แสงไฟสีเหลืองนวลสลัวสาดส่องลงบนชั้นวางที่เต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้เก่าแก่หลากหลายชนิด ตั้งแต่เครื่องปั้นดินเผาโบราณ ไปจนถึงหนังสือพิมพ์ฉบับเก่าที่เหลืองซีด กลิ่นอายของอดีตคละคลุ้งไปทั่วร้าน เสียงกระดิ่งเล็กๆ เหนือประตูส่งเสียงใสเมื่อหนิงเหมยผลักประตูเข้ามา
"ขอโทษนะคะ มีธนบัตร 100 หยวนรุ่นเก่า ๆ ในยุค 80 ขายไหมคะ"
หนิงเหมยถามเจ้าของร้านพลางมองไปรอบ ๆ ร้านด้วยความตื่นเต้น ที่นี่มีจักรยานตราฟินิกซ์รุ่นในตำนานจอดขายอยู่ด้วย
"มีอยู่แล้ว ตามเข้ามาข้างในเร็วเข้า นี่ไง ธนบัตร 100 หยวนรุ่นเก่า สภาพดีมาก ไม่เคยผ่านการใช้งานเลยนะ"
ชายสูงวัยมีหนวดเคราสีขาวซึ่งเป็นเจ้าของร้านรีบเดินนำหน้าหนิงเหมยเข้าไปด้านใน เขาหยิบธนบัตรเก่าออกมาจากลิ้นชักโชว์ให้หนิงเหมยดู ใบธนบัตรสภาพสมบูรณ์ ดูใหม่เอี่ยมราวกับเพิ่งพิมพ์ออกมาจากโรงพิมพ์ทั้งแหนบ
"ราคาใบละเท่าไหร่คะ"
หนิงเหมยเอ่ยถามเพื่อจะได้ตัดสินใจอีกครั้งว่าเธอต้องการซื้อเท่าไหร่ เพราะเธอเองก็ไม่เคยรู้ราคาของธนบัตรเก่าพวกนี้ ถึงเธอจะมีเงินพร้อมจ่ายแต่ใช่ว่าจะยอมจ่ายโดยไม่คิดคำนวณ
"ใบละ 5,000 หยวนเท่านั้นแม่หนู ร้านของอาแปะขายถูกที่สุดแล้วนะในละแวกนี้"
เจ้าของร้านตอบราวกับเป็นเรื่องปกติ แต่ราคาที่สูงขนาดทำให้หนิงเหมยตกใจจนต้องเริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง
"หู้ว ราคาสูงเอาเรื่องเลยนะคะ"
"นี่มันธนบัตรที่ระลึกเลยนะ นาน ๆ จะมีสภาพดีขนาดนี้มาให้เห็น ถ้าลูกค้าประจำของอาแปะมาเห็นรับรองว่าต้องแย่งกันซื้อ"
"หนูขอตัดสินใจก่อนนะคะ"
"ได้ ๆ รีบตัดสินใจนะก่อนคนอื่นจะมาเอาไปหมด"
เจ้าของร้านอธิบายให้ฟัง แต่หนิงเหมยรู้สึกว่าราคาสูงเกินไป เธอจึงตัดสินใจไปยังร้านของเก่าอีกร้านหนึ่ง เมื่อเข้าไปในร้าน เธอถามหาธนบัตร 100 หยวนรุ่นเก่าเหมือนเดิม แต่คราวนี้เธอขอแบบที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว
"คุณน้าคะ มีธนบัตรยุค 80 ขายไหมคะ เอาแบบที่ผ่านการใช้งานมาแล้วก็ได้ค่ะ หนูอยากรู้ว่ามีราคาเท่าไหร่บ้าง"
"มีสิลูก เอาแบบไหน สภาพพอใช้หรือว่าจะเอาแบบยับๆ หน่อย ตามน้าเข้ามาข้างทางนี้เลย"
