"โอ๊ยเหนื่อย ทำไมมันเหนื่อยแบบนี้นะ ทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด กลับมาบ้านยังต้องมาเห็นอะไรที่มันขวางหูขวางตาอีก เหอะ!"
นางหวงกุ้ยฮวาเดินนำหน้าทุกคนเข้าบ้านทางประตูใหญ่ ถึงโจวอี้เฉินจะแยกเดินเข้าทางประตูเล็กหน้ากระท่อมก็มิวายจะถูกเหน็บแนมอยู่ดี
"จะบ่นให้มันได้อะไร ก็เหนื่อยกันทุกคนนั่นแหละ เฮ้อ!"
เสียงของหวงจื่อรั่วผู้เป็นสามีพูดขึ้นอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่ใช่เพียงแค่เขาที่ระอากับความจู้จี้ขี้บ่นของนางหวงกุ้ยฮวา แต่ลูก ๆ ทั้งสอง หวงหลี่จิ้งกับหวงหลี่เวยเองก็ระอาไม่ต่างกัน แม้ทั้งคู่จะถูกปลูกฝังไม่ให้ชอบพี่ชายต่างพ่อ แต่โจวอี้เฉินก็ไม่เคยเข้ามาทำให้พวกเขาวุ่นวายใจ
จริงอยู่ที่หวงหลี่เวยผู้เป็นน้องเล็กจะชอบรับสินบนจากลู่หนิงเหมย ยุคนี้เป็นยังไงใครก็รู้ดี มีคนเอาของกินอร่อย ๆ ที่เป็นอาหารจานเนื้อมาให้ใครจะโง่ปฏิเสธ แม้กระทั่งหวงหลี่จิ้งเองก็ตาม เขาเป็นคนที่รูปร่างปานกลาง ผิวขาว โชคดีที่ได้รับการบำรุงจากมารดาบ่อย ๆ จึงดูมีเนื้อมีหนังกว่าทุกคน
แต่หากเทียบกับพี่ชายต่างพ่อ หากโจวอี้เฉินได้รับการบำรุงสักหน่อยหวงหลี่จิ้งก็เทียบไม่ติดกับความหล่อเหลาของอี้เฉินเลยสักนิด แต่ยุคนี้ใครเขาเลือกกันที่หน้าตา ทุกอย่างต้องตัดสินกันที่อาหารการกินและความเป็นอยู่ของบ้านนั้น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ไม่มีสาว ๆ คนไหนชายตามองโจวอี้เฉิน
"พ่อของหนูกลับมาแล้วเสี่ยวอัน แม่อุ้มหนูไปรับพ่อกันนะ"
หนิงเหมยได้ยินทุกอย่างที่แม่เลี้ยงของสามีพูด เธอจึงอยากให้กำลังใจสามีด้วยการพาลูกไปรอรับอี้เฉินที่หน้าประตู (ข้างในกระท่อม)
เสียงเปิดประตูหน้าบ้านดังขึ้นเบาๆ โจวอี้เฉินก้าวเข้ามาในบ้านด้วยความเหนื่อยล้าจากการทำงานมาทั้งวัน สายตากวาดมองไปรอบ ๆ บ้านก็ต้องชะงักงันไปชั่วขณะ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เขารู้สึกเหมือนหลุดเข้ามาในโลกอีกใบ
"กลับมาแล้วเหรอคะ"
"แอ้"
"เอ่อ..อื้อ กลับมาแล้ว"
ยิ่งได้เห็นภรรยาอุ้มลูกมายืนรอรับด้วยรอยยิ้ม มันยิ่งทำให้โจวอี้เฉินแปลกใจจนทำตัวไม่ถูก ทว่ากลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำให้อี้เฉินต้องหันไปสำรวจรอบ ๆ กระท่อมน้อยอีกครั้ง
กระท่อมน้อยดูสะอาดตาขึ้นมาก พื้นบ้านมันวาว ของทุกอย่างถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะอาหารมีกับข้าววางเรียงรายอย่างน่ากิน ไข่เจียวฟู ๆ ผัดผักสีเขียวสดใส สามชั้นตุ๋นผักดองชิ้นโตที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย และที่สำคัญคือข้าวของเครื่องใช้ของลูกน้อยที่เพิ่มขึ้นมาอีกมากมายวางเรียงรายอยู่ขนหัวที่นอน
โจวอี้เฉินขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เขาเดินเข้าไปใกล้โต๊ะอาหาร ก้มลงมองข้าวของเครื่องใช้เหล่านั้นพลางหันไปมองหนิงเหมยที่กำลังยืนยิ้มให้เขาอยู่ตรงมุมห้อง สายตาของทั้งคู่ประสานกันด้วยความบังเอิญกัน โจวอี้เฉินรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสงสัย
"หนิงเหมย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ของพวกนี้มาจากไหนกัน?"
"พี่อย่าเพิ่งสงสัย ฉันมีคำตอบให้พี่แน่ ๆ แต่ตอนนี้พี่รีบไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวก่อนได้ไหม ฉันยังต้องกินยาหลังอาหารอีก"
"กินยา น้องเป็นอะไรทำไมต้องกินยา?"
พอได้ยินคำว่าต้องกินยา โจวอี้เฉินก็รู้สึกปวดหน่วงในอกซ้าย นี่เขาดูแลเธอไม่ดีอย่างที่เธอเคยปรามาสเขาไว้จริง ๆ
"พี่ไม่ต้องกังวล ฉันแค่เป็นไข้ อุ้มเสี่ยวอันนาน ๆ ก็กลัวลูกจะติดไข้ไปด้วย"
"ได้ ๆ พี่จะรีบไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้เลย"
เมื่อได้เห็นคนเป็นสามีรีบวิ่งกุลีกุจอมันทำให้หนิงเหมยรู้อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ไม่ว่าจะเป็นกาลเวลาไหนโจวอี้เฉินก็ดีกับเธอไม่เคยเปลี่ยน
"สบู่ ยาสระผม ยาสีฟันแล้วก็แปรงสีฟันอยู่ในตะกร้าเล็กที่ฉันเอาออกไปไว้ข้างบ่อน้ำนะจ๊ะ พี่ใช้ได้เลย ส่วนเสื้อผ้าของพี่ฉันซักแล้วเก็บมาไว้ในบ้านหมดแล้ว"
คำพูดที่ดูใส่ใจของภรรยาทำให้โจวอี้เฉินตกใจราวกับถูกผีหลอกทั้งที่ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า กระนั้นเขาก็รีบทำตามที่หนิงเหมยบอกทุกอย่างโดยไม่รีรอ
10 นาทีต่อมา
"สะ..เสื้อผ้าพี่อยู่ตรงไหนเหรอหนิงเหมย"
โจวอี้เฉินเดินขึ้นมาบนกระท่อมน้อยทั้งที่ยังสวมแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียว สายตาของเขามองไปรอบกระท่อมน้อยก็ไม่เห็นว่าเสื้อผ้าของตัวเองถูกวางไว้ตรงไหน เหลือก็แต่หีบเสื้อผ้าของภรรยาที่เขาไม่กล้าแตะต้อง
"ในหีบจ้ะ เสื้อผ้าของเราเก็บอยู่ในหีบ พี่หยิบออกมาใส่ได้เลย ส่วนของเสี่ยวอันฉันแยกไว้บนเตียงนอนแล้ว เวลาจะใช้งานจะได้หยิบสะดวก"
'เสื้อผ้าของเราอยู่ในหีบ' คำนี้มันช่างทำให้โจวอี้เฉินรู้สึกอุ่นซ่านในใจอย่างแปลกประหลาด ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาจนลูกคลอด วันนี้เป็นวันแรกที่หนิงเหมยพูดกับเขาโดยไม่ใส่อารมณ์ ทั้งการกระทำและคำพูดของเธอยังทำให้อี้เฉินรู้สึกว่าคุ้มค่าแล้วที่รอมาเป็นปี ได้ยินแบบนี้แค่ 1 วันก็คุ้มค่าแล้ว
พอหยิบชุดของตัวเองออกมา โจวอี้เฉินก็รีบเดินออกไปแต่งตัวที่หลังบ้าน เขาทำตัวไม่ถูกที่ต้องสวมใส่เสื้อผ้าต่อหน้าภรรยา หนิงเหมยที่เห็นแบบนั้นก็อดขำสามีไม่ได้ เขายังเป็นเหมือนเดิม เหมือนกับตอนที่แต่งงานกันใหม่ ๆ ไม่มีผิด
"คราวหลังพี่ใส่เสื้อผ้าในบ้านก็ได้ ไม่เห็นต้องเดินออกไปใส่ข้างนอก มาเถอะจ้ะ กินข้าวได้แล้ว"
หนิงเหมยหาที่นอนเล็ก ๆ มาปูให้ลูกนอนเล่นอยู่ข้าง ๆ เธอ โต๊ะกับข้าวเล็ก ๆ มีรูปทรงคล้ายโต๊ะพับแบบนั่งพื้น จานสามชั้นตุ๋นผักดองถูกยื่นไปวางตรงหน้าของชายหนุ่ม อี้เฉินที่เห็นแบบนี้ก็หยิบจานหมูตุ๋นแล้วลุกจากโต๊ะเดินไปทางประตูกระท่อม
"พี่จะไปไหน?"
