บทที่ 7 หัวใจของเจ้าเต้นแรงเพราะข้า?

1369 Words
ดึกสงัด ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงอ่อนนวลบนท้องนภา กระแสลมยามค่ำคืนบวกกับเสียงเกลียวคลื่นจากท้องทะเลดังต่อเนื่องประหนึ่งเสียงขับกล่อม แต่สำหรับหร่วนอิ๋งซุย อาจเพราะนางเป็นคนต่างถิ่น การได้ยินเสียงเล็กน้อยก็ทำให้มิอาจข่มตาหลับสนิทได้ และเชื่อว่าซุ่นเหยากวานเองก็ยังปรับตัวได้ยากพอๆ กับนาง ไม่ต้องพูดถึงเสียงการเคลื่อนไหวตะกุกตะกักภายในห้องของนางนะ มันทำให้อิ๋งซุยตื่นเต็มตาและลุกขึ้นนั่ง สอดส่ายสายตามองไปทั่วความมืดสลัวเพื่อหาต้นตอของเสียง พร้อมกันนั้น นางล้วงมือเข้าใต้หมอนเพื่อหยิบมีดสั้น หัวใจเต้นกระหน่ำด้วยความหวาดกลัว สวรรค์ช่วยข้าด้วย! ถึงนางจะพยายามทำตัวเข้มแข็งให้สมกับเป็นผู้ใหญ่ แต่เรื่องผีสางกับโจรปล้นสวาทก็ทำให้หวาดกลัวจนแทบขาดสติได้เหมือนกันนะ จังหวะที่มือของเด็กสาวเพิ่งแตะถูกด้ามมีด นางก็ต้องชะงักค้างเพราะพลันเห็นเงาดำทะมึนทาบลงมา เงาร่างนั้นสูงใหญ่เกินกว่ามนุษย์ บริเวณที่คาดว่าเป็นศีรษะคล้ายกับมี ‘เขา’ ทั้งสองข้างขมับ ตำแหน่งที่เป็นเหมือนส่วนของดวงตาสะท้อนด้วยสีแดง หร่วนอิ๋งซุยอ้าปากค้าง หัวใจเต้นอย่างบ้าคลั่ง นางลืมสิ้นถึงความเย่อหยิ่งของตน กระถดตัวถอยหลังไปติดขอบเตียง ตัวสั่นเทิ้ม “พะ...พี่เหยากวาน...พี่เหยากวานช่วยด้วย!” แต่แล้วเสียงที่เปล่งออกมาตอบรับนางหาใช่ซุ่นเหยากวานไม่ หากเป็นเสียงที่ทำให้นางยิ่งแปลกใจกว่าเดิม “เจ้า...เจ้าหวาดกลัวข้า?” เป็นเสียงที่แหบและเศร้าสร้อย หือ? คุ้น...คุ้นจัง พอคิดว่าเป็นเสียงที่คุ้น สติที่แตกกระเจิงของหร่วนอิ๋งซุยก็คืนกลับมา นางหยุดตัวสั่น รวบรวมความกล้ามองไปทางเงาร่างนั้นอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ เงานั้นไม่ได้สูงใหญ่ หรือมีเขางอก หรือแม้ดวงตาก็ไม่ได้แดงก่ำ สงสัยนางจะกินมากฝันมาก แต่ว่า...ทำไมล่ะ!? หร่วนอิ๋งซุยเพิ่งจะคิดว่าทำไม เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง “...หัวใจของเจ้าเต้นแรงเพราะข้าอย่างนั้นหรือ” เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ จากความกลัวเปลี่ยนเป็นความเขินอายเสียอย่างนั้น “ทะ...ท่านเสวี่ย?” เมื่อเอ่ยออกไป นางก็เห็นร่างของเสวี่ยเข้ามาอยู่ในแนวสายตา คราวนี้ไม่ใช่เงาสีดำ แต่เป็นร่างกายของเขา และชายหนุ่มยังสวมใส่เสื้อผ้ามอซอ เส้นผมปอยหน้าก็ยังเป็นสีขาว เป็นเขาไม่ผิดแน่ ไม่รู้ทำไมพอเห็นเขา หร่วนอิ๋งซุยถอนหายใจโล่งอกทันที คืนนี้ จันทราเต็มดวง บวกกับนางได้ยินเสียงกุกกักจึงตื่นขึ้นมากะทันหัน ดังนั้น การมองเห็นภาพหลอนไปบ้างไม่นับว่าแปลกอันใด...ละมั้ง กระนั้น หร่วนอิ๋งซุยก็อาศัยแสงอ่อนนวลของพระจันทร์ที่ถักทอส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เพ่งมองคนตรงหน้าให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าเป็นเขา “ว่าแต่ท่านเข้ามาในที่นี้ได้อย่างไร” พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หร่วนอิ๋งซุยก็ยืดหลังตรงแน่ว เชิดหน้าถามตามสัญชาตญาณของนาง ได้ยินคำถาม เสวี่ยก็มีสีหน้าครุ่นคิด แต่หลังจากเขาคลายสีหน้าครุ่นคิดลงก็ขยับเข้ามาใกล้นางมากยิ่งขึ้น หร่วนอิ๋งซุยเห็นว่าเขากำลังเข้ามาใกล้ หนำซ้ำยังขยับเข้ามาใกล้เตียงนอน หัวใจของนางที่สงบลงแล้วกลับมาเต้นแรงกว่าเดิม ทว่าคราวนี้ การเต้นของหัวใจผิดไปจากอาการหวาดกลัวเหมือนตอนแรก “หยุดอยู่ตรงนั้นนะ ท่านมีธุระอะไรก็พูดมาเร็วเข้า!” นางรีบเอ่ยก่อนที่เขาจะเข้ามาใกล้ “เสียงหัวใจของเจ้าตอนนี้ไม่ใช่จังหวะการเต้นที่แสดงออกว่าหวาดกลัว...ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงจริงๆ” เสวี่ยไม่ได้ตอบคำถามของนางทันที แต่พูดเรื่องของเขาด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสัย “ท่านพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจ” นางว่า “แล้วท่านเข้ามาในห้องข้าเพียงเพราะสงสัยเรื่องแค่นี้หรือ...ไร้สาระจัง” ท้ายประโยค อิ๋งซุยพูดเสียงเบา หัวใจของนางจะเต้นแบบไหนก็ไม่เกี่ยวกับเขา นี่บุกมาก็เพราะสงสัยเรื่องแค่นี้น่ะหรือ อีกอย่าง พอได้รู้จัก ที่แท้ เขาก็เป็นคนพูดมากเหมือนกันนี่นา “แต่ข้าสงสัย เช้าวันนี้ตอนที่เจ้ามองมาข้า นอกจากเจ้าจะจำข้าได้ แก้มของเจ้าก็แดงขึ้นเรื่อยๆ เจ้ารู้สึกผิดปกติกับข้าหรือ” เสวี่ยเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา ตรงเสียจนทำให้คนถูกถามตกใจ คราวนี้ หร่วนอิ๋งซุยตาเบิกโต ไม่คิดว่าเขาจะสังเกตเห็นอาการหน้าแดงของนางทั้งที่พวกเราอยู่ไกลพอสมควร “...ท่านพูดเรื่องอะไร” “ท่านแม่เคยบอกว่า ตอนพบกับท่านพ่อครั้งแรก นางก็มีอาการใจเต้นแรง หน้าร้อนผ่าวและแดง หรือเจ้าจะมีอาการเช่นเดียวกับท่านแม่ข้ากัน” เสวี่ยไม่ได้พูดเพื่อยั่วแหย่นาง แต่น้ำเสียงและสายตาของเขามีแววสงสัยจริงๆ แต่นั่นก็มิใช่ประเด็นที่เขาบุกเข้ามาถึงในห้องนางแท้จริง หร่วนอิ๋งซุยขยับตัวไปมาอย่างครั่นคร้ามเพราะถูกจับได้ว่ามองเขาด้วยอาการหน้าแดงใจเต้นแรง แต่จะให้ยอมรับตรงๆ นั่นก็ไม่ใช่นิสัยของนางเช่นกัน ดังนั้น นางจึงพยายามปรับลมหายใจให้เป็นปกติ และพูดอย่างฉุนเฉียว “หยุดคิดเรื่องไร้สาระนั้นเถอะ ท่านรู้ไหม ท่านเข้ามาในห้องข้ายามวิกาลแบบนี้ไม่ดีอย่างยิ่ง” เสวี่ยผงกศีรษะ “ข้ารู้ แต่ข้าก็ยังสงสัยอยู่ดี” “ท่านจะสงสัยอะไรนักหนา!” นางพูดอย่างหงุดหงิด ทั้งที่ความจริงแล้วรู้สึกอับอายที่ถูกจับได้ “เสียงหัวใจของเจ้า” “แล้ว...แล้วมันสำคัญด้วยหรือ” เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง “บ้านของข้าไม่เคยต้อนรับใครมาก่อน ไม่มีใครยินดีเข้าใกล้ข้า กระทั่งพวกเจ้ามาที่นี่ พวกเจ้าเข้าใกล้ข้า พูดดีกับข้า ดังนั้น ข้าจึงอยากรู้ว่าข้าสามารถเชื่อใจพวกเจ้าได้หรือไม่ รวมถึงอาการเต้นแรงของหัวใจเจ้านั่นคือเรื่องจริงหรือ” หร่วนอิ๋งซุยอ้าปากหวอ พร้อมกับมองเขาใหม่ แววตาของชายหนุ่มไม่มีสิ่งชั่วร้ายหรือนัยอื่นแอบแฝง แสดงว่าเขาเอ่ยมันออกมาอย่างบริสุทธิ์ใจ ว่าแต่ แล้วทำไมนางต้องคล้อยตามเขาด้วย! และเพื่อให้เขากระจ่างในความคิดของนาง อิ๋งซุยจึงให้เหตุผล “ท่านสบายใจได้ อย่างน้อย ข้ากับพี่เหยากวานก็ไม่ได้คิดร้ายต่อท่าน” สิ้นคำพูด นางกับเขาก็เงียบไปพักใหญ่ “อย่าไว้ใจใคร” เสวี่ยพูดขึ้นในที่สุด นั่นมิใช่คำพูดพล่อยๆ แต่น้ำเสียงเป็นจริงเป็นจังของเสวี่ยแสดงออกว่าต้องการเตือนนางให้ระวังตัวจริงๆ “ท่านหมายความว่าอย่างไร มีคนคิดปองร้ายข้าหรือพี่เหยากวานใช่หรือเปล่า ท่านรู้อะไรมา บอกข้าเดี๋ยวนี้” หร่วนอิ๋งซุยไหนเลยจะยอมหากไม่ได้รับความกระจ่าง นางพุ่งเข้าไปคว้าแขนของเขาอย่างลืมตัวตอนที่ชายหนุ่มทำท่าเหมือนจะผละออกไป คิ้วของเขาขมวดชนกันเมื่อก้มมองแขนของตนที่ถูกฉุดรั้ง ก่อนจะเลื่อนสายตามองหน้านางและพยักหน้าน้อยๆ บนโหนกแก้มมีริ้วรอยแดงอีกนิดหนึ่ง หร่วนอิ๋งซุยปล่อยมือจากเขาอย่างเขินๆ แต่ก็จ้องมองเพื่อรอคอยให้ชายหนุ่มอธิบาย ทว่า ผลปรากฏว่าทันทีที่นางปล่อยมือ เสวี่ยพุ่งตัวหายไปจากตรงหน้านางเหมือนหนีตาย เด็กสาวอ้าปากหวอ อะไรกัน นึกจะบุกมาก็มา นึกจะหนีไปก็ไป ซ้ำยังไม่ยอมให้ความกระจ่างกับคำเตือนนั้นอีก คนอย่างเขา...คนอย่างเขาน่าโมโหที่สุด!
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD