ตอนที่ 3 ช่วยให้ยุ่งกว่าเดิม
“ฮ่า ๆ ดีนะกูไม่ไปบ้านมึง ไม่งั้นเด็กนั่นได้ฟาดกูเหมือนฟาดมึงแน่ ๆเจอคู่ปรับแล้วมึงไอ้สิงห์ มวยถูกคู่ด้วย แต่อนาคตไม่รู้จะมวยโค้กด้วยหรือเปล่า” เสียงหัวเราะดังมาจากปลายสาย ก็จะจากใครอีกล่ะ ถ้าไม่ใช่ไอ้บีมเพื่อนรักเพื่อนเวรของเขา
“ฝันไปเถอะ ไม่ได้เห็นขาอ่อนกูหรอก”
ความจริงเขาก็ไม่อยากจะเล่าให้มันฟังหรอกเรื่องที่ต้องเสียเชิงชายขนาดนั้น แต่หากไม่เล่ามันก็เซ้าซี้ไม่หยุด ก็นั่นไม่ใช่ว่าเพราะเขาไม่ได้รับสายมันหรอกหรือ ไอ้บีมนี่แม่งก็แปลกลองไม่รับสายมันดูดิ มันโทรจิกอยู่นั่นแหละเข้าใจได้แหละว่ามันเป็นห่วงแต่เมื่อคิดถึงไม้หน้าสามที่ฟาดมา ก็ยังอดโมโหไม่ได้ และแน่นอนว่าหัวเขาแตกไปแล้ว
“นี่ถ้าไม่ติดเป็นเด็กกับผู้หญิงนะ กูถีบหน้าให้ แม่งหัวกูแตกเลย แม่ใหญ่ก็เล่นใหญ่มากเว่อร์ พากูไปสแกนสมองเรียบร้อย หมดกันไอ้สิงห์สุดโหดหนุ่มหน้ามนคนน่าล่อ”
“ไม่เถียงน่าล่อจริง เด็กนั่นถึงได้ล่อมึงด้วยไม้หน้าสาม ฮ่า ๆ” มฤคินทร์เสยผมตัวเองแรง ๆ ยิ่งเห็นคนตัวเล็กที่เดินแบกกล้วยน้ำว้าหวีใหญ่ผ่านหน้า เขาก็ยิ่งก็โมโห อดจะหันไปถลึงตาใส่ไม่ได้
ยัยเด็กแก่นนั่นเหมือนจะรู้ว่าถูกเขม่นจึงรีบวิ่งหนี ทว่าวิ่งอีท่าไหนก็ไม่รู้ร่างอรชรถึงได้ล้มคะมำ กล้วยที่แบกกระเด็นไปไกล เขาหลุดหัวเราะออกมาเสียงดัง ยัยเด็กนั่นเห็นก็รีบคว้าเครือกล้วยที่หล่นกระจายไปเต็มพื้นโกย ๆ มาถือไว้
“ส้นตีนเหอะแค่นี้นะ อย่าลืมโทรบอกไอ้ขุนเขาด้วย ว่ากูปลอดภัยดี แล้วไม่ต้องเสือกไปเล่าเรื่องที่กูถูกตีหัวให้มันฟังล่ะ บอกแค่กูหลับแบตมือถือหมดก็พอ แค่นี้แหละไปทำงานก่อน” คนตัวโตรีบตัดสายบวรวิชญ์ทิ้ง ก้าวขาเดินไปยังคนตัวเล็กที่กำลังกระวีกระวาดเก็บของจนมือสั่น
“มือไม้อ่อนแรง ตอนตีหัวฉันไม่เห็นจะอ่อนแรงแบบนี้”
“อาสิงห์!!!...แฮ่ ๆ อาสิงห์ยังไม่หายโกรธหนูอีกเหรอคะ หนูไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ อีกอย่างอาก็ตีคืนแล้วด้วย นี่ตูดยังเจ็บอยู่เลยนะ” พูดพลางแอ่นสะโพกมน ๆ ให้ดู ต้นขาเรียวแดงเถือกเป็นรอยนิ้วมือ เห็นอย่างนั้นคนตัวโตก็พลันใจอ่อน แต่เดี๋ยวนะ มันใช่เรื่องที่มาแอ่นสะโพกให้ผู้ชายดูไหมล่ะยัยเด็กนี่
“ส่งมาเดี๋ยวอาช่วยจะเอาไปวางที่ไหน อีหวึ่ง[1]” ปรียาดาเบิกตาขึ้น กล้าดีอย่างไรมาเรียกเธอว่าอีหวึ่ง อยากจะหันไปด่าให้สักที แต่เมื่อหันไปมองศีรษะที่ยังมีผ้าก๊อซแปะเอาไว้ที่ท้ายทอย เธอก็พลันหุบปากลงแทนที่ด้วยความกลัวจะถูกฟาดอีกหน
“เอาไปวางที่ลานด้านหลังค่ะ”มฤคินทร์เดินตามเด็กสาวไปยังท้ายฟาร์ม เขามองหาที่แขวน แต่ปรียาดาก็ชี้ไปที่กะละมัง ให้เขาวางลงไปเลย คิ้วหนาขมวดขึ้น
“วางที่พื้นมันสกปรกทำไมไม่แขวนเอาไว้ดี ๆ ล่ะ แล้วเธอไม่แบ่งกลับไปกินที่บ้านเหรอ มากขนาดนี้ตากับยายฉันกินไม่หมดหรอก เอาไปสิเอาไปไว้กินแบ่งไอ้เด็กหมีนั่นด้วย”
“นี่เอาไว้ให้ไก่กินค่ะ อาสิงห์คงไม่คิดว่าจะให้ไก่กินแค่ข้าวเปลือกหรอกนะ”
“ฉันรู้น่า...ก็แค่เห็นว่ามันเยอะก็เลยบอกให้เธอแบ่งไปกิน สู่รู้จริง ๆ เอา!!!...ไม่กินก็จัดการเอาไปใส่คอกไก่ซะ” เขาโยนกล้วยทั้งเครือลงไปในกะละมัง จากนั้นก็รีบเดินหนีเข้าไปในบ้าน ครั้นเห็นว่ายายสไบนางกำลังนั่งตำหมากอยู่ ก็รีบเข้าไปช่วย
“ไอ้นายจะมาอยู่กับแม่ใหญ่นานไหมลูก” สไบนางยกมือขึ้นลูบหัวของหลานชาย แต่เมื่อเห็นผ้าขาว ๆ ที่แปะบนหัว คนแก่น้ำตาก็จะไหลออกมา
“นานครับตอนนี้สิงห์ต้องมาดูไซต์งานที่ในเมืองด้วยแต่ถึงไม่มีงานสิงห์ก็ตั้งใจมาอยู่ที่นี่ แม่ใหญ่ต้องกินยาตามหมอสั่งรู้ไหมจะได้หายไวไว อยู่กับสิงห์ไปนาน ๆ” มฤคินทร์เงยหน้าขึ้นยิ้มตาหยี มือตักหมากที่ตำละเอียดแล้วป้อนไปที่ปากของคุณยาย
ยายนางชอบกินหมากแต่ต้องเป็นหมากที่ตำจนละเอียดแล้วเท่านั้น เพราะฟันในปากไม่เหลือแล้วสักซี่ ครั้นเมื่อกวาดหมากในครกไม้อันเล็กหมดแล้ว ก็หยิบยาเส้นมาปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เหน็บเข้าไปที่แผงเหงือกจากนั้นก็เงยหน้ามายิ้มให้กับหลานชาย มุมปากเลอะไปด้วยน้ำหมากสีแดง
ชายหนุ่มก้มลงไปนอนหนุนตักของคนเป็นยาย ฟังเสียงหายใจครืดคราดก็ได้แต่ถอนหายใจ หากบอกว่าแม่เขาดื้อแล้ว คนเป็นยายดื้อมากยิ่งกว่า
ก็ดูเอาเถอะเดือนก่อน แม่รู้ว่ายายไม่สบายก็ลงมาเยี่ยม แต่ยายของเขาก็ไม่ใช่ย่อย ๆ ไม่รู้จะโกรธอะไรกันขนาดนั้น คิดดูกี่ปีมาแล้ว ยายก็ยังไม่ดีกับแม่เสียที
ก็เข้าใจว่ายายน่ะชอบลุงขามตอนนี้แกเป็นผู้ใหญ่บ้านที่นี่แล้วยายอยากให้แม่แต่งงานด้วย แต่แม่ก็ดันหนีตามพ่อที่เป็นคนเมืองกรุง หนุ่มกรุงเทพที่คงจะหล่อมากสำหรับคนต่างจังหวัดกระมังแม่ถึงได้ตกหลุมรักตั้งแต่สมัยที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพฯแต่เมื่อทั้งคู่หนีตามกันไปแล้ว พ่อก็ยกขันหมากมาขอนะ ทำทุกอย่างถูกต้องแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมยังโกรธกันไม่หายเสียที
ก็นั่นแหละวันที่แม่มา ยายก็ไล่ตะเพิดกลับไป เขาจึงลงมาแทน แต่เขาก็เต็มใจนะ ชอบบรรยากาศที่เต็มไปด้วยนาข้าว มันดูสดชื่นดี กรุงเทพฯไม่มีหรอกนะบรรยากาศแบบนี้
“จะไปกลัวอะไรกับเรื่องตาย ไอ้นายเอ๊ยจำไว้นะลูก เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสัจธรรมชีวิต เราหนีอะไรก็หนีได้ แต่หนีความตายไม่ได้หรอก”
“ไม่ฟัง ๆ สิงห์ไม่ฟังหรอกไม่รู้แม่ใหญ่พูดอะไรถ้าพูดแบบนี้จะหนีกลับกรุงเทพฯละเด้อ” ยายสไบนางยกมือลูบผมหลานที่นอนหนุนตัก ส่ายหน้ายิ้มอย่างอ่อนใจ
สองยายหลานต่างก็เปลี่ยนเรื่องคุยกัน คนเป็นหลานก็ถามเรื่องสุขภาพ คนเป็นยายก็ถามเรื่องความเป็นอยู่ของหลานรัก แล้วก็แอบ ๆ หลอกถามเรื่องของลูกสาวไม่รักดีด้วยเลย
แต่แล้วเสียงร้องเพลงแปลก ๆ ก็ดังขึ้นมา มฤคินทร์ผงกหัวขึ้นมอง ก็เห็นปรียาดากับไอ้หมีช่วยกันแบกกะละมังเดินเข้ามา เขาผุดลุกขึ้นนั่ง สายตามองคนทั้งสอง ครั้นเมื่อคนตัวเล็กหันมาสบตา เธอก็รีบวิ่งหนีหายไป เขาขมวดคิ้วมองตาม กระโดดลงจากแคร่ และเดินไปยังเล้าไก่
“ไอ้หมีมึงเอาอาหารพวกนี้ไปเทใส่แต่ละคอก อย่าลืมในสุ่มด้วยเด้อ”
“อ้าวแล้วพี่ปรีจะไปไหน” ปรียาดาเห็นร่างสูงใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ก็รีบเผ่นแน่บออกไป ปล่อยให้ไอ้หมียืนเกาหัวอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นอาสิงห์สุดหล่อเดินเข้ามาเด็กชายก็พอจะเข้าใจแล้ว ไม่คิดว่าคนหล่อ ๆ จะโหดขนาดนี้
“ไอ้หมีลูกพี่เราหายไปไหน แล้วนั่นจะทำอะไร”
“ให้อาหารไก่ครับ อาสิงห์อยากลองไหม” มฤคินทร์เปิดกรงไก่ ก้าวขายาว ๆ เข้าไปข้างใน มือยื่นไปหยิบถังอาหารที่มีทั้งอาหารและผักใบสับให้เข้ากัน เขาตักอาหารเหล่านั้นใส่ในรางแต่ละกรง
พวกนี้เป็นลูกไก่ที่เพิ่งฟักออกมาได้ไม่นาน จึงต้องเลี้ยงให้อาหารไปก่อน และเมื่อโตกว่านี้ก็ค่อยปล่อยให้มันออกนอกกรง
การเลี้ยงไก่แต่ละที่ แต่ละฟาร์มก็ไม่เหมือนกัน สูตรใครก็สูตรมัน แต่สูตรตาบุญเลิศรับรองเลี้ยงออกมาได้ยอดไก่ชนทั้งนั้น
“เฮ้ย!!!...อาสิงห์ทำไมไม่ปิดประตูเล่า โอ๊ยลูกไก่ออกหมดแล้ว” มฤคินทร์มองไอ้หมีทิ้งถังอาหารในมือลง และวิ่งออกไปต้อนไก่ให้เข้าเล้า
“ไม่ต้องรีบหรอกไอ้หมี ปล่อยให้ไก่มันออกไปวิ่งเล่นบ้างจะได้แข็งแรง”
“แต่นี่มันไก่น้อยเด่[2]อาสิงห์ จะถูกไก่หนุ่มตีเอา พี่ปรีลูกไก่หลุดแล้ว มาช่วยกันต้อนเร็วเข้า”สิ้นเสียงโหวกเหวกโวยวายของไอ้หมี ทั้งยัยเด็กแก่นนั่น และตาบุญเลิศต่างก็วิ่งวุ่นกันให้ขวักไขว่ พากันต้อนลูกไก่ที่เขาทำหลุดกรงออกมา
หนุ่มลูกครึ่งกรุงเทพฯชัยภูมิ ยืนเบิกตามองทั้งสามวิ่งสวนสนามกัน และเมื่อหันไปอีกทีก็เห็นไก่หนุ่มกำลังเหยียบลูกไก่ตัวเล็ก ๆ จริง ๆ ด้วย
จากที่ตั้งใจช่วย ก็กลายเป็นช่วยให้วุ่นวายมากกว่าเดิม ชายหนุ่มค่อย ๆ เดินแทรกตัวออกจากกรงใหญ่ และวิ่งเข้าไปในครัว ช่วยยายทำอาหารดีกว่า
************************
[1]อีหวึ่ง คำว่า อีหวึ่ง แปลว่า คำที่ใช้เรียกหญิงสาวที่ขี้เหร่ เช่น สาวหวึ่ง อีหวึ่ง หรือเรียกในกรณีเอ็นดู
[2]“เด่”ภาษาโคราช หมายความว่านะ, แหละ, นั่นแหละ, นี่แหละ, นั่นเอง ; ใช้