ถ้าฉันบอกว่าไม่ ก็คือไม่

1793 Words
เสียง ติ๊ง จากโทรศัพท์ดังขึ้นในความเงียบของห้องทำงานกว้างขวาง โต๊ะไม้สักเรียบหรูเต็มไปด้วยเอกสารและแฟ้มข้อมูลที่ต้องจัดการ แต่สายตาคมของภาณุเบี่ยงไปมองหน้าจอที่สว่างขึ้น มือหนาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู อินสตาแกรม ของมิรินปรากฏขึ้น ภาพถ่ายล่าสุดทำให้เขาต้องชะงัก เธอยืนอยู่ในร้านอาหารหรู ท่ามกลางเพื่อนๆ ที่หัวเราะและสนุกสนาน ชุดผ้าซาตินสีครีมที่เธอสวมแหวกอกลึกจนเห็นเนินอกอวบอิ่ม ดึงดูดสายตาและเรียกความสนใจจากคนรอบข้างได้ทันที ผ้าซาตินเนียนลื่นราวกับไหลไปตามส่วนโค้งเว้าของร่างกายเธอ ท่าทางโพสต์ถ่ายรูปยิ่งเสริมให้ชุดนั้นดูยั่วยวนเกินพิกัด ภาณุจ้องภาพนั้นนิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นจนเป็นเส้นตรง ดวงตาคมวาววับ ความรู้สึกบางอย่างกำลังเดือดพล่านในใจเขา แต่ไม่มีใครสามารถอ่านมันออกได้ เขาวางโทรศัพท์ลงกับโต๊ะด้วยแรงที่มากกว่าปกติ ปัง! เสียงดังพอให้ตัวเขาเองต้องสูดลมหายใจลึก “ท่านทูตครับ” เสียงของเลขาดังขึ้นพร้อมกับการก้าวเข้ามาในห้อง ภาณุหันไปมองด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “อะไร?” “เอกสารที่จะต้องส่งให้ทางสถานทูตญี่ปุ่นครับ ผมวางไว้บนโต๊ะแล้ว” เขาพยักหน้าเล็กน้อย รับเอกสารมาวางลงกับโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปจัดการกับงานตรงหน้า แต่สมาธิกลับถูกภาพในโทรศัพท์เมื่อครู่ดึงไปจนหมด เสียงหัวเราะของเพื่อนๆ ในภาพ สีหน้าที่สดใสของเธอ ชุดที่ยั่วยวนเกินควร ทุกอย่างย้อนกลับมาในหัวซ้ำๆ เหมือนถูกเปิดเล่นซ้ำ เขาเค้นลมหายใจออกมาอย่างอดทน มือกำปากกาแน่นจนข้อนิ้วซีด “ผู้หญิงคนนี้คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?” เขาพึมพำเสียงเบา ความรู้สึกที่เอ่อล้นในใจเขาไม่ใช่แค่ความหงุดหงิด แต่เป็นความไม่พอใจที่แฝงไปด้วยความเป็นเจ้าของ เขาไม่อยากยอมรับ แต่การที่คนอื่นได้เห็นในสิ่งที่ควรเป็นของเขาเพียงคนเดียว ทำให้เขาแทบบ้า เขาพยายามผลักความคิดนั้นออกจากหัว แต่ลมหายใจที่เริ่มหนักขึ้นบอกชัดว่าเขาควบคุมตัวเองได้ยากขึ้นทุกที “มิริน...” ชื่อของเธอหลุดออกจากปากเขาโดยไม่รู้ตัว น้ำเสียงนั้นเย็นชาแต่กลับมีแรงกดดันแฝงอยู่ ในตอนนี้ สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่งานที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นคำตอบจากเธอว่าเหตุใดถึงเลือกทำอะไรที่ดูเหมือนไม่เคารพสถานะของเธอเลย ภาณุวางปากกาลงอย่างแรง ก่อนจะลุกขึ้นยืน มือคว้าโทรศัพท์อีกครั้ง เขาเปิดดูภาพนั้นซ้ำ ทบทวนในหัวว่าควรทำอะไรต่อไป “ท่านทูตจะไปไหนหรือครับ?” เลขาถามขึ้นด้วยความสงสัยเมื่อเห็นเขาหยิบสูทและก้าวออกจากห้องไป “ธุระส่วนตัว” เขาตอบสั้นๆ โดยไม่หันกลับมามอง ในขณะที่เขาเดินไปที่รถ หัวใจเขายังคงคุกรุ่น ราวกับไฟที่พร้อมจะลุกไหม้ ความรู้สึกที่เขาไม่อยากยอมรับกำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายใน และครั้งนี้เขาไม่คิดจะปล่อยมันไว้นาน เสียงเพลงเบาๆ ในร้านอาหารหรูทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลายและเต็มไปด้วยความสนุกสนานในกลุ่มคนที่กำลังดื่มด่ำกับค่ำคืนของพวกเขา แต่เสียงหัวใจของภาณุกลับเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เขาก้าวยาวๆ เข้าไปในร้าน ดวงตาคมกวาดมองหาคนที่เขาต้องการพบ และทันทีที่สายตาเขาหยุดอยู่ที่โต๊ะหนึ่ง เขาก็ต้องชะงัก มิรินอยู่ตรงนั้น ร่างบางในชุดผ้าซาตินสีครีมที่ยิ่งดูยั่วยวนกว่าในภาพ เธอหัวเราะเบาๆ ดวงตาเปล่งประกาย ขณะที่ยกแก้วแชมเปญขึ้นชนกับเพื่อนๆ ของเธอ เสียงหัวเราะและรอยยิ้มของเธอเหมือนเข็มที่แทงใจเขาอย่างไม่มีเหตุผล แต่สิ่งที่ทำให้เขาโมโหมากที่สุดคือคนที่นั่งอยู่ข้างเธอ ทศพล นักธุรกิจใหญ่ที่เขารู้จักดี ทั้งในแง่ธุรกิจและชื่อเสียงของเขาในฐานะผู้ชายที่มีเสน่ห์และไม่เคยขาดคู่ควง ทศพลยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มที่ดูชัดเจนว่ามีความตั้งใจแอบแฝง มิรินดูเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร เธอยังคงยิ้มและหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในสายตาของภาณุ มันเหมือนการท้าทายโดยตรง เขายืนอยู่ตรงนั้น มือหนากำโทรศัพท์แน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน “ยั่วเก่งจริงๆ...” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่คำพูดนั้นกลับหนักแน่นและเต็มไปด้วยความโมโห ทศพลยกแก้วขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับมิรินที่ทำให้เธอหัวเราะราวกับเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลก ภาณุรู้สึกเหมือนเลือดในกายเดือดพล่าน เขาก้าวเข้าไป “ขอโทษนะครับ” เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้นท่ามกลางวงสนทนา ทุกคนในโต๊ะหันมามองด้วยความประหลาดใจ รวมถึงมิรินที่ตาเบิกกว้างเมื่อเห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น “ภาณุ...” เธอพึมพำออกมาเบาๆ แต่ไม่ทันพูดอะไรต่อ เขาก็ยกมือแตะหลังเก้าอี้ของเธอ “ผมว่าดึกมากแล้ว” เขาหันไปมองเธอด้วยสายตาที่อ่านยาก แต่เต็มไปด้วยแรงกดดัน “เราควรกลับบ้านได้แล้ว มิริน” บรรยากาศรอบโต๊ะเปลี่ยนไปในทันที เพื่อนๆ ของเธอต่างมองหน้ากันอย่างอึดอัด ทศพลเองก็ลุกขึ้นยืน รอยยิ้มของเขายังไม่จางหาย “ท่านทูตครับ... มาเจอมิรินที่นี่ได้ยังไง? โลกกลมจริงๆ นะครับ” เขาพูดพร้อมยื่นมือออกมา แต่สายตาของภาณุไม่ได้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย “โลกกลมหรือคุณตั้งใจ” ภาณุตอบเรียบๆ แต่แฝงด้วยความเฉียบคม น้ำเสียงนั้นทำให้ทศพลชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มแก้เก้อ “ภาณุ ฉันยังไม่อยากกลับ...” มิรินพยายามพูดแทรก แต่เขาหันมามองเธอด้วยสายตาเยือกเย็นที่ทำให้เธอพูดต่อไม่ออก “ผมไม่ได้ถามว่าคุณอยากหรือไม่อยาก” เขาก้มลงกระซิบใกล้ๆ แต่เสียงนั้นชัดเจนพอให้คนที่อยู่ใกล้ได้ยิน “แต่คุณเป็นคนของผม และไม่มีสิทธิ์ทำอะไรที่ทำให้ผมขายหน้า” มิรินจ้องตาเขา ความโกรธและความอายปะทุขึ้นในใจ แต่ก่อนที่เธอจะได้โต้เถียงอะไร เขาก็คว้าข้อมือของเธออย่างมั่นคง “เราไปกันเถอะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ ก่อนจะพาเธอเดินออกจากร้านไป ทิ้งความเงียบงันไว้เบื้องหลัง เมื่อพ้นจากสายตาของคนอื่นๆ มิรินสะบัดข้อมือออกจากการจับของเขา น้ำตาแห่งความโกรธเอ่อขึ้นในดวงตา “คุณไม่มีสิทธิ์มาควบคุมชีวิตฉันแบบนี้!” เธอพูดเสียงดัง แต่เขากลับเพียงแค่ยิ้มเย็น “สิทธิ์? มิริน... คุณคิดผิดแล้ว” เขาก้มลงมองเธอ ดวงตาคมของเขาฉายแววที่ทั้งเยือกเย็นและทรงพลัง “ตราบใดที่คุณยังเป็นคนของผม ผมมีสิทธิ์ทุกอย่าง” มิรินกำมือแน่น น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาในที่สุด ขณะที่เขาหันหลังเดินนำไป ทิ้งเธอไว้กับความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในใจของตัวเอง ภาณุดันประตูรถให้เปิดออก ก่อนจะผลักร่างบางของมิรินเข้าไปในรถโดยไม่พูดอะไร เธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจ พยายามหันกลับมาประท้วง แต่ยังไม่ทันเอ่ยคำใด เขาก็ปิดประตูตามเข้ามา เสียงดัง ปัง ยิ่งตอกย้ำบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน “ภาณุ! คุณทำแบบนี้ทำไม!” เธอพูดเสียงสั่น ร่างบางพยายามขยับตัวถอยหนีไปจนติดกระจก เขาไม่ตอบคำถาม ดวงตาคมกริบที่เต็มไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านจับจ้องเธอไม่วาง ราวกับหมาป่าที่เพ่งเหยื่อที่ไม่มีทางหนี มือหนาคว้าข้อมือเธอไว้อย่างแรง “คุณคิดว่าผมจะปล่อยให้คุณทำอะไรตามใจชอบโดยไม่ต้องรับผลเหรอ?” น้ำเสียงเขาเยือกเย็น แต่คำพูดทุกคำกลับเต็มไปด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน ก่อนที่เธอจะได้โต้ตอบ เขาก็โน้มตัวเข้ามา ริมฝีปากร้อนผ่าวประทับลงบนริมฝีปากของเธอโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย มิรินสะดุ้งสุดตัว พยายามเบี่ยงหน้าหนี แต่มือหนาของเขายกขึ้นจับกรอบหน้าของเธอไว้แน่น “อื้อ!” เธอดิ้นรน ผลักหน้าอกเขา แต่ยิ่งดิ้นแรง ร่างสูงยิ่งบดเบียดเข้ามาแนบชิด ริมฝีปากของเขาบดเบียดเธออย่างหนักหน่วง ก่อนที่ลิ้นร้อนจะสอดแทรกเข้าไปในโพรงปากของเธออย่างไร้การขออนุญาต มิรินพยายามขืนตัว แต่ทุกการเคลื่อนไหวของเธอกลับยิ่งกลายเป็นโอกาสให้เขารุกล้ำเข้าไปลึกกว่าเดิม ลิ้นของเขาไล้ลิ้มชิมรสหวานในโพรงปากเธออย่างเอาแต่ใจ ความร้อนผ่าวจากสัมผัสทำให้เธอแทบหยุดหายใจ เขาดึงเธอเข้ามาแนบชิดมากขึ้น ราวกับจะกลืนกินเธอทั้งตัว มือที่จับข้อมือเธอปล่อยออก ก่อนจะเลื่อนไปโอบรัดร่างบางไว้แน่น ร่างกายของเขาทั้งใหญ่และแข็งแรงราวกับกำแพงที่เธอไม่สามารถหลบหนีได้ เมื่อเขาถอนจูบออกมาในที่สุด มิรินหอบหายใจหนัก แก้มทั้งสองแดงระเรื่อ ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา แต่เธอยังคงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ “คุณบ้าไปแล้วหรือไง!” เธอตะโกนใส่เขา เสียงเธอสั่นด้วยอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมา เขามองเธอด้วยดวงตาที่ไม่อาจอ่านได้ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและหนักแน่นจนเธอต้องสะอึก “จำไว้ มิริน” เขาโน้มตัวกระซิบใกล้ๆ ข้างหูของเธอ น้ำเสียงทั้งเย้ยหยันและดุดัน “คุณเป็นของผม และไม่มีใครมีสิทธิ์แตะต้องคุณ... แม้กระทั่งตัวคุณเอง” คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่เฉือนเข้าไปในใจเธอ น้ำตาที่กลั้นไว้ไหลออกมาอย่างอดไม่อยู่ ขณะที่เขานั่งเอนหลังลง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น รถเคลื่อนตัวออกไปในความเงียบ มีเพียงเสียงหอบหายใจของมิรินที่สะท้อนอยู่ในความอึดอัดระหว่างพวกเขา สงครามระหว่างหัวใจที่อ่อนแอและแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้... เพิ่งเริ่มต้น.
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD