บทที่ 6 การประชุมของเหล่าวาณิช

2312 Words
สามวันถัดมาเป็นวันประชุมของเหล่าวาณิช หร่วนอิ๋งซุยและซุ่นเหยากวานเดินทางมาที่ท่าเรือเพื่อทำความ รู้จักกับเจ้าของเรือขนส่งสินค้า และกลุ่มวาณิชโดยมีฉางซุนไท่หยางคอยชี้แนะอยู่ข้างๆ นาง นอกจากสายตาดูแคลน ซึ่งพุ่งตรงมาทางหร่วนอิ๋งซุยที่เป็นเด็กที่สุด และยังเป็นวาณิชหญิงคนเดียวในกลุ่มวาณิชด้วยกัน ที่น่าแปลกก็คือ ด้านหลังของพวกเขายังมีบุตรีติดสอยห้อยตามมาด้วย ถึงหร่วนอิ๋งซุยไม่สังเกต นางก็พอเดาได้ว่าเหล่าหญิงสาวที่มานั้นมิได้มาเพื่อแสวงหาความรู้เพื่อสืบทอดกิจการของบิดา แต่เพื่อทอดสะพานให้กับประมุขฉางซุน เพราะนอกจากสายตาที่มองเขาอย่างอ้อยอิ่งแล้ว พวกนางยังขยันส่งยิ้มหวานให้เขา ก่อนจะหันมาซุบซิบและหัวเราะน้อยๆ ให้กัน หากแต่ทางด้านฉางซุนไท่หยางกลับทำเมิน พูดเพียงเรื่องงานเท่านั้น หร่วนอิ๋งซุยกับซุ่นเหยากวานมิใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน ดังนั้น พวกเขาจึงมองรอบๆ ท่าเรือเพื่อสังเกตทุกสิ่งรอบตัว ฟังทุกอย่างที่ฉางซุนไท่หยางอธิบายอย่างไม่มีตกหล่น การย้ายที่อยู่กะทันหันเป็นสิ่งที่ใหม่สำหรับนาง เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้อิ๋งซุยคุ้นชินกับสถานที่และผู้คนก็คือการสังเกตและปรับตัว ระหว่างมองสำรวจรอบๆ ตอนนั้นเอง สายตาของเด็กสาวพลันสะดุดกับร่างๆ หนึ่ง ผู้ชายคนนั้นปิดหน้าและพันศีรษะด้วยผ้าสีเข้ม เขากำลังแบกขนสินค้าที่ค่อนข้างหนักอึ้งลงจากเรือ แต่ทุกอากัปกิริยากลับตรึงสายตาของนางไว้ โดยเฉพาะดวงตาโดดเดี่ยวนั่น พอคิดว่าดวงตาของชายคนนั้นช่างคุ้น หัวใจของหร่วนอิ๋งซุยก็เต้นแรงขึ้นมา แล้วพานนึกถึงเสวี่ย โดยไม่รู้ตัว หร่วนอิ๋งซุยเผลอมองผู้ชายตัวใหญ่ที่แบกของลงจากเรือรอบแล้วรอบเล่า ในเวลาเดียวกัน เหล่าวาณิชมาพร้อมหน้าแล้ว ฉางซุนไท่หยางก็เริ่มแนะนำร้านผ้ามั่งมีให้พวกเขาได้รู้จัก นั่นเป็นการดึงสติของเด็กสาวให้กลับมาสนใจเรื่องตรงหน้า “ร้านผ้ามั่งมี? ถึงจะเป็นชื่อใหม่ แต่ร้านนั่นมิใช่ร้านผ้าสกุลหร่วนหรอกหรือ ร้านที่ทำกำไรไม่ได้เลย หนำซ้ำยังคุยโวว่าตนมาจากเมืองหลวง ร้านที่ทะนงตนขนาดนั้นจะเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราได้จริงๆ น่ะหรือ” วาณิชแซ่จางเอ่ยแทรกอย่างดูแคลน หลังจากได้ยินคำแนะนำจากฉางซุนไท่หยาง “แม่นางหร่วนไม่เหมือนกัน นางมีความตั้งมั่นในการเข้าร่วมการค้ากับพวกเรา” ฉางซุนไท่หยางช่วยอธิบาย นั่นยิ่งเรียกสายตาริษยาจากเหล่าบุตรีของกลุ่มวาณิชให้พุ่งตรงมาทางอิ๋งซุย “ประมุขฉางซุนอธิบายเรื่องท่าเรือนี้ต่อเถิดเจ้าค่ะ” หร่วนอิ๋งซุยตีสีหน้าเรียบเฉยเพื่อไม่ให้ทุกคนในที่นี้เข้าใจในตัวนางผิด ด้วยไม่อยากสร้างความไม่ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ แต่เหมือนพวกเขาต้องการตั้งตัวเป็นศัตรูกับนางจนน่ารำคาญเหลือเกิน เมื่อฉางซุนไท่หยางเริ่มอธิบายต่อ สายตาของหร่วนอิ๋งซุยไม่วายหันมองคนที่นางคิดว่าคุ้น เช่นเดียวกัน คนผู้นั้นเหมือนรู้ตัวแล้ว จังหวะที่นางหันมอง เขาก็หันมองนางพอดี ด้วยเหตุนี้ สายตาของนางกับเขาจึงสบประสาน มีบางอย่างผิดปกติ บางอย่างที่ทำให้หัวใจนางเต้นแรงขึ้นมา ตึกตัก...ตึกตัก... “คุณหนู?” ซุ่นเหยากวานกระซิบเรียกเด็กสาว หร่วนอิ๋งซุยสะดุ้ง “คุณหนูกำลังมองอะไรอยู่หรือ มีสิ่งใดหรือขอรับ” ซุ่นเหยากวานถามต่อ นางส่งสายตาให้ซุ่นเหยากวานเป็นนัยว่า ‘มี’ แล้วเหลือบไปทางชายคนนั้น นั่นแหละ เขาถึงพยักหน้าเล็กน้อย และหันไปสนใจฉางซุนไท่หยาง ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ทั้งที่อยากรู้ใจแทบขาดว่าคุณหนูพบเห็นอะไร แต่ไม่นานนัก ซุ่นเหยากวานก็เหมือนอดใจไม่ไหว เหลือบตามองไปทางทิศทางที่คุณหนูให้ความสนใจ เขาจึงพบบุรุษคุ้นเคยผู้หนึ่ง ทั้งที่ฝ่ายนั้นปิดบังใบหน้าและศีรษะ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่จดจำไม่ได้ แต่สำหรับพวกเขาที่เพิ่งมาใหม่ ทั้งยังมีนิสัยช่างสังเกตจึงจดจำได้ทันที ที่แท้คุณหนูก็มอง ‘เสวี่ย’ และแล้วซุ่นเหยากวานก็เข้าใจความคิดของคุณหนูของตนในที่สุด “เอาละ วันนี้ขอจบการประชุมแค่นี้ เชิญทุกคนไปทานอาหารเที่ยงร่วมกันเพื่อสร้างสัมพันธไมตรีที่โรงเตี๊ยมตระกูลอวี๋” คำพูดของฉางซุนไท่หยางดึงสติสองหนุ่มสาวจากร้านผ้ามั่งมีอีกครั้ง ตลอดการร่วมโต๊ะทานอาหารเที่ยง สายตาริษยาของบุตรีของเหล่าวาณิชยังคงทิ่มแทงหร่วนอิ๋งซุยไม่ปล่อย หากเป็นตอนอยู่เมืองหลวง หร่วยอิ๋งซุยคงเชิดหน้าแล้วเข้าไปถามว่า ‘พวกเจ้ามีปัญหากับข้าหรือ’ แต่เพราะตอนนี้ นางต้องอดทนเพื่อแสดงความเป็นมิตรและทำการค้าอย่างราบรื่น จึงสงบปากสงบท่าทางให้มากที่สุด แต่ทั้งที่นางพยายามแล้ว พยายามทำเป็นมองไม่เห็นสายตาริษยาพวกนั้น พยายามวางตัวให้สงบเสงี่ยม ผู้หญิงพวกนั้นกลับยังเข้ามาอยู่ในสายตา ทำให้หงุดหงิดจนโพล่งออกไปซึ่งๆ หน้า “ไม่ทราบว่าพวกคุณหนูทั้งหลายมีอะไรจะชี้แนะข้าหรือ ถึงได้มองข้าคล้ายจะพูด แต่ก็ไม่ยอมพูด” คำพูดของหร่วนอิ๋งซุยทำเอาเหล่าคุณหนูทั้งหลายหน้าแดงก่ำ เพราะพวกนางไม่คิดว่าจะถูกพูดใส่หน้าอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ตรงข้าม ฉางซุนไท่หยางกลับมองนางอย่างประหลาดใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสนใจขึ้นมา “เปล่านี่ เจ้าคิดมากแล้ว” บุตรีของวาณิชแซ่จางพูด ก่อนจะยืดหลังตรง วางท่าโอหัง “นั่นสิ แม่นางหร่วนประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า” คราวนี้เป็นเสียงของบุตรีวาณิชแซ่เหิง “หรือเจ้ากำลังระแวงอะไรอยู่” บุตรีของวาณิชแซ่จางพูดอีก เหมือนเจตนายั่วยุ ว่ากันว่า เป็นผู้หญิงด้วยกันมักมองความไม่เป็นมิตรของกันและกันออก ไม่เว้นแม้แต่หร่วนอิ๋งซุย นางอ้าปากเตรียมแย้ง แต่แล้ววาณิชแซ่เหิงก็พูดแทรก เหมือนต้องการทำให้นางขายหน้ายิ่งกว่าคำพูดของบุตรสาวของเขา “เถ้าแก่เนี้ยหร่วน...จะให้พูดเช่นนี้ก็กระดากปากเหลือเกิน ทั้งที่อายุยังน้อยแท้ๆ เหตุใดถึงสนใจทำการค้า มิสู้ให้ซุ่นเหยากวานออกหน้าเป็นเถ้าแก่แทนเจ้าเล่า” หร่วนอิ๋งซุยหันไปยิ้มตอบอย่างห่างเหิน “คิดว่าพวกท่านกังวลเรื่องอะไรเสียอีก พูดกันตามจริง ร้านผ้านั่นเดิมก็เป็นของท่านพ่อ ข้าที่เป็นบุตรสาวคนโต ช้าเร็วต้องดูแลกิจการต่อจากท่านอยู่แล้ว จึงไม่อาจหลบหลังพี่เหยากวานได้ตลอด และอีกอย่าง เราต่างก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบคนละอย่าง ขอบคุณเถ้าแก่จางที่ชี้แนะ” หร่วนอิ๋งซุยแสร้งพูดให้ดูดีไปอย่างนั้นเอง เรื่องความบาดหมางในครอบครัวยิ่งคนรู้น้อยที่สุดยิ่งดี ส่วนร้านผ้านั่นก็เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ท่านพ่อยกเอาไว้ให้หาเลี้ยงตัวเอง ถึงตอนนี้แล้ว หากยังมองฐานะของตัวเองไม่ออก นางก็โง่เต็มทน ยังมีอีก นางรู้อุปสรรคของตัวเองดี นั่นคืออายุ ซ้ำยังเป็นสตรี ไม่เหมาะจะเป็นเถ้าแก่เนี้ย... ทว่าถึงนางจะอายุยังน้อยแล้วอย่างไร เป็นสตรีแล้วอย่างไร อิ๋งซุยหวังเพียงว่าจะอยู่รอดปลอดภัยต่างถิ่นเท่านั้นเอง การแสวงหาสามีรวย หรือคอยแต่พึ่งพาคนอื่นไม่เคยมีในสมองของนางด้วยซ้ำ ครอบครัวใหญ่ในเมืองหลวง รวมทั้งเรื่องท่านแม่ของนาง นั่นคือตัวอย่าง อีกอย่าง ป่านนี้ ท่านพ่อคงยกตำแหน่งฮูหยินใหญ่ให้กับอนุคนรองแล้วกระมัง ให้นางกลับไปอยู่ภายใต้ผู้หญิงคนนั้น นางยอมแก่ตายต่างถิ่นดีกว่า หร่วนอิ๋งซุยลอบถอนใจ คิดเพียงเรื่องของตนเองจนไม่ได้ฟังวาณิชแซ่เหิงว่าพูดอะไรต่อ ภายในใจนางไม่มีเวลาคิดเรื่องที่จะจับฉางซุนไท่หยางเพื่อให้ชีวิตของตนสุขสบาย พอวาณิชแซ่เหิงพูดจบ วาณิชแซ่จางก็พูดขึ้น “เอาละๆ ดื่มเพื่อทำความรู้จักกันไว้ดีกว่า อ้อ จริงสิ เถ้าแก่เนี้ยหร่วนดื่มชาก็ได้นะ ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นสตรี