เจ้าของร้านสาววัน 40 กว่าเดินนำทางหนิงเหมยเข้าไปข้างในร้านอย่างกระตือรือร้น นางเห็นหนิงเหมยเดินออกจากร้านข้าง ๆ จึงตั้งใจจะเสนอราคาที่ถูกกว่าให้อีกฝ่าย
"เอาแบบพอใช้ค่ะคุณน้า ใบละเท่าไหร่บ้างเหรอคะ"
ถาดธนบัตรต่าง ๆ ในยุค 80 ถูกนำมาวางตรงหน้าอุตสาหกรรมงเหมยให้เธอได้เลือกดูตามความต้องการ แต่ละปึกมีสภาพการใช้งานที่ต่างกัน และมีราคาติดไว้อย่างชัดเจน
"ธนบัตร 100 หยวนใบละ 1,000 พอไหวไหมลูก เดี๋ยวน้าจะแถมคูปองที่เค้าใช้กันในยุคนั้นให้ไปเป็นของที่ระลึกด้วยถ้าหนูซื้อหลายใบ"
หนิงเหมยพยักหน้ารับ จากนั้นเจ้าของร้านก็หยิบคูปองอาหารและคูปองอุตสาหกรรมจำนวนหนึ่งมาเตรียมไว้ให้หนิงเหมยเป็นของแถม
"เอา 100 หยวน 20 ในค่ะ แล้วก็ 10 หยวน 5 ใบ 1 หยวน 10 ใบ"
"ได้จ้ะ อันนี้ 100 หยวน 20 ใบ 10 หยวน 5 ใบ 1 หยวน 10 ใบ ลองนับดูก่อนนะ ทั้งหมด 21,000 หยวนจ้ะ"
"หนูสแกนจ่ายนะคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ ลองตรวจสอบยอดเงินด้วยนะคะ"
"ขอบใจมากนะแม่หนู พวกนี้เป็นคูปองอาหาร คูปองอุตสาหกรรมและคูปองที่ใช้กันในยุคนั้น ป้ายกให้หนูหมดถุงนี้เลย"
หนิงเหมยรับคูปองมาด้วยความขอบคุณ เธอรู้ดีว่าคูปองพวกนี้ไม่มีค่าอะไรแล้วในยุคนี้ แต่ก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเจ้าของร้าน หากเธอนำข้ามกาลเวลาไปด้วยมันต้องเป็นประโยชน์กับเธอมากแน่ ๆ
"ขอบคุณมากค่ะคุณน้า"
ระหว่างเดินออกจากแหล่งรับซื้อของเก่า เธอมองเห็นจักรยานใยยุคนั้น เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าควรมีไว้สัก 2 คันเพื่อใช้ในการเดินทางไปไหนมาไหน แม้ว่าที่บ้านของเธอจะมีทั้งมอเตอร์ไซค์และรถยนต์ แต่เธอก็กลัวว่ามันจะแปลกตาชาวบ้านจนเป็นที่น่าสงสัยเกินไป
สุดท้ายเธอก็ได้จักรยานมา 2 คันและให้ทางร้านจัดส่งไปตามที่อยู่ของบ้านเธอ ขณะเดียวกันเธอก็ได้ฝากคนส่งของให้แวะซื้อน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลใส่ถังไปด้วยอย่างละ 20 ลิตร พร้อมกับให้สินน้ำใจคนส่งของไปอีก 200 หยวนแทนคำขอบคุณที่อีกฝ่ายยอมเป็นธุระให้
"จะเที่ยงวันแล้ว เงินในบัญชีเหลืออีกตั้งเยอะ จะซื้ออะไรดีล่ะ?"
หญิงสาวใช้เวลาคิดไม่นานเธอก็ขับรถมุ่งหน้าไปที่ร้านทอง ที่อยู่ระหว่างทางกลับบ้านเพื่อแปลงสภาพเงินที่เหลือให้กลายเป็นทองคำแท่ง จากการแปลงสภาพในราคาทองของวันนั้น หนิงเหมยได้ทองคำแท่งมาทั้งหมดเกือบ 150 บาท เธอตั้งใจจะเก็บไว้เป็นมรดกตกทอดให้ลูกหลาน
เธอกลับมาถึงบ้านเกือบบ่ายโมง ไม่นานก็มีรถส่งจักรยานตามมาติด ๆ จากนั้นก็เป็นรถจากห้างค้าส่งที่ขนของลงมากมายจนเพื่อนบ้านต้องออกมาถามด้วยความสงสัย เนื่องจากบ้านของหนิงเหมยเป็นร้านปักผ้ามีชื่อ แต่พอเกิดการสูญเสียเธอก็ไม่กะจิตกะใจจะทำอะไรอีก จึงเป็นที่แปลกตาในของเพื่อนบ้านในละแวกนี้ที่เห็นเธอออกมานอกบ้านและพูดคุยกับคนส่งของได้ตามปกติ
"หนิงเหมย จะสั่งของไปไหนมากมายเลย"
พี่สาวข้างบ้านที่สนิทกันเดินเข้ามาทักทาย ลู่หนิงเหมยจึงหันกลับไปตอบด้วยรอยยิ้ม ยิ่งของมาส่งครบแล้วยิ่งทำให้เธออารมณ์ดีเป็นพิเศษ เพราะมันหมายความว่าเธอกำลังจะได้พบกับลูกสาวและสามีเร็ว ๆ นี้
"ฉันจะเดินทางไกลจ้ะพี่หนานอิง"
"ไปทำบุญเหรอ?"
"จ้ะ"
การได้เห็นหนิงเหมยกลับมายิ้มได้อีกครั้งมันทำให้เพื่อนบ้านอย่างหนานอิงสบายใจขึ้นหลายเท่า ทั้งคู่เป็นเพื่อนบ้านกันตั้งแต่รุ่นตายาย จนตอนนี้ทุกคนในบ้านของหนิงเหมยเสียชีวิตไปหมดแล้ว คนในละแวกนี้จึงกลัวว่าเธอจะคิดสั้นทำร้ายตัวเอง
"เดินทางปลอดภัยนะหนิงเหมย พี่ดีใจที่เห็นเธอยิ้มได้อีกครั้ง"
"ขอบคุณมากจ้ะพี่หนานอิง ฉันดีใจนะที่มีเพื่อนบ้านดี ๆ แบบพี่ ยังไงพี่ก็ดูแลสุขภาพตัวเองกับคุณป้าดี ๆ นะจ๊ะ"
"พูดเหมือนเธอจะไปนานเลย"
"จ้ะพี่ เดี๋ยวฉันขอไปเซ็นชื่อรับของก่อนนะจ๊ะ"
หนานอิงมองตามน้องสาวข้างบ้านด้วยความเป็นห่วง เธอยิ้มได้ก็ดีแล้วแท้ ๆ แต่ทำไมต้องพูดอะไรที่ทำให้ต้องคิดไปไกลด้วยนะ ขณะเดียวกันหลังจากคนส่งของกลับไปหมด หนิงเหมยก็รีบเก็บของเข้ามิติจนเสร็จหมดทุกอย่าง จากนั้นเธอก็รีบวิ่งขึ้นบ้านเพื่อเตรียมตัวก่อนเดินทางในคืนนี้
กลางดึก
"ท่านผู้เฒ่าคะ หนูพร้อมสำหรับการเดินทางแล้วค่ะ"
หวิววว
อยู่ ๆ ก็มีลมพัดปะทะใบหน้าของหนิงเหมย ทั้งที่เธอปิดประตูห้องและหน้าต่างอย่างมิดชิด ตอนนี้มีเพียงเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่เปิดอยู่
"พร้อมแล้วก็นอนลงแล้วหลับตาเถิด หากเจ้าเลือกทางนี้แล้วเจ้าจะไม่สามารถกลับมาที่นี่ได้อีกแล้วหนา เจ้าไตร่ตรองดีหรือยัง?"
หนิงเหมยจำได้ดีว่าเป็นเสียของชายชราคนเดิมกับเมื่อคืน เธอจึงรีบตอบกลับโดยไม่ลังเล
"ขอเพียงที่นั่นมีหนิงอันกับพี่อี้เฉิน หนูก็พร้อมจะเผชิญกับทุกอย่างค่ะ"
"ดี! งั้นก็ได้เวลาที่เจ้าต้องไปแล้ว ก่อนที่ยัยหนูตัวน้อยจะหิวไปมากกว่านี้"
เพียงแค่หนิงเหมยนอนลงแล้วหลับตา ไม่นานสติของเธอก็เลือนหายไป เธอไม่อาจรู้ได้ว่าดวงวิญญาณของเธอจะไปที่นั่นได้ยังไง หลังจากนี้ไปคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม
หมู่บ้านเทียนเซี่ย ปี ค.ศ. 1980
อุแว้ อุแว้ อุแว้
เสียงของหนูน้อยหนิงอันร้องไห้จ้าละหวั่นเพราะความหิว โดยที่มีร่างที่ไร้วิญญาณของมารดานอนอยู่ข้าง ๆ เสียงเล็กเล็ดลอดไปจนถึงบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในเนื้อที่เดียวกัน จนทำให้หวงเยว่เผิงลูกสะใภ้ของนางหวงกุ้ยฮวาต้องตะโกนด่ามาแต่ไกล
"นังหนิงเหมย! หล่อนจะปล่อยให้ลูกของหล่อนร้องไห้รบกวนคนอื่นไปถึงไหน! หล่อนนอนจนตายไปแล้วรึยังไง ทำไมปล่อยให้นังเด็กบ้านั่นร้องไห้รบกวนลูกชายของฉันอยู่ได้!"
อุแว้ อุแว้
'นี่ฉันคงข้ามกาลเวลามาแล้วสินะ'
ดวงวิญญาณของหนิงเหมยเข้ามาอยู่ในร่างที่นอนอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว แต่ด้วยพิษไข้ที่เพิ่งคร่าชีวิตเจ้าของร่างนี้ไปจึงทำให้หนิงเหมยยังไม่สามารถลืมตาแล้วลุกขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย ขณะเดียวกันความทรงจำของร่างนี้ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหัวเธอ
"นังหนิงเหมย! หล่อนได้ยินที่ฉันเรียกไหม? ถ้าหล่อนยังไม่ตอบฉันจะขึ้นไปเอาขี้เถ้ายัดปากลูกของหล่อนให้ตายไปตอนนี้เลยคอยดู!"
"แค่ก ๆ ยะ..อย่านะ แค่ก ๆ"
หูของเธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้กระท่อมน้อยเข้ามาเรื่อย ๆ หนิงเหมยจึงรวบรวมแรงที่มีลุกขึ้นมาแล้วตอบกลับหวงเยว่เผิงไป
"ตื่นแล้วก็ดี หาอะไรอุดปากลูกของหล่อนไว้ซะก่อนที่ฉันจะให้แม่สามีไล่หล่อนออกไปอยู่ที่อื่น"
พูดจบหวงเยว่เผิงก็เดินสะบัดก้นกลับไปที่บ้านหลังใหญ่เพื่อดูแลลูกชายขอเธอ ซึ่งเด็กคนนั้นก็มีอายุไล่เลี่ยกันกับหนิงอัน ลูกสาวของหนิงเหมย
อุแว้ อุแว้
"โอ๋ไม่ร้องนะลูกนะ แม่ขอโทษที่ตื่นช้า แค่ก ๆ แม่เป็นไข้แบบนี้หนูคงต้องกินนมในสต๊อกไปก่อนนะเด็กดี"
ร่างที่สั่นเทิ้มไปด้วยพิษไข้รีบเดินไปล็อกประตูหน้าบ้านให้มิดชิด จากนั้นก็พาลูกสาวตัวน้อยหายเข้าไปในมิติทันที โชคดีที่เธอยังเก็บน้ำนมในสต๊อกของเธอเอาไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิความเย็น -18 องศาเซลเซียส จึงทำให้น้ำนมของเธอเก็บไว้ได้นานถึง 6 เดือน
สงสารยัยหนู คนใจร้ายมาหาเรื่อง โอ๋ ๆ นะลูก คุณยายพาแม่มาให้แล้ว