทำบุญร้อยวันให้กับอดีตสามีแล้ว แม่ม่ายสาวที่ลังเลเรื่องของป้องที่ตามตื๊อจีบเธออยู่นานเธอทนต่อเสียงร่ำร้องของหัวใจตัวเองไม่ไหว ตอนแรกที่คิดว่าตัวเองจะเข้มแข็งพอ อยู่คนเดียวได้ แต่สุดท้ายแล้วเธอก็รู้ว่าตัวเองนั้นเหงามากแค่ไหนและต้องการใครสักคน แต่ระยะเวลาที่สามีพึ่งจากไปเพียงร้อยกว่าวันนั้น มันทำให้เธอคิดหนัก และเป็นกังวลกับขี้ปากของชาวบ้าน เพราะรู้กันดีว่าชอบนินทาลับหลังคนอื่นมากแค่ไหน แม้พี่ชายพี่สะใภ้ของเธอเองทุกวันนี้ก็ไม่อยากให้ไปเยี่ยมที่บ้านเพราะกลัวว่าจะไปหยิบยืมเงิน มีแต่มารดาของเธอนั้นที่แวะมาช่วยอบขนมในวันอาทิตย์ และยังพูดสนับสนุนให้เธอเปิดใจให้ลูกจ้างร้านกาแฟคนนี้ “มึงเชื่อแม่ ไอ้นั่นมันขยันขันแข็ง แล้วยังไม่ติดที่มึงเป็นแม่ม่ายอีก เทียวตามจีบทุกครั้งที่มา วันอาทิตย์ก็แอบมาส่งขนมให้ แบบนี้ไม่รักไหวเหรอ หล่อด้วย” ปราณีบอกลูกสาว “โธ่แม่ ป้องเขาเป็นน้องหนูตั้งหลายปี เขาคงหยอกเล่นไปอย่างนั้นแหละ” เธอปฏิเสธมารดาทั้งๆที่หัวใจเธอนั้นเต้นแรงกับเขาจะแย่ “นี่แม่มึงนะมล มึงชอบเขา แม่รู้ ถ้าชอบก็อย่าสนขี้ปากชาวบ้าน ลุยเลย” “แม่” “ไปซื้อกาแฟให้แม่สักแก้วสิ” ปราณีบอกลูกสาว “เดี๋ยวหนูชงให้” เธอบอกมารดา เขินเล็กน้อยหากจะต้องไปที่ร้านนั้น อีกอย่างปกติในวันอาทิตย์เวลานี้เขาต้องมาแล้ว “วันนี้งานคงยุ่ง ปกติจะมาก่อนเที่ยงไม่ใช่เหรอ” ปราณีถามลูกสาวเป็นนัยว่าป้องมักจะแวะมาส่งเครื่องดื่มให้เธอเป็นประจำ “ปกติอะไรของแม่ แม่เจอเขาแค่สามครั้งเอง” เธอขัดมารดา ที่เคยเจอเขาเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น แต่พูดอย่างกับเขาทำอย่างนี้มาเป็นปี หากแต่ในใจก็หวั่นอยู่เล็กน้อยว่าเขาจะถอดใจไปจากเธอ ใครเล่าอยากตามจีบหญิงม่ายที่มีข่าวลือว่าพอผัวตายก็หนี้ท่วมหัว แล้วต้องทำงานประจำไป อบขนมขายไปเพื่อใช้หนี้ ********************** เมื่อทนต่อคำรบเร้าของมารดาไม่ไหว ประกอบกับป้องไม่ได้มาตามนัด ในตอนนี้เธอจึงไปซื้อเครื่องดื่มที่ร้านของเขาแล้วมองหาเขาไปรอบๆร้านแต่ก็ไม่เห็น เมื่อได้รับเครื่องดื่มแล้วเธอจึงนั่งรอสักพักก่อนจะเห็นว่าเขาเดินออกมาจากหลังร้านหน้าตาดุเคร่งเครียด จึงตัดสินใจก้มหน้าลงเพราะไม่อยากรบกวนการทำงานของเขา พอเขาเดินเข้าไปที่หลังร้านอีกครั้งเธอจึงรีบลุกขึ้นเพื่อที่จะเดินกลับออกไป แต่ว่าเขาก็ออกมาแล้วเจอเธอเข้าพอดี ใบหน้าที่ดูเคร่งเครียดตอนนี้ก็คลายลงแล้วยิ้มให้เธอ “ลมอะไรพัดมาถึงนี่ครับ” “แม่ของพี่เขาอยากดื่มกาแฟน่ะ พี่จะชงให้ดื่มก็ไม่ยอม บอกจะดื่มร้านนี้ ไม่รู้ว่ามีใครไปติดสินบนแม่ไว้หรือเปล่า” เธอพูดสัพยอกออกตัวว่าไม่ได้ตั้งใจมาเอง ป้องอมยิ้มเล็กน้อยแล้วชวนเธอไปนั่งคุยด้วยกันก่อน “ไปนั่งคุยกันตรงนั้นดีกว่าครับ” “ไม่ดีกว่าจ้ะ ป้องไปทำงานเถอะ พี่ไม่อยากเป็นสาเหตุให้ป้องโดนหักเงินเดือน” เธอบอกเขาพลางยิ้มบางๆ “งั้นวันนี้ตอนเย็น ผมขอไปหาได้ไหมครับ บอกแม่พี่รอทานข้าวเย็นด้วยกันก่อน” เขาบอกเธอ “งั้นเพื่อตอบแทนค่ากาแฟที่ซื้อให้พี่บ่อยๆ พี่จะทำกับข้าวไว้รอแล้วกัน ทานได้ไม่ได้ ค่อยว่ากันอีกที” เธอบอกเขาเสียงเบา หน้าแดงที่เชื้อชวนเขาอย่างนั้น ก่อนจะกลับออกไปด้วยความเขินอาย “พี่ชัยคะ นั่นมันพี่มลที่ส่งคุกกี้ให้ร้านเราไม่ใช่เหรอ” “ใช่ แม่ม่ายที่เขาบอกว่าดวงกินผัวไง บ้านแม่แกอยู่แถวบ้านพี่เอง ผัวตายแล้วก็ขายบ้านหลังโตมาอยู่บ้านหลังเล็ก เห็นว่าหนี้ท่วมหัว เลยจะมาจับคุณป้องมั้ง พึ่งทำบุญร้อยวันผัวไปแท้ๆ” พนักงานสองคนซุบซิบกัน “ฉันว่าใช่นะพี่ คงหวังรวยทางลัด เจ้านายของเราก็ดูเหมือนจะชอบเขาด้วย” “ขืนแต่งงานกับแม่ม่ายดวงกินผัว เจ้านายเราไม่รอดแน่” ทั้งสองคนนินทานฤมลและป้องอย่างสนุกปาก โดยไม่รู้เลยว่าป้องที่อยู่ห้องเก็บของด้านหลังได้ยินทั้งหมด **********************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD