วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 25XX
ร่างกายช่วงนี้เหมือนจะป่วย…
13.45 น.
ซวบ!
“Nice Kick อีกแล้วไอ้เก้า!”
พี่โอ๊ตตะโกนเสียงดังพลางหันมาแท็กมือกับฉันซึ่งเป็นตัวบุกนำแต้มให้ทีมได้เหมือนทุกครั้ง หลังจากลูกบอลลูกแรก ถูกเตะเข้าป้อมปราการหนาแน่นของผู้รักษาประตูเข้าไปได้สำเร็จ
“กีฬาสีมหาวิทยาลัยมึงลงฟุตซอลหญิงดิเก้า” แถมพี่โอ๊ตยังเอ่ยปากชวน
“ขี้เกียจ”
“ไมวะ คณะเราจะได้เหรียญแบบชาวบ้านบ้างไง”
“ขี้เกียจ” ฉันยืนยันคำเดิม ขณะเท้าเดินปลีกออกไปยังข้างสนามเพื่อนั่งพัก พี่โอ๊ตเองก็เหมือนไม่ยอมแพ้ ยังเดินตามหลังมาติดๆ ส่วนปากก็ถาม
“แล้วนี่ไอ้เทากับไอ้พีไปไหนอ่ะ ปกติเห็นอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ?”
“วานให้มันไปทำธุระให้ อีกสักพักก็คงมา” ฉันตอบห้วนๆ พลางทิ้งตัวลงบนม้านั่งสำหรับพัก มือเอื้อมคว้าขวดน้ำเปล่าเปิดฝาขึ้นยกกระดกดื่มแก้กระหายหลังจากเสียเหงื่อเป็นเวลานาน
และด้วยความร้อน ฉันก็เลยจัดการน้ำที่เหลือในขวดเทรดหัวตัวเองที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแก้ร้อน
“มึงนี่ไม่เหมือนผู้หญิงเลยไอ้เก้า ฮ่าๆ” เสียงแซวของพี่โอ๊ตดังขึ้นทันที เมื่อรอบๆ ตัวมีเสียงกรี๊ดกร๊าดของนักศึกษาหญิงดังขึ้น
ฉันไหวไหล่อย่างไม่สนใจ เพราะรู้สึกชินกับคำพูดดังกล่าวไปแล้ว
“สรุป กีฬาสีมหาวิทยาลัยจะไม่ลงฟุตซอลให้คณะจริงอ่อ?”
“ไม่อ่ะ”
“อ้าวไมวะ มึงก็ฝีเท้าดีนี่”
“แค่อยากเตะบอล ไม่ได้อยากลงแข่ง”
“วู้! เสียดายว่ะ ปีนี้คณะเราแม่งคงพลาดหลายเหรียญ” พี่โอ๊ตทำเสียงเสียดาย พลางทิ้งตัวลงนั่งคว้าขวดน้ำดื่มของตัวเองขึ้นกระดก
เอาจริงๆ ทุกวันนี้ที่เตะบอลหรือต่อยมวยไม่ใช่เพราะชอบ แต่เพราะคิดว่าการได้ออกแรงทำอะไรสักอย่าง มันจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ยิ่งช่วงนี้เริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองป่วยๆ ด้วยแล้ว ร่างกายก็ยิ่งต้องการที่จะเสียเหงื่อ
“โอ๊ย! พวกพี่แม่งเป็นห่าอะไรกันวะเนี่ย!”
เสียงโวยวายดังขัดขั้นเสียงกรี๊ดกร๊าดของพวกผู้หญิงริมขอบสนาม พานให้เสียงของพวกหล่อนเปลี่ยนเป็นเสียงซุบซิบฮือฮาทันที
“อะไรวะนั่นน่ะ?” พี่โอ๊ตกลอกตามองไปที่ต้นเสียง และถามขึ้นด้วยความสงสัย “นั่นมันไอ้พีกับไอ้เทาไม่ใช่เหรอ แล้วเด็กนั่นใครวะ?”
“กุ๊ก” ฉันตอบสั้นๆ ไม่ได้หันไปมอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าพวกมันสองคนต้องมา และรู้ด้วยว่าเสียโวยวายเมื่อครู่เป็นเสียงใคร
มาทันเวลาพอดี…
ฟึ่บ!
ตุบ!
ฉันเหลือบมองร่างสูงของใครอีกคนซึ่งถูกไอ้เทาเหวี่ยงลงตรงปลายเท้าพอดิบพอดี
“เหยดเข้เจ็บฉิบหายย… พวกพี่แม่งเล่นเชี่ยอะไรกันวะเนี่ย” ไอ้ลูกเจี๊ยบบ่นอุบ พลางใช้มือลูบสะโพกตัวเองซึ่งกระแทกพื้นตอนโดนเหวี่ยงไปมา พักเดียวมันเหมือนจะรู้ตัว ถึงได้ช้อนตามองไปรอบๆ ตัวด้วยความสงสัย และหยุดสายตาลงที่ฉัน
วินาทีนั้นทำให้ฉันสามารถมองโครงหน้าคมของเขาได้อย่างชัดเจน บาดแผลเมื่อวันก่อนที่กุ๊กถูกซ้อม ตอนนี้กลายเป็นรอยจางๆ แต่ยังไม่หายจนเกลี้ยงเกลานัก
“พวกพี่จะเอาอะไรจากผมเนี่ย” กุ๊กถามอย่างร้อนรนๆ เมื่อตัวเองเป็นฝ่ายถูกล้อม สายตาของเขาเลื่อนเพ่งไปที่ผู้ชายซึ่งมีลักษณะตัวอ้วนใหญ่กว่าพี่โอ๊ตทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
พี่โอ๊ตทำหน้างงทันทีเมื่อได้ยิน เขารีบเงยมองหน้าไอ้เทากับไอ้พีสลับไปมาด้วยความสงสัย ก่อนเอ่ยปากพูดแก้ต่างให้ตัวเอง
“มองห่าไรมึง กูไม่เกี่ยวนะเนี่ย?!”
“แผลเริ่มหายแล้วนี่” ฉันเอ่ยแทรกความสงสัยของพี่โอ๊ตเท้าแขนลงกับหัวเข่า โน้มหน้าเขาไปมองไอ้ลูกเจี๊ยบใกล้ๆ หลังจากมองสำรวจไปทั่วหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง
เหตุผลที่ไอ้เทากับพีหายหน้าหายตาไปตั้งแต่ช่วงเช้าก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ นับตั้งแต่วันที่ฉันขับรถไปส่งกุ๊กถึงหน้าบ้าน เราก็ไม่ได้เจอหน้ากันอีก รวมๆ แล้วก็สองวันเห็นจะได้ วันนี้เลยเกิดความอยากรู้ว่าสภาพของเขาเป็นยังไงบ้าง ก็เลยวานให้พีกับเทาไปตามหาตัวมาก็แค่นั้นเอง...
“ก็หายแล้วอ่าดิ” พอเปิดโอกาสเข้าหน่อย กุ๊กเริ่มรัวคำถามทันที “แล้วนี่พี่มีไรกับผมเนี่ย?”
“มีดิ” ฉันยิ้ม จนอีกฝ่ายแสดงสีหน้าหวาดระแวงและรีบพูดแทรกขึ้นทันที
“อะไรอีกวะพี่ เราเป็นพันธมิตรกันแล้วไม่ใช่อ่อ จะแกล้งกันอีกทำไม!”
“ก็ใช่ แต่เอ็งเป็นพันธมิตรในลักษณะของเบ๊ จำไม่ได้?”
กุ๊กทำหน้านิ่งเหมือนคิด มันรีบขยับตัวนั่งในท่าขัดสมาธิ ฉีกยิ้มกว้างเหมือนเด็ก แล้วตอบ
“เบ๊ไรวะพี่ ผมจำไม่ได้อ่ะ~”
ฉันพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเอ่ยปากสั่งออกไปทันที
“พี จูนสมองให้น้องมันหน่อยดิ”
“เฮ้ยๆๆ!!! เดี๋ยวดิ ผมล้อเล่นหรอกน่า!” ไอ้ลูกเจี๊ยบรีบพลิกลิ้นรับมือกับสถานการณ์ทันที จนไอ้พีจิ๊ปากด้วยความหมั่นไส้
สำหรับไอ้พีแล้วนอกจากฉัน ไอ้เทา และพวกเด็กในคณะเดียวกันแล้ว มันมักมองคนนอกที่ไม่สนิทเป็นศัตรูไปหมดนั่นแหละ
“จำได้ก็ดี งั้นเอ็งนับดิตอนนี้พวกข้ามีกันกี่คน” ฉันบอก
กุ๊กรีบชี้นิ้วนับจำนวนคนตามคำสั่งอย่างว่าง่ายแบบไม่ต้องรอให้ใช้กำลังข่มขู่
“1… 2… 3… 4… สี่คน”
“งั้นเอ็งวิ่งไปซื้อโค้กเย็นๆ 4 แก้วจากแคนทีนมาให้ทีดิ ร้อน”
“ห๊ะ!!?”
“โค้ก 4 แก้ว” ฉันย้ำเสียงดังฟังชัด
“ไหนตังอ่ะพี่” พอถูกถามมาแบบนั้น ฉันจึงเอื้อมมือข้างหนึ่งแตะที่กระเป๋ากางเกงอีกฝ่ายเบาๆ พร้อมด้วยรอยยิ้มเป็นมิตรและคำตอบ
“นี่ไง”
“พี่ นี่มันเรียกว่ารีดไถแล้วนะเว้ย!”
“อยากโดนรีดไถดีๆ หรือต้องเสียน้ำตาก่อน?” ฉันย้อน
“…” ไอ้ลูกเจี๊ยบเงียบไปเหมือนใช้ความคิด ฉันเลยพูดเตือนสติ
“โค้กสี่แก้ว ปฏิบัติ!”
“หูย พวกพี่แม่งโคตร…” เขาพึมพำอย่างเสียไม่ได้ ทว่า
เสียงของเขากลับต้องขาดหายไปในช่วงประโยคสุดท้าย เมื่อเทาพุ่งมือกระชากคอเสื้อด้านหลังของกุ๊กให้ลุกขึ้น พร้อมตะคอกเสียงถาม
“ทำไมวะ พวกกูมันทำไม!?”
“เปล่าครับพี่! โค้ก 4 แก้วกำลังจะปฏิบัติ!” กุ๊กรีบแย้งเทาเสียงลนลาน พลางสะบัดตัวจนหลุดออก เขารีบวิ่งออกจากสนามกีฬาไปที่แคนทีนรวดเร็วปานนักกีฬาวิ่งร้อยเมตร โดยมีเสียงของพีตะโกนดังไล่หลังข่มขู่ไปด้วย
“ให้เวลา 10 นาที มาไม่ทันพวกกูเอามึงตาย!” หลังจากกุ๊กวิ่งคล้อยหลังไปได้สักพัก ฉันก็หลุดหัวเราะออกมาเบาๆ พานให้พี่โอ๊ตซึ่งยังตกอยู่ในความงุนงงและสงสัย ถามขึ้น
“มึงขำไรวะเก้า?”
“ขำไปเรื่อย ฮ่าๆ” ยิ่งฉันหัวเราะออกมาดังมากเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งทำให้ผู้ชายคณะเดียวกันหันมองหน้ากันด้วยความสงสัยมากเท่านั้น ปกติแล้วฉันเป็นคนหัวเราะยาก ยิงมุขตลกมาร้อยครั้งฉันอาจจะหัวเราะแค่ครั้งหรือสองครั้งเท่านั้น
อ่าให้ตายสิ! ทำไมตอนนี้ฉันถึงหยุดขำไม่ได้ก็ไม่รู้…
“เด็กนั่นเป็นใครวะ?” พี่โอ๊ตซึ่งยังไม่คลายความสงสัย ยิงคำถามใส่ไม่หยุด
“เบ๊ไง” ส่วนฉันก็ตอบไปตามเรื่องราว ตามแบบที่เขาเห็น
พี่โอ๊ตไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้ารับรู้เท่านั้น คงเพราะเขาเองก็รู้ล่ะมั้งว่าครอบครัวของฉันเป็นยังไง ถึงได้ไม่ถามอะไรต่อ
“ป่ะๆ ไหนๆ ไอ้พีกับไอ้เทาก็มาแล้ว ลงสนามป่ะ” พี่โอ๊ตที่ไม่ติดใจเรื่องอะไรแล้วเอ่ยปากถามพลางลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินเข้าไปตบไหล่ไอ้เทาเป็นการเชิญชวน ซึ่งพวกมันก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร แถมยังรีบถอดเสื้อช็อปออก เตรียมลงสนามบอลอีกต่างหาก
“เก้าไม่ลงอ่อ?” ไอ้เทาถอดเสื้อโยนเสื้อลงม้านั่งและเอ่ยปากถาม
ส่วนฉันได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธเบาๆ จนไอ้พีที่ยืนอยู่ด้วยกันเลิกคิ้วสูงหันมองหน้ากับไอ้เทาอย่าง งงๆ แล้วเป็นฝ่ายถามคล้ายกับสงสัย
“ทำไมวะ?”
“เหนื่อย” ฉันตอบสั้นๆ
“อย่าสำออยเด่ ปะๆ ลงสนาม” มันยังคงตื้อไม่หยุด ดังนั้นฉันเลยพูดออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด
“ข้าเปล่าสำออย ข้าก็แค่... รอกินโค้กเท่านั้นเอง ”