ตอนที่สาม การตกเป็นเชลยที่แสนยากลำบาก 3

1329 Words
แน่นอนว่าศิวากวาดตามองมาทางเธอแบบเกลียดเข้ากระดูก และตอนหันไปมองวิษุวัตก็มองด้วยสายตาที่แทบไม่เปลี่ยน ไม่ได้มีการทักทายด้วยรอยยิ้ม ท่าทางสองคนนี้จะไม่ชอบขี้หน้ากันนลินวิภาเดา "หอบกระเป๋าขึ้นมาทำไม" วิษุวัตถาม "เก็บของนายกับผู้หญิงคนนี้ลงไปอยู่ห้องฉัน ฉันบอกการ์ดแล้วว่าให้ตามลงไปเฝ้าที่ห้องฉันแทน" "ทำไมฉันต้องทำแบบนั้น" "อีฟกำลังจะดิสชาร์ตออกจากโรงพยาบาลแล้ว... ต้องกลับมาพักต่อที่เพนธ์เฮาส์ นายคงไม่อยากให้อีฟเห็นผู้หญิงคนนี้แล้วอาการแย่ลงหรอกนะ" "อันนั้นฉันเข้าใจ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมนายต้องมาพักที่นี่ ทำเป็นเสียสละห้องให้ ฉันคิดว่าฉันรู้ทันนายนะ" "อาคินขอให้ฉันทำ ถ้ามีปัญหาอะไรก็คุยกับอาคิน" "แต่..." "นายมีเวลาเก็บของหนึ่งชั่วโมง แล้วรีบลงไป น้องหยกหมอเจ้าของไข้ของอีฟเพิ่งบอกฉันว่าตรวจเสร็จแล้วกำลังจะให้กลับบ้าน" เขาบอกแล้วโยนกุญแจห้องกับคีย์การ์ดให้วิษุวัต มันคือการโยนใส่หน้าดีๆ นี่เองแต่วิษุวัตเอื้อมมือไปรับพร้อมกับสบถเป็นภาษาสากลอย่างหยาบคาย "ฟัค" แม้จะถูกด่าแต่ศิวากลับมีสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนจะยั่วโมโหด้วยซ้ำ ท่ามกลางสงครามที่นลินวิภาเองก็ไม่เข้าใจ แต่เธอเห็นไหล่วิษุวัตกระเพื่อมขึ้นลงบอกว่าเขาโกรธมาก หน้าก็ดุจนน่ากลัว เขาหันมาทางเธอแล้วก็บอกห้วนๆ "ไปเก็บของของเธอเตรียมย้ายห้อง" "อืม" หญิงสาวพยักหน้าแล้วเผ่นหนีจากสถานการณ์น่าอึดอัด แล้วเข้ามาเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทาง พักหนึ่งวิษุวัตก็ตามเข้ามาบรรยากาศในห้องนอนอึมครึมเพราะเขายังคงอารมณ์เสียอยู่ เขาเก็บเสื้อผ้าเข้ากระเป๋าบางส่วนรวมทั้งกระเป๋าอุปกรณ์ไอทีทั้งคอมพิวเตอร์ทั้งแท็บเล็ตถูกเก็บลวกๆ หญิงสาวไม่กล้าคุยกับเขา เก็บเสร็จแล้วก็เดินลากกระเป๋าตามเขาออกมา ศิวานั่งดูหนังที่วิษุวัตเปิดไว้อย่างสบายอกสบายใจ แถมยังร้องบอกตามมาให้ได้ยิน "ฉันนอนห้องนายนะ" มือของวิษุวัตกำที่จับกระเป๋าเดินทางแน่นขึ้น เเต่เขาก็ไม่พูดอะไร เดินนำเธอและการ์ดออกไปด้านนอกเพนธ์เฮาส์ แม้ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นแต่พอออกมานอกห้องชุดแล้วสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของนลินวิภาก็ทำงาน เธอกวาดตามองเพื่อหาทางเอาตัวรอด เห็นโถงทางเดินหรูหราก็พบว่าอาคารนี้เป็นที่พักอาศัยแบบไฮเอนด์แน่นอน ระหว่างที่สำรวจหาลิฟต์และบันไดหนีไฟระหว่างเดิน ต้นแขนของเธอก็ถูกคว้าหมับจนเธอสะดุ้ง "อย่าคิดหนี คุณหนีไม่พ้นหรอก" เขาพึมพำ นลินวิภาคิดว่าเพราะเขายังโกรธศิวาอยู่เสียงเตือนของเขาเลยดูน่ากลัวและเย็นชากับเธอมากเลยไม่ได้สนใจอะไร จนมาถึงประตูห้องหนึ่งที่หน้าประตูเป็นแผงกดรหัสแต่ว่าศิวาคงไม่ยอมบอกรหัสเลยให้คีย์การ์ดกับกุญแจมา พอเข้าไปในห้องได้ก็เห็นว่าเป็นห้องชุดเหมือนกันแต่มีจำนวนห้องน้อยกว่าและการตกแต่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้าเรียกเพนธ์เฮาส์ของอาคินว่าตกแต่งสไตล์ less is more แล้ว ห้องศิวาก็แทบจะเรียกได้ว่า nothing is more เพราะมันโล่งแทบจะไม่มีอะไร ราวกับว่าซื้อห้องเเพงเลยไม่มีเงินซื้อเฟอร์นิเจอร์ ของที่เยอะที่สุดน่าจะเป็นหนังสือนอกนั้นแล้วแทบจะว่างเปล่าจนนักออกแบบตกแต่งภายในอย่างเธอถอนใจ อยากจับอะไรมาใส่เพิ่มให้บ้านดูเป็นบ้านมากกว่าห้องโล่งที่ไร้ชีวิตชีวาอย่างนี้ "พี่คิมตามสบายเลยนะครับ" วิษุวัตหันไปบอกการ์ดที่มีหน้าที่เฝ้า เขาทำหน้าที่เดิมเพิ่มเติมคือเปลี่ยนที่มาเป็นโถงที่เพนธ์เฮาส์ของศิวาแทน ส่วนเขากับเธอลากกระเป๋าเดินต่อเข้ามาด้านใน "เราน่าจะแยกห้องกันนอนได้ นายอาคินไม่น่าจะรู้" "ไม่ได้ เขาอาจจะโผล่มาเช็กตอนที่เราไม่รู้ตัว" วิษุวัตบอก เขาเดินไปเปิดห้องดูแล้วเลือกห้องที่น่าจะเป็นห้องพักแขกที่มีเตียงควีนไซส์โดดเด่นอยู่เพียงอันเดียว เขาเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าแบบบิลด์อินที่เรียบกลมกลืนไปกับผนังแล้วเปิดออก "เก็บข้าวของของคุณได้เลย ผมออกไปใช้โทรศัพท์ก่อน จะทำอะไรก็ตามสบาย ห้ามหนีเท่านั้นพอ" เขาบอกแล้วเดินออกไป นลินวิภากวาดตามองห้องแสนเรียบแล้วยังปูผ้าและชุดเครื่องนอนด้วยสีขาวไปอีกเห็นเตียงเล็กๆ ก็กลุ้มอกกลุ้มใจ ตอนนอนที่ห้องของวิษุวัตเตียงเขาใหญ่มากอย่างกับสนามกีฬา เธอเลยรู้สึกว่าต่อให้นอนเตียงเดียวกันก็ยังมีช่องว่างระหว่างกัน