"กะ..ก็เอาสามชั้นไปให้หลี่จิ้งเหมือนที่น้องเคยให้ทำไง หรือว่า..พี่ทำอะไรผิดรึเปล่า?"
หนิงเหมยได้ยินแบบนั้นก็อยากจะปลุกตัวเองในชาตินี้ขึ้นมาด่าอีกหลายสิบครั้ง คิดได้ยังไงเวลามีอาหารดี ๆ เธอมักจะใช้ให้สามีเอาไปส่งให้คนที่เธอชอบ น่ารังเกียจสิ้นดี สตรีสิ้นคิด!
"ผิด! กลับมานั่งลงที่เดิม เร็วเข้า! เสี่ยวอันดูพ่อของลูกดื้อกับแม่อีกแล้ว จับมาตีก้นเลยดีไหม"
"แอะ แอ้"
"นั่นไง ลูกอนุญาตให้ฉันทำโทษพี่แล้วนะ"
"ขอโทษครับ"
การได้เห็นภรรยาใส่ใจและหยอกล้อเล่นกับลูกแบบนี้ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยาก แม้ครั้งนี้จะถูกลูกกับภรรยาดุแต่อี้เฉินกลับไม่รู้สึกเสียใจเลยสักนิด ซ้ำยังอบอุ่นในใจอย่างแปลกประหลาด
"อาหารพวกนี้ฉันทำไว้บำรุงพี่ กินให้เต็มที่เลยนะ รู้ไหมว่าพี่ผอมลงมาก เป็นแบบนี้จะหาเลี้ยงฉันกับลูกได้ยังไง ลองชิมหมูตุ๋นดูนะ ถ้าฉันทำไม่อร่อยพี่ต้องบอกมาตามตรง ครั้งหน้าฉันจะได้ปรับปรุงฝีมือ"
"อร่อย อร่อยที่สุด เสี่ยวอันก็อร่อยใช่ไหมลูก"
"แอ้"
อาหารมื้อนี้เป็นมื้อแรกที่โจวอี้เฉินพูดได้เต็มปากว่าเป็นมื้อที่อร่อยที่สุดในชีวิต การได้มองเห็นภรรยายิ้มให้ ส่วนลูกสาวก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากผู้เป็นแม่เป็นอย่างดี จะมีอะไรที่สุขล้นไปกว่านี้กันล่ะ
"ทำไมอาเหมยไม่กิน หรือเธอรังเกียจที่ร่วมโต๊ะกับพี่รึเปล่า งั้นพี่แยกออกไปกินข้างนอกก็ได้นะ"
"ไม่ใช่แบบนั้น พี่เลิกคิดจะหลีกหนีฉันได้แล้วพี่อี้เฉิน ฉันรู้ว่าแต่ก่อนฉันทำตัวไม่ดี แต่จากวันนี้ไปเรามาเริ่มต้นกันใหม่ได้ไหม? พี่เป็นสามีของฉัน ฉันเป็นภรรยาของพี่"
สีหน้าและแววตาของหนิงเหมยบ่งบอกชัดเจนว่าเธอไม่ได้โกหก อี้เฉินได้แต่คิดในใจว่า.. นี่คนบนฟ้าฟังคำขอของเขาแล้วอย่างนั้นเหรอ
"พี่แค่กลัวว่าจะทำให้เธอรำคาญใจ"
"ไม่มีทางเป็นแบบนั้น ฉันแค่เพลียเพราะพิษไข้แล้วก็ไม่ค่อยอยากอาหาร นี่เป็นข้าวต้มที่พี่ทำไว้ให้ ไม่กี่ชั่วโมงก่อนฉันก็กินไข่ที่พี่ต้มไว้ให้จนอิ่มแล้ว ขอบคุณพี่มากนะที่เสียสละเพื่อฉันกับลูก"
"ก็เราเป็นสามีภรรยากัน ขอโทษที่พี่พาเธอกับลูกมาตกระกำลำบากไปด้วย"
"แค่มีพี่กับลูก ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น"
ทั้งสองก้มหน้าก้มตากินข้าวและพูดคุยกันไปตามประสาพ่อแม่ลูก และแน่นอนว่าเสียงหัวเราะมันก็เล็ดลอดไปถึงบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งมันก็สร้างความรำคาญใจให้นางหวงกุ้ยฮวาเป็นอย่างมากที่ได้เห็นลูกเลี้ยงมีความสุข
กระทั่งจบมื้ออาหาร กับข้าวที่เหลือถูกเก็บไว้กินต่อในวันรุ่งขึ้น พอตะวันละขอบฟ้าโจวอี้เฉินก็รีบจุดตะเกียงเพื่อให้ภรรยาของเขาทำธุระส่วนตัวได้สะดวก หนิงเหมยยังเลือกที่จะอาบน้ำออกให้สบายตัวและกินยาลดไข้เพิ่มไปอีก 1 เม็ดก่อนจะเข้านอน
"นั่นพี่จะเอาหมอนไปไหน"
"พี่จะลงไปนอนข้างล่างเหมือนทุกวันไง อาเหมยบอกว่าเตียงมันแคบ"
"เฮ้อ ฉันเป็นไข้ขนาดนี้พี่ไม่เป็นห่วงฉันเลยรึไง ไหนจะลูกอีก ถ้าลูกติดไข้จะทำยังไง อึก ฮึก"
โจวอี้เฉินเริ่มทำตัวไม่ถูกเมื่อเห็นภรรยาร้องไห้เพราะการกระทำของตัวเอง ร่างหนาเริ่มขยับเข้าไปใกล้ ๆ ภรรยาพร้อมกับดูท่าทีของเธอไปด้วย เมื่อเห็นว่าเธอไม่ต่อต้าน เขาจึงดึงตัวเธอเข้ามากอดเพื่อปลอบใจ
"พี่ขอโทษ พี่ไม่ไปนอนข้างล่างแล้วดีไหม อาเหมยไข้ขึ้นน้องก็นอนพักเถอะ เดี๋ยวพี่จะเฝ้าลูกเอง"
"ฮึก พี่ก็ขึ้นมา ขึ้นมานอนตรงกลาง เห็นขวดนมนั้นไหม ถ้าลูกหิวกลางดึกให้ใช้น้ำอุ่นในขวดเก็บความร้อนเทลงไปให้ถึงเลข 4 จากนั้นเอานมในถุงที่ฉันเตรียมไว้เทลงไปในขวดให้หมด ปิดฝาแล้วเขย่า รอให้อุ่นสักหน่อยค่อยเอาให้ลูกกิน ส่วนผ้าอ้อมก็หยิบใช้ได้เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะซักเอง"
หนิงเหมยบอกวิธีชงนมให้ลูกน้อยอย่างละเอียด ก่อนที่เธอจะล้มตัวลงนอน แล้วให้สามีขึ้นมานอนตรงกลางระหว่างเธอกับลูก ส่วนหนูน้อยก็นอนหลับปุ๋ยอยู่ในที่นอนของตัวเองที่อยู่ติดผนังบ้าน
"พี่ขอถามได้ไหมว่าของพวกนี้ได้มาจากไหน ถ้าใช้เงินซื้อมันคงแพงมาก"
"แม่เอามาให้ค่ะ พี่ไม่ต้องห่วง เงินเก็บของฉันยังพอมี ถ้าพี่อยากได้อะไรเพิ่มก็เอาไปใช้ได้"
"อาเหมยเก็บไว้เถอะ แค่น้องดูแลลูกให้ดี พี่ก็ขอบคุณมากแล้ว"
หากคนอื่นมาเห็นคงมองว่าภรรยาของเขาเป็นหญิงเกียจคร้านที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่เขากลับไม่คิดแบบนั้น ซ้ำยังละอายใจที่ไม่สามารถดูแลลูกเมียให้ดีได้ จนแม่ภรรยาต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
หนิงเหมยเห็นสามีนอนเงียบเธอคิดว่าเขาต้องกำลังคิดมากอยู่แน่ ๆ ร่างบางจึงหันมาทางสามีแล้วสวมกอดเขาไว้ พร้อมกับดึงแขนอีกข้างของอี้เฉินมานอนหนุนอย่างเอาแต่ใจ แต่การกระทำนั้นกลับทำให้อี้เฉินใจเต้นรัวและโอนอ่อนตามความต้องการของเธอ
กลิ่นกายหอมอ่อนของคนในอ้อมกอด เตียงนอนนุ่มที่นอนแล้วสบายตัวต่างจากพื้นกระดานที่แข็งทื่ออย่างเช่นทุกวัน เครื่องนอนก็มีกลิ่นหอมสะอาดทำให้คนที่เหนื่อยล้าจากการทำงานรู้สึกผ่อนคลายและหลับไปอย่างง่ายดาย คืนนี้เป็นครั้งแรกที่อี้เฉินหลับไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม