ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดศีรษะเป็นอย่างมาก ลืมตาขึ้นมาเห็นเพดานสีขาวสะอาดตา กลิ่นน้ำยาทำความสะอาดอย่างนี้ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาล
พยาบาลและหมอเดินกันวุ่นวายไปหมด ฉันเดาว่าฉันคงกำลังอยู่ในห้องฉุกเฉินแล้วนึกทบทวนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ความทรงจำสุดท้ายคือฉันกับคู่หมั้นเราทะเลาะกันแล้วฉันก็ขับรถออกมาคนเดียว
‘เราเกิดอุบัติเหตุเหรอ’ ฉันนึกในใจ มันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันพอจะเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
สักพักหมอก็เข้ามาดูฉัน ส่องไฟฉายที่ตาแล้วตรวจดูอาการเบื้องต้น ตอนนี้ภาพทุกอย่างพร่ามัวไปหมดคงเป็นเพราะแว่นตาของฉันตกอยู่ในที่เกิดเหตุ
“คนไข้รายนี้ปลอดภัยแล้ว ภายนอกไม่มีบาดแผลอะไร แต่อาจจะยังช็อกกับเหตุการณ์อยู่ ส่งตัวไปห้องพักฟื้นได้เลย” น้ำเสียงที่คุ้นเคยนี่มันนายแพทย์วศิณ พี่ชายข้างบ้านของฉันนี่นา
“แล้วอีกคนที่ถูกส่งตัวมาพร้อมกันล่ะคะหมอ” เสียงของนางพยาบาลถามขึ้น
“ให้พักอยู่ในห้องฉุกเฉินไปก่อน อาการโดยรวมไม่มีอะไรแล้วแต่ยังต้องเฝ้าระวังอยู่” ฉันได้ยินเสียงของเขาวิเคราะห์อาการของอีกคนหนึ่ง
ฉันขับรถมาคนเดียวแต่ถูกส่งมาพร้อมกันกับใครอีกคนหรือว่าเขาคือคู่กรณีของฉัน ภาวนาให้อย่าเป็นอะไรนะ
ฉันถูกพาตัวไปยังห้องพักฟื้น ในขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อของตัวเองดังขึ้นมา
“เพียงคุณเป็นยังไงบ้าง”
ฉันไม่ตอบ ในตอนนี้ฉันรู้สึกว่าตัวเองคงเป็นอย่างที่พี่หมอบอก ฉันกำลังช็อกกับอุบัติเหตุ รับรู้ว่าใครทำอะไร แต่ว่ามันพูดไม่ออกตอบไม่ถูก อีกอย่างฉันไม่อยากพูดหรือตอบอะไรเขาทั้งนั้น
สิ่งสุดท้ายที่ฉันจำได้ระหว่างเราคือการที่ฉันเห็นเขากำลังทำกิจกรรมสานสัมพันธ์กลับเลขานุการสุดสวยของเขาอยู่บนโซฟาในห้องทำงานส่วนตัวของเขา
ฉันหลับตาลงแล้วปล่อยให้บุรุษพยาบาลเข็นพาตัวไปยังห้องพักผู้ป่วย ซึ่งเดาว่าพ่อแม่ของฉันคงได้ทำการจองห้องพักพิเศษเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะถ้าคู่หมั้นของฉันรู้ข่าวพวกท่านก็คงรู้ข่าวเช่นกัน
เวลาผ่านไปนานพอสมควร ฉันตื่นขึ้นมาอีกทีก็ได้ยินเสียงของพ่อแม่ของฉันพูดถึงเรื่องงานแต่งงานระหว่างฉันกับอรรณพ
“เราคงต้องเลื่อนงานแต่งงานออกไปก่อน”
“ยายเพียงเป็นถึงขนาดนี้ก็เพราะอรรณพกับแม่เลขานั่น เราควรยกเลิกงานแต่งงานนะคะคุณ ไม่ใช่แค่เลื่อนออกไป”
“ผมรู้ แต่บางทีลูกอาจจะให้อภัยเขา คุณก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้มันเป็นธรรมดาของผู้ชาย” พ่อฉันเข้าข้างผู้ชายด้วยกัน
“คุณจะให้ลูกแต่งงานกับผู้ชายคนนั้นเหรอคะ เขานอกใจลูกเราคาตาขนาดนั้น ยายเพียงคงเสียใจมากถึงได้ทะเลาะกันอย่างหนักแล้วขับรถออกมาจนเกิดอุบัติเหตุอย่างนี้” แม่ของฉันขึ้นเสียงใส่จนพ่อเงียบ ในตอนนั้นฉันก็ยังคงแกล้งหลับต่อไป ยิ่งนึกถึงภาพที่อรรณพกับเลขานัวกันบนโซฟาในสภาพเปลือยครึ่งท่อนก็ยิ่งเจ็บแค้น
“แล้วคู่กรณีล่ะ” พ่อเปลี่ยนเรื่องคุย
“พยาบาลบอกว่าปลอดภัยแล้ว ทางนั้นแค่ตกใจเลยรถล้มเอง แต่ประกันของเราก็จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ ฉันก็จ่ายค่าทำขวัญไปแล้วไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
ฉันลืมตาขึ้นแล้วแกล้งขยับตัวให้พ่อกับแม่รู้ว่าฉันฟื้นขึ้นมาแล้ว แม่รีบลุกมาอยู่ข้างเตียงของฉันแล้วลูบศีรษะด้วยความห่วงใย
“เป็นยังไงบ้างลูก หมดทุกข์หมดโศกสักทีนะ”
“หิวน้ำ” ฉันพูดสั้นๆ แม่รินน้ำให้กับฉันดื่มทันที
“เพียงมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ลูกฝ่าไฟแดงแล้วหักหลบมอเตอร์ไซค์ชนเข้ากับฟุตบาท โชคดีแล้วที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ” พ่อเป็นคนเล่าให้ฟัง
“ไม่ต้องห่วงนะเพียง แม่ไม่ให้ลูกต้องแต่งงานกับผู้ชายหลายใจคนนั้นแน่”
“โธ่คุณ ผมบอกแล้วไงมันก็เป็นแค่เรื่องธรรมดาของผู้ชาย อรรณพทั้งรวยและหน้าตาดีมันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีผู้หญิงเข้าหา มองข้ามเรื่องนี้ไปเสียบ้างเถอะ” พ่อยังไม่เลิกล้มความคิดนี้ ทำให้แม่เริ่มหงุดหงิด
“คุณอย่าเอาคำพูดเห็นแก่ตัวของผู้ชายมาพูดแบบนี้นะ ฉันไม่มีวันให้ลูกของเราต้องอยู่อย่างทุกข์ทรมานใจ เพราะถูกสามีนอกใจแน่”
“แต่เขาบอกผมว่าถ้าแต่งงานเขาจะหยุดทุกอย่าง”
“จะให้ฉันเชื่ออย่างนั้นเหรอคะ ขนาดรู้ว่าจะแต่งงานก็ยังกล้าที่จะทำเรื่องแบบนี้”
“ปวดหัว” ฉันพูดขึ้นมาขัดการทะเลาะของทั้งคู่แล้วยกมือกุมศีรษะแสดงให้รู้ว่าฉันรับไม่ได้กับเรื่องที่พวกเขาทั้งคู่คุยกัน
ในตอนนั้นเองอรรณพก็เดินเข้ามาพร้อมกับดอกไม้ที่ฉันชอบนำมาเยี่ยมไข้
“เพียงฟื้นแล้วเหรอ ผมซื้อดอกไม้มาให้คุณด้วย เดี๋ยวผมเอาไปเสียบใส่แจกันให้นะ”
“กรี๊ด!! ออกไป ออกไป!” ฉันร้องขึ้นมา ทำเหมือนคนสติหลุดเมื่อเจอหน้าของอรรณพ ทำให้ทุกคนถึงกับตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“เพียง”
“ออกไป ไอ้สารเลว ออกไป!” ฉันแกล้งทำอย่างนั้นแล้วร้องไห้ออกมาราวกับว่าสะเทือนใจที่เห็นหน้าของเขา
“เห็นไหม ฉันบอกคุณแล้ว ลูกเราเจ็บปวดเพราะเขาขนาดนี้ ยังจะมีหน้าให้ลูกเราแต่งงานกับเขาอีก” แม่ฉันหันไปพูดกับพ่อแล้วไล่อรรณพออกไปจากห้อง
“ฉันขอประกาศถอนหมั้นแทนลูกสาวของฉัน ต่อไปนี้ห้ามมาเจอยายเพียงอีก ลูกฉันเป็นแบบนี้ก็เพราะความมักมากของเธอ” แม่หันไปด่าอรรณพด้วยความโกรธ ในขณะที่ฉันลอบยิ้มอย่างสะใจ
ก่อนหน้านี้ฉันรักเขามาก แต่พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ความรักที่มีก็แปลเปลี่ยนเป็นความแค้น
“กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพ่อช่วยพูดให้เอง” พ่อฉันยังไม่ละความพยายาม ไม่รู้จะเสียดายอะไรนักหนากับผู้ชายเฮงซวยคนนี้
อรรณพรีบออกไปในตอนนั้น ฉันจึงทำเหมือนว่าสงบลงไปก่อนแล้วร้องไห้กอดแม่ รู้ว่าแม่ต้องเข้าข้างฉันแน่ และฉันจะไม่มีวันแต่งงานกับอรรณพอย่างเด็ดขาด
“ไม่เป็นไรนะลูก แม่จะไม่ให้เขาเข้าใกล้ลูกอีกแล้ว”
“หนูเกลียดเขาค่ะแม่ ไม่อยากเจอ ไม่อยากได้ยินชื่อ ภาพที่เห็นมันน่าขยะแขยงมาก เขาทำมันในห้องทำงานกับผู้หญิงคนนั้น ทุกอย่างมันติดตาเพียง เพียงเกลียดที่สุด” ฉันพูดเสียงสั่นเครือ เหมือนคนเสียสติ เพื่อทำให้พ่อรู้ว่าฉันเกลียดเขามากแค่ไหน
“เพียง ให้อภัยเขาเถอะนะลูก อรรณพเขา...”
“กรี๊ด!!!!” ฉันกรีดร้องสุดเสียงเมื่อพ่อเอ่ยชื่อเขาออกมา
“เห็นไหม แค่พูดชื่อลูกเราก็เป็นแบบนี้แล้ว” แม่หันไปพูดกับพ่อเมื่อเห็นว่าฉันไม่อยากได้ยินชื่อนั้น
“เพียง แต่ว่าบ้านของเขารวย สามารถส่งเสริมธุรกิจของเราได้นะลูก ให้โอกาสเขาเถอะ” พ่อพยายามพูดหว่านล้อมฉัน
“ไม่ค่ะ ไม่มีวัน” ฉันพูดแล้วทำท่าหายใจไม่ออก เอามือทุบหน้าอกตัวเอง แล้วนอนลงบิดตัวราวกับคนที่เจ็บปวดหัวใจ รู้สึกบาปที่เล่นละครบีบคั้นหัวใจผู้เป็นพ่อแม่
แม่กดออดเรียกพยาบาลทันที ไม่นานนักพยาบาลก็เข้ามาถามว่าเกิดอะไรขึ้น พอพยาบาลเห็นฉันเป็นอย่างนั้นก็มีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก
“ฉันจะเรียกคุณหมอให้ขึ้นมาตรวจให้อย่างละเอียดอีกทีนะคะ” พยาบาลบอกแล้วออกไปข้างนอกห้อง ฉันรู้สึกหวั่นใจ
ถ้าหมอตรวจแล้วรู้ว่าฉันไม่ได้เป็นอะไรจะต้องแย่แน่ๆ ดังนั้นจะต้องเล่นละครให้แนบเนียน แล้วแกล้งเป็นลมไป
โชคดีคนที่เข้ามาคือพี่หมอวศิณ เขาใช้ไฟฉายส่องมาทีที่ตาของฉัน ที่พยายามทำเหมือนคนไม่ได้สติอยู่ “เดี๋ยวส่งตัวคนไข้ไปเข้าเครื่องทีซีสแกน ถ้าผลออกแล้วโทรแจ้งผมด้วย”
“น้องเป็นอะไรมากไหมวศิณ” แม่ถามด้วยความเป็นห่วง
“ผมยังให้คำตอบไม่ได้ครับจริงๆ เพียงไม่ได้หัวกระแทกหรือว่าอะไร แค่สลบไปเพราะตกใจกับอุบัติเหตุเท่านั้น แต่เพื่อความมั่นใจผมขอสแกนดูสมองของเพียงอีกทีนะครับ”
“น้องมีอาการเหมือนแพนิคด้วย” พ่อฉันบอกพี่หมอ
“เพียงอาจเจอเรื่องอะไรที่กระทบกระเทือนจิตใจมาครับ ให้ห่างจากเรื่องนั้นไปก่อน แล้วอาการจะดีขึ้นเอง” เขาพูดอย่างสุภาพก่อนที่จะเดินออกไป ทำให้ฉันโล่งอกเป็นอย่างมาก
“ผมยอมแล้วล่ะ ถอนหมั้นไปเลย เห็นแบบนี้ผมก็อดสงสารลูกไม่ได้” พ่อพูดขึ้นมาอย่างนั้นฉันก็โล่งใจ
จริงอยู่ว่าที่บ้านแม่เป็นใหญ่ แต่ถ้าพ่อดึงดันจะทำอะไรแม่ก็ต้องยอมเหมือนกัน
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจลูก” แม่ฉันพูดเสียงอ่อนลง
ฉันแกล้งนอนหลับอยู่อย่างนั้น รู้สึกผิดที่แสดงละครเบอร์ใหญ่แบบนี้ แต่จะทำยังไงได้ ฉันไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่มักมาก ทำเรื่องน่าอายกับเขาของตัวเองกลางวันแสกๆ แบบนั้นแน่
‘เพียงขอโทษนะคะ คุณพ่อคุณแม่ เพียงไม่อยากตกนรกทั้งเป็น ถ้าต้องแต่งงานกับเขา’ ฉันนึกขอโทษพวกท่านในใจ แล้วนอนหลับไปจริงๆ ในตอนนั้น
**********************
ฉันกลับมาพักผ่อนที่บ้านได้สามสัปดาห์แล้ว ในช่วงนี้แม่ก็ขยันเชิญพี่หมอมาที่บ้านบ่อยๆ จนฉันรู้สึกเกรงใจเขา แต่ดูเหมือนว่าพี่หมอเองนั้นดูเต็มใจเหลือเกิน และยิ่งรู้ว่าฉันถอนหมั้นไปแล้วเขาก็ดูเหมือนว่าจะดุมีความสุข จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าเขาชอบฉัน
“มีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ถนัด หรือว่าปวดหัวบ้างไหม”
“ไม่ค่ะ”
“จริงๆ แล้วเพียงดูไม่เหมือนคนเป็นโรคอะไรเลยนะ”
“ไม่ทราบสิคะ แต่ทุกครั้งที่ได้ยินชื่อของผู้ชายเลวๆ คนหนึ่ง เพียงก็เหมือนจะมีอาการขึ้นมาทันที” ฉันแกล้งทำเป็นพูดเสียงสั่น เมื่อพ่อกับแม่ก็นั่งฟังอยู่ใกล้ๆ
“เอาล่ะ พี่จะไม่พูดถึงสาเหตุที่เพียงเป็นว่ามาจากใครหรือเหตุการณ์อะไร แต่วิธีการรักษาคนที่มีภาวะเครียดแบบนี้พี่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีของพี่เองนะ” พี่หมอพูดกับฉันแล้วหันไปทางพ่อกับแม่
“คุณอาครับ น้องอาจจะอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ แล้วเพียงก็อาจจะระแวงว่าจะมีคนพูดให้ไม่สบายใจ ผมเลยอยากลองรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด”
“ยังไงล่ะวศิณ”
“ผมอยากพาน้องไปเที่ยวทะเลครับ”
“ดีๆ บ้านเราไม่ได้เที่ยวทะเลนานแล้ว ถือโอกาสนี้ออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง” พ่อของฉันเห็นด้วย
“เอ่อ ขอโทษนะครับคุณอาที่ผมต้องเรียนตามตรง แต่ว่าผมคิดว่าเพียงกังวลทุกครั้งที่อยู่ใกล้คุณอา ผมเลยอยากพาเพียงไปรักษาแค่สองต่อสอง หวังว่าคุณอาคงจะอนุญาต” พี่หมอพูดแบบนั้น ทำให้ฉันรู้สึกว่า ‘มันใช่เหรอ’ แต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อแสดงละครฉากใหญ่ไปแล้ว พี่หมอว่าไงก็ต้องว่าตาม
“นั่นไง ฉันว่าแล้ว คุณพูดเรื่องนั้นไม่หยุด บอกว่ายอมให้ถอนหมั้นแต่ก็แอบคุยกันเหมือนจะช่วยเหลือทางอ้อม” แม่พูดเข้าทางทฤษฎีของพี่หมอ
“นี่อาทำร้ายเพียงโดยที่อาไม่รู้ตัวเหรอหมอ” พ่อถามด้วยความรู้สึกผิด
“ไม่หรอกครับ คุณอาหวังดี แต่ผมคิดว่าเป็นเพราะจิตใจเพียงเองที่ไม่เข้มแข็งพอ ดังนั้นผมขอดึงเพียงออกไปจากตรงนี้ก่อน ให้สภาพจิตใจเพียงดีขึ้น คุณอาเห็นว่ายังไงครับ”
‘เจ้าเล่ห์นักนะพี่หมอ รู้แหละว่าเราแกล้งทำ เลยจะฉวยโอกาสนี้’ ฉันแอบคิดอย่างหมั่นไส้ ใครว่าหมออ่อนโยน พี่หมอคนนี้เจ้าเล่ห์กว่าที่ฉันคิด
“อาอนุญาต แต่ไปแค่สองคน ชายหญิงมันจะดูไม่เหมาะเอานะ” แม่ของฉันลังเลเล็กน้อย ห่วงลูกก็ห่วง ห่วงชื่อเสียงฉันก็ห่วง
“ถ้าอย่างนั้นผมจะให้แม่มาหมั้นหมายเพียงเอาไว้ก่อน กันคนครหานะครับ ถึงจะเป็นการรักษา แต่ชายหญิงไปค้างคืนสองต่อสองผมรู้ว่ามันคงไม่เหมาะแน่ แต่ผมอยากรักษาเพียงให้หายขาด”
“โธ่ วศิณ เป็นห่วงน้องถึงขั้นลงทุนทำขนาดนี้เลยเหรอ อาไม่รู้จะตอบแทนยังไงแล้ว”
“แต่อาว่าหมอลงทุนไปนะ” พ่อฉันพูดขัดขึ้นมา
‘ใช่ พี่หมอลงทุนไปมาก’ ฉันแน่ใจแล้วว่าพี่หมอชอบฉันแน่ๆ เจ้าเล่ห์นัก นึกว่าจะแค่อยากอยู่กับฉันสองต่อสอง ที่เขามาแผนสูงขอหมั้นกันง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ แล้วแม่ก็เหมือนจะเห็นดีเห็นงามเสียด้วยสิ
“ว่าไงล่ะเพียง อยากหายหรือเปล่า” แม่ถามฉันเป็นนัยว่าอยากหมั้นหรือเปล่า
“ค่ะ เพียงอยากหายจากโรคบ้าๆ นี้” ฉันตอบไปอย่างนั้น หมั้นกับพี่หมอก็ดีเหมือนกัน พ่อจะได้เลิกนัดแนะกับอรรณพให้มาง้อฉันโดยการฝากขนมหรือของฝากมาให้เสียที และพี่หมอเองก็ดูดี ฐานะของเขาก็ใกล้เคียงกับบ้านฉัน
จะว่าไปช่วงที่ฉันกำลังพยายามลืมอรรณพ ทั้งรักทั้งแค้นในสิ่งที่เขาทำกับฉัน ก็มีเขามาคอยดูแลทุกวันจนลืมคิดเรื่องอรรณพไปเลยด้วยซ้ำ มันคงเหมือนที่มีคนเคยบอกเอาไว้ คนเราจะลืมรักเก่าก็ต่อเมื่อมีคนใหม่เข้ามาในชีวิต
ฉันหันไปสบตาพี่หมอ เขาส่งยิ้มมาให้ฉัน แล้วหันไปยิ้มให้กับพ่อที่มองจับผิดเขาอยู่ในตอนนี้
**********************