แต่นี่ เตียงควีนไซส์กับคนตัวโตๆ อย่างเขา และผู้หญิงที่ไม่ได้ตัวเล็กเท่าเมี่ยงอย่างเธอ คงอึดอัดน่าดูชม เมื่อไหร่นายอาคินจอมเฮงซวยนั่นจะปล่อยเธอไปนะ เธอต้องอดทนไปนานแค่ไหนกัน เฮ้อ อาคินแทบหูดับกับสายวิษุวัตที่โทรมาโวยวายเรื่องการย้ายห้องจนเขาฟังแล้วก็หยุดการโวยวายทุกอย่างด้วยคำว่า "นายก็รู้ว่าที่ทำไปทุกอย่างก็เพื่ออีฟ..." "แต่ว่าเพื่อนพี่มันฉวยโอกาสนี่หว่า จะให้ผมยอมดีๆ ได้ยังไง" "เอาน่า อย่าเพิ่งโวยวาย นายเป็นคนเลือกจะทำอย่างนี้เองไม่ใช่เหรอ ฉันบอกแล้วว่าจะให้คนจัดการผู้หญิงคนนั้นเอง นายก็อาสาแทรกตัวเข้ามา คราวนี้จะอยากเปลี่ยนอะไร หรือว่าจะล้มเลิกที่กำลังทำอยู่" เขาเลยถามวิษุวัตกลับบ้าง หมอนั่นถึงได้เลิกโวยวาย แต่ก็รู้ว่าหัวเสียอยู่พอควร เขาเลยวางสายให้อีกฝ่ายไปสงบสติอารมณ์ วางสายไปจากวิษุวัตไปศิวาก็โทรเข้ามาหาอาคิน เขาเลยไม่ทักเพื่อนแต่รับสายด้วยคำถาม "ไอ้ซี นายไปยั่วโมโหโฮปมาเหรอ" "เออ... หมอนั่นโทรไปโวยวายกับนายล่ะสิ บอกมันด้วยว่าของแบบนี้ใครดีใครได้โว้ย ฉันจะโทรมาบอกว่าเคลียร์พื้นที่ได้แล้วกำลังจะไปรับอีฟกับพี่ก้อยกลับมาที่เพนธ์เฮาส์" "อืม... ฝากด้วยแล้วกัน ไว้พรุ่งนี้หุ้นส่วนฉันบินกลับมาแล้วจะมีวันหยุดแล้วจะกลับเข้าไปเพนธ์เฮาส์" ศิวาวางสายไปแล้ว อาคินมองโทรศัพท์ตัวเองแล้วก็ถอนหายใจเมื่อนึกถึงน้องสาว "อีฟนะอีฟ คนดีๆ มากมายทำไมไม่รัก ไปรักทำไมไอ้คนไม่ดีคนนั้น" คิดแล้วก็โมโห อยากลากคอมันมากระทืบให้สาแก่ใจ แต่ว่าทำยังไงก็ควานหาตัวมันไม่เจอเลย ให้ตาย... ติ๊งต่อง เสียงกริ่งหน้าห้องอาคินดัง เขาขมวดคิ้ว "ใครมาหาเวลานี้วะ เวลาคนกำลังนอนเนี่ย มาจังเลย" เขาพึมพำ เมื่อคืนนี้ก็เคลียร์อะไรต่อมิอะไรจนเหนื่อย พอจะนอนก็ยังถูกวิษุวัตโทรมาโวยวายจนต้องตื่นมาปลอบมาขู่ให้หยุด แล้ววันนี้ใครยังจะมาปลุกเขาถึงถิ่นอีก คนที่ยืนอยู่หน้าห้องที่มองเห็นผ่านกระจกตาแมวทำให้คิ้วของอาคินย่นเข้าหากัน “ยายกี้งั้นเหรอ” เขากดเปิดประตูให้เธอ ใบหน้าที่บูดบึ้งเพราะว่าถูกรบกวนการนอนครึ้มทะมึนขึ้นหลายเท่าเพราะคนที่ทำให้อารมณ์เสียจนนอนหลับไม่สนิทติดกันหลายวันยืนอยู่ตรงหน้า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD