เวลา 21.15 น.
ฉันบิดรถมาหยุดจอดอยู่ที่หน้าร้านเค้ก บริเวณหน้าร้านมีป้ายขนาดใหญ่กำกับชื่อไว้ว่า ‘Sucré Café’ ซึ่งตอนนี้ทั้งร้านปิดไฟจนมืด มีเพียงแสงไฟจากหน้าร้านและตามเสาไฟบนถนนเท่านั้นที่ยังเปิดและพอให้แสงสว่างอยู่บ้าง
ไม่มีวี่แววของบุคคลซึ่งน่าจะอยู่ด้านในให้เห็นเลยสักคน เพราะแบบนั้นฉันจึงตัดสินใจหักเลี้ยวรถ บิดย้อนลัดเลาะไปตามตรอกซอย ซึ่งน่าจะพาฉันไปโผล่ยังเส้นทางหลังร้านที่เคยเกิดเรื่อง
ความเร็วของรถชะลอลง เมื่อขับเข้ามาในซอยแคบ สายตากวาดมองหาใครสักคนที่น่าจะปรากฏตัวอยู่แถวๆ นั้นภายกระจกใต้หมวกกันน็อก
และตอนนั้นฉันก็ได้พบเขาจริงๆ
ปี๊บ! ปี๊บ!
ฉันจงใจบีบแตรรถเรียกและสาดไฟสูงใส่เขาที่กำลังเดินก้มหน้าก้มตาในซอยแคบๆ ท่ามกลางแสงสว่างอันน้อยนิด การกระทำดังกล่าว ทำให้เขาหันกลับมาตามอย่างที่คิดเอาไว้ ก่อนที่เขาจะตกใจเพราะคิดว่าฉันคือคนที่บุกเข้าทำร้ายเมื่อช่วงบ่าย ฉันจึงไม่รอช้ารีบขยับขาตั้งรถลง กวาดขาลงจากรถเพื่อพาตัวเองเดินเข้าไปใกล้เขาทันที
กุ๊กสะดุ้งเฮือก เมื่อฉันเดินเร็วเข้าประชิดตัว แถมยังเริ่มแสดงอาการทำตัวไม่ถูก แต่พอฉันเปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้น เขาก็กึ่งร้องกึ่งสบถออกมาเสียงดัง
“ห่า! ตกใจหมดเลย!”
“…”
“พี่มาทำไรแถวนี้อีกวะ?” นั่นคงเป็นคำทักทายแรกที่ไอ้ลูกเจี๊ยบเอ่ยปากทัก เมื่อเรามีโอกาสได้เผชิญหน้ากันอย่างตรงๆ
ฉันไม่ได้ตอบ แม้จะรู้ว่าเขาถามว่าอะไรแต่เลือกที่จะถามย้อนกลับไป
“บ้านอยู่ไหน?”
“แถวๆ นี้แหละ พี่มีไรอ่ะ… ซี๊ดด” ความพูดมากและท่าทางติดหาเรื่องของกุ๊กทำพิษ จนเขาต้องซี๊ดปากออกมาด้วยความเจ็บ ถึงแสงไฟที่ตรงนั้นจะน้อยนิด แต่ก็พอทำให้เห็นรอยช้ำแดงบริเวณมุมปากของเขาได้
ฟึ่บ!
ร่างกายตอบสนองความเจ็บปวดที่อีกฝ่ายแสดงออกมาด้วยการคว้าข้อมือแกร่งอีกฝ่ายไว้แน่น พร้อมทั้งออกแรงกึ่งดึงกึ่งลาก ให้เดินย้อนกลับไปที่รถมอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดทิ้งไว้ แน่นอนว่า กุ๊กยังคงแสดงการต่อต้าน
“เฮ้ย! จะทำไรวะพี่ ปล่อยดิ!”
“ลากไปปล้ำมั้ง” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น มันก็อดหยอกกลับไปไม่ได้ แต่เพราะไม่อยากให้ไก่ตื่นไปมากกว่านี้ ฉันจึงพูดเสริมไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความเป็นกังวล
“จะพาไปส่งบ้าน”
“ไม่ต้องเว้ยพี่ ผมเดินกลับเองได้!”
“ ตัดเรื่องเกย์ออกไปแล้วเชื่อใจข้าดิ... ” ปากน่ะพูดไปแบบนั้นก็จริง แต่สมองไม่ได้คิดตามเลยนิด เพราะสิ่งที่อยู่ในหัวมีแค่ความคิดที่จะลากตัวเขาไปให้ถึงรถก็เท่านั้น
“ ข้าก็แค่... อยากพาเอ็งไปส่งบ้านเท่านั้นเอง... ”
ดูเหมือนพอพูดด้วยน้ำเสียงและท่าทางจริงจัง ไร้การหยอกล้อแบบทุกที ผู้ชายที่เอาแต่แสดงทีท่ารังเกียจเหยียดเรื่องเพศ ก็หยุดต่อต้านลงอย่างง่ายดาย กุ๊กเลือกที่จะสะบัดมือออก และยอมเดินตามหลังมาเอง
ฉันรีบกวาดขาขึ้นรถ พลางกดกระจกหมวกกันน็อกลง รอให้ใครอีกคนที่พามากวาดขาขึ้นซ้อนท้าย แต่ดูเหมือนความลีลาของกุ๊กจะไม่เป็นรองใคร เอาแต่ยืนเก้ๆ กังๆ เหมือนลังเล จนต้องเอ่ยปากเร่ง
“รีบๆ ขึ้นมาดิ เดี๋ยวไอ้พวกนั้นโผล่มาอีก จะซวยเปล่าๆ” พอถูกขู่เข้าหน่อย ไอ้ท่าทีลังเลเมื่อกี้ก็หายไป
ไอ้ลูกเจี๊ยบรีบปีนขึ้นคร่อมซ้อนท้ายอย่างรีบร้อน ฉันกะจังหวะให้เขานั่งในท่าทีพอดี ก่อนตัดสินใจสตาร์ทรถ บิดคันเร่งหักเลี้ยวรถออกจากซอยแคบๆ ทันที
บรืนน บรืนนน
ตลอดเวลาที่บิดเร่งความเร็วไปบนถนน กุ๊กไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ ฉันเองก็เช่นกัน เขาพยายามเกร็งตัวเพื่อไม่ให้ร่างกายตัวเองถูกตัวฉันด้วยซ้ำ อาจเพราะเขายังไม่คล้ายความคิดเรื่องเกย์ออกไปจากหัวล่ะมั้ง สุดท้ายมันก็เลยเป็นฉันซะเองที่ต้องเปิดกระจกหมวกกันน็อกขึ้นเพื่อเริ่มเป็นฝ่ายชวนคุย
“เดี๋ยวขอแวะร้านหัวมุมถนนหน่อยนะ”
“ร้านอะไรวะพี่ ผมจะกลับบ้าน!” ไม่รู้ว่าหูเขาดีหรือหรือฉันพูดดังไป เสียงถึงได้ลอดผ่านหมวก จนอีกฝ่ายโวยวายลั่นออกมาแบบนี้
ถึงหมอนั่นปากบอกว่าอยากจะกลับบ้านก็เถอะ แต่กฎของการนั่งซ้อนรถคันนี้มันคือ คนขับเท่านั้นคือผู้กำหนด เพราะฉันไม่สนใจคำพูดของกุ๊กนักเลยชะลอรถจอดที่ร้านบนหัวมุมถนนตามอย่างที่ต้องการ ที่แห่งนี้มันไม่ใช่ร้านเหล้าหรือสถานที่แปลกๆ อย่างที่คิดหรอกนะ เพราะร้านที่ว่านี่มันคือร้านขายยาต่างหาก
“นั่งเฝ้ารถ ถ้าออกมาแล้วหายไป ข้าเอาเอ็งตาย” และเพื่อไม่ให้เขาหนีไปไหน คำขู่คือสิ่งเดียวที่ฉันจะงัดออกมาใช้ ขณะกวาดขาลงจากรถแล้วหันหลังเดินเข้าร้านยาไปในสภาพสวมหมวกกันน็อกแบบนั้น
“อ้าวน้องเก้า มาซื้ออะไรดึกๆ จ๊ะ?” ป้าร้านขายยาเอ่ยปากทักทันทีเมื่อฉันก้าวเข้าไปในร้าน ถามว่าสนิทไหมก็ไม่ขนาดนั้น เรียกว่าฉันกับพวกไอ้เทาคือขาประจำของร้ายขายยาแห่งนี้ถึงจะถูก
มีเรื่องปุ๊บเข้าร้านขายยาปั๊บ ง่ายๆ ได้ใจความใช่ป่ะล่ะ?
“มีพลาสเตอร์ขายไหมป้า?”
“นี่จ๊ะ แผ่นละบาท” พลาสเตอร์ลายลูกเจี๊ยบแสนน่ารักถูกยื่นส่งมาให้
“เอาสองอัน” ฉันว่าพลางล้วงมือควานหาเหรียญบาทในกระเป๋ากางเกงตัวเองยื่นส่งกลับไป
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการ ฉันก็รีบเดินย้อนกลับมาที่รถซึ่งจอดอยู่ ที่น่าประทับใจก็คือกุ๊กไม่ได้หนีไปไหน ไม่รู้ว่ากลัวคำขู่หรือว่าอะไร แต่ก็ดีแล้วที่ฉันยังเห็นเขานั่งอยู่บนเบาะหลังแบบนี้
“ชักช้าว่ะพี่ ซื้อไรวะเนี่ย” พอเดินมาถึงรถกุ๊กก็เริ่มบ่น
“ซื้อไอ้นี่” ว่าแล้วฉันก็ยื่นพลาสเตอร์ที่เพิ่งซื้อมาส่งไปให้ กุ๊กรับไปอย่างงงๆ เขามองพลาสเตอร์ในมือ ก่อนมองหน้าฉันด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยปากถาม
“ให้ผมทำไมวะ?” ด้วยความรำคาญที่จะตอบคำถาม ฉันจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร มือบรรจงแกะพลาสเตอร์อีกแผ่นในมือออกแสร้งเป็นไม่ได้ยิน และปล่อยให้เขาพล่ามไปเรื่อย
“พลาสเตอร์แบบนี้ ที่บ้านผมมีเยอะแล้วพี่ วันหลังไม่ต้องซื้อนะมันเปลืองเงิน… อะ”
ฟึ่บ!
เสียงของกุ๊กเงียบลงในช่วยท้ายประโยค เมื่อฉันโน้มหน้าเข้าไปใกล้พลางบรรจงแปะพลาสเตอร์ที่ซื้อมาข้างมุมปากให้เขาอย่างเบามือ ฉันไม่ได้มองสายตาของเขาหรอก ว่ากำลังมองกลับมาในลักษณะไหน ที่สนใจมีแค่รอยช้ำคล้ำเลือดตรงมุมปากของเขาก็เท่านั้น
และทันทีที่ลดมือลง ปากถึงได้ขยับตอบคำถามที่อีกฝ่ายถามทิ้งไว้ ขณะใช้มือหยิบพลาสเตอร์ที่เปื้อนไปด้วยรอยรองเท้าจากระเป๋าเสื้อช็อปขึ้นมาโชว์ต่อหน้าไปด้วย
“แลกกัน… กับไอ้นี่”
“…” ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย มีเพียงสายตาที่คล้ายกับหวาดระแวง แสดงออกถึงการเหยียดเพศเท่านั้นที่ปรากฏ นั่นจึงทำให้ฉันหลุดหัวเราะดังหึเบาๆ
“ข้าไม่ใช่เกย์ เลิกมองด้วยสายตาแบบนั้นสักทีเถอะ”
“ใครแม่งจะไปรู้ล่ะ พี่แม่งชอบจู่โจมนี่หว่า ผู้ชายดีๆ ที่ไหนเขาจับตูดผู้ชายด้วยกันบ้างวะ!” พอได้โอกาสหมอนี่ก็เริ่มบ่นกึ่งโวยวายออกมา
“แค่อยากแกล้ง”
“แกล้งอะไรแบบนั้นวะพี่ หัวใจผมจะวายตายห่า” มันแย้ง
“สรุปว่าเอ็งกลัวเสียความบริสุทธิ์ว่างั้นเถอะ” ฉันย้อนเสียงติดขำ และนั่นทำให้คนฟังชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ทันที
“ห่าพี่ ลองคิดดู ครั้งแรกที่ผมเจอพี่ พี่แม่งก็จูบผม วันต่อมาพี่แม่งก็วิ่งไล่ผมอีก พอมาวันนี้เสือกเรียกผมว่าเมียต่อหน้าลูกค้าในร้าน จะให้ผมคิดยังไงวะ?”
“เอ็งทึกทักไปเอง” ฉันว่า
“ทึกทักบ้าบออะไร พี่แม่งเล่นแสดงออกโจ่งแจ้งขนาดนั้น”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่รู้สึกว่าบรรยากาศการพูดคุยระหว่างเรามันดูดีขึ้น ฉันไม่ได้รู้สึกถึงแววตาเหยียดเพศแบบนั้นของกุ๊กอีกแล้ว
“ข้าขอโทษเอ็งแล้วกัน เออ… แล้วก็ขอบคุณด้วย” เมื่อทุกอย่างเหมือนจะดีขึ้น ฉันเลยใช้จังหวะนั้นในการพูดขอบคุณเรื่องพลาสเตอร์และการช่วยเหลือในคืนนั้นทันที แต่
“ขอบคุณไรวะพี่?”
“เรื่องคืนนั้นไง”
กุ๊กเงียบนิ่งไปครู่สั้นๆ ก่อนโวยวายออกมาอีกครั้ง
“พี่มึงเป็นเกย์ปะวะ ถามจริง!!!?”
“ไม่ใช่เรื่องจูบ เรื่องพลาสเตอร์นี่ต่างหาก” ฉันขัดเสียงเอือม
อ่าให้ตายสิ! หมอนี่มันน่าต่อยท้องให้สลบแล้วพาไปตบหลังร้านยาจริงๆ
“ผมแซวเล่นน่ะพี่ ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะของเขาที่ดังขึ้นคล้ายกับตลกอะไรนักหนา ทำฉันอึ้งไปเล็กน้อย ทำได้แค่มองเขาด้วยความแปลกใจ อยู่ข้างตัวรถแบบนั้น
ทั้งที่เวลาคุยกันหมอนี่ก็หัวเราะได้เหมือนคนปกติ… นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ได้เห็นเขาหัวเราะออกมาแบบนี้
“พี่เก้า” จู่ๆ เขาก็หยุดหัวเราะและเรียกชื่อฉัน น้ำเสียงฟังดูเป็นกันเอง ต่างจากที่ผ่านมา “ที่ผมพูดตอนอยู่หลังร้าน ขอโทษนะ ตอนนั้นผมแค่หงุดหงิดไปหน่อย”
“อืม…”
“ผมเองก็ขอบคุณพี่เหมือนกันที่วันนี้ช่วยผมไว้ จริงๆ แล้วถ้าพี่ไม่เกย์ ผมว่าพี่แม่งก็นิสัยดีนะ ใครได้พี่เป็นแฟนแม่งคงโชคดี…”
ตึก ตัก... ตึก ตัก...
“ช่างเถอะ” ฉันจงใจขัดแบบไม่ฟังพร้อมทั้งกวาดขาขึ้นประจำที่ของตัวเองอีกครั้ง จัดการปิดกระจกหมวกกันน็อกและก่อนที่จะเริ่มสตาร์ทเครื่องแล้วพาหมอนี่กลับไปส่งบ้านตามสัญญา ซึ่งฉันก็ไม่ลืมที่จะพูดออกไปอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้มองเอ็งเป็นคนแปลกหน้ามานานแล้ว”
“หมายความว่าไงวะพี่!” พอโดนแกล้งนิดแกล้งหน่อย หมอนี่ก็เริ่มโวยวายอีกแล้ว
“ที่ช่วยวันนี้ก็แค่ทำให้รู้ไว้ว่า ไม่ว่าใครหน้าไหนก็อย่ามายุ่งกับเบ๊ของข้า” ฉันก็เลยจำต้องพูดออกไปส่งๆ เพื่อเปลี่ยนเรื่อง
“เบ๊! เฮ้ย! ได้ไงวะพี่! เหวอออออออออ” ไอ้ลูกเจี๊ยบร้องลั่นเมื่อฉันจงใจบิดเร่งเครื่องยนต์กะทันหันแบบไม่ให้มันตั้งตัว
“ขับดีๆ ดิวะพี่ ผมแม่งเกือบตก!” เสียงบ่นของกุ๊กแว่วดังผ่านหมวกกันน็อกเข้ามา เขาอาจจะคิดว่าฉันจงใจแกล้งอยู่ก็ได้ แต่บอกเลยว่าครั้งนี้ฉันไม่ได้จงใจจะแกล้ง แต่ตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริงๆ
ไม่รู้เพราะสวมหมวกกันน็อกนานเกินไปหรือเปล่า ทำให้วินาทีฉันรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก หน้าอกข้างซ้ายปวดหนึบชนิดที่หาเหตุผลไม่ได้แถมยังเต้นแรงจนคล้ายกับเกินการควบคุม ในหัวมีแต่ความสงสัยถึงเรื่องที่เขายอมหวนกลับมาช่วยลอยวนเวียนไปมาไม่หยุด
ตึก ตัก... ตึก ตัก... ตึก ตัก... ตึก ตัก...
จนถึงตอนนี้หัวใจก็ยังเต้นแรงไม่หยุด อาการดังกล่าวเริ่มต้นเกิดขึ้นนับตั้งแต่ที่หมอนั่นพูดประโยคนั้นออกมา
‘จริงๆ แล้วถ้าพี่ไม่เกย์ผมว่าพี่แม่งก็นิสัยดีนะ ใครได้พี่เป็นแฟนนี่แม่งคงโชคดี…’
อ่า… เก้าเอ้ย! จะมาป่วยอะไรในรอบเกือบยี่สิบปีแบบนี้วะ