จะดื่มสุราสังสรรค์แต่ละทีล้วนลำบากใจ” “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าดื่มสุราได้นิดหน่อย อีกอย่าง ข้าควรต้องเริ่มดื่มเพื่อเข้าร่วมประชุมกับทุกท่านอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” หร่วนอิ๋งซุยพูด จากนั้นก็ส่งสายตาให้ซุ่นเหยากวานรินสุราใส่จอกของนาง โหนกแก้มของวาณิชแซ่จางขึ้นสีแดง อาจเพราะรู้สึกเสียหน้าเนื่องจากข่มให้หร่วนอิ๋งซุยต่ำลงไม่ได้ ทางซุ่นเหยากวาน ถึงไม่สนับสนุนให้เด็กสาวดื่มสุรา แต่เขาจะพูดขัดความตั้งใจเพื่อทำให้นางเสียหน้าไม่ได้ จึงรินสุราใส่จอกให้นาง หร่วนอิ๋งซุยประสานมือกับจอกสุรา ยิ้มให้กับทุกคนรอบโต๊ะ ตอนที่หร่วนอิ๋งซุยกำลังยกจอกสุราขึ้นดื่ม จู่ๆ ฉางซุนไท่หยางกลับแตะจอกของนาง และออกแรงกดเบาๆ เพื่อให้นางวางจอกลง ยิ้มสุภาพมองทุกคนรอบโต๊ะ และพูดขึ้น “ข้าจำได้ว่าไม่ได้สั่งสุรา ทำไมถึงมีสุราบนโต๊ะได้” ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ไม่เว้นแม้แต่บุตรีของเหล่าวาณิช หร่วนอิ๋งซุยรู้ว่าการที่ฉางซุนไท่หยางทำแบบนี้ก็เพื่อออกหน้าปกป้อง แต่ยิ่งเขาแสดงความใส่ใจตนมากเท่าไร นั่นทำให้นางยิ่งมีศัตรูเพิ่ม ถึงไม่ได้หวั่นกลัวเรื่องศัตรู และยิ่งไม่อยากเอาใจคนพวกนี้ แต่นางจำเป็นต้องแก้ไขสถานการณ์ความเข้าใจผิดเพื่อไม่เป็นที่ขุ่นเคืองใจมากไปกว่านี้ “ถือว่าเป็นการดื่มเพื่อแสดงความรู้จัก มา ดื่มเจ้าค่ะ” หร่วนอิ๋งซุยฝืนยิ้มบอก เห็นเด็กสาวยืนยันเช่นนั้น ฉางซุนไท่หยางจึงยอมปล่อยมือจากจากสุรา เถ้าแก่ทั้งหลาย รวมทั้งบุตรีของเขามองนางด้วยสีหน้ามึนงง ไม่นึกว่าเด็กสาวผู้นี้จะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ได้เร็ว แต่ก็ยอมยกจอกสุราขึ้นดื่มหนึ่งจอก จากนั้น บรรยากาศร่วมโต๊ะก็เป็นไปอย่างอึมครึม เฮ้อ...ยากเหลือเกิน การโตเป็นผู้ใหญ่เนี่ย นางจดจำข้าได้? ไม่เพียงแค่หร่วนอิ๋งซุยจดจำคนที่ไม่มีใครสังเกตเห็นอย่างเขาได้ เขายังได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของนาง ถึงแม้พวกเราจะยืนห่างไกลกันมากก็ตาม เสวี่ยนั่งยองๆ ข้างหน้าต่าง ฟังเสียงเล็กๆ ของหร่วนอิ๋งซุยยามนางพูด อันที่จริง การที่เขามาอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะแอบติดตามกลุ่มวาณิชพวกนั้นมา เพียงแต่ต้องการมองหร่วนอิ๋งซุยให้นานอีกหน่อย และสงสัยว่าเสียงเต้นของหัวใจนางนั้นใช่เกิดขึ้นเพราะเขาหรือไม่ พอรู้ตัวอีกทีก็มาถึงโรงเตี๊ยมนี้เสียแล้ว ชายหนุ่มเดาออกเลยว่า หากหร่วนอิ๋งซุยรู้ในสิ่งที่เขากำลังทำ นางคงคิดว่าเขาเป็นโรคจิตแน่ๆ และเขาก็ควรออกไปมาจากบริเวณนี้ก่อนจะมีใครมาเห็น แต่ทว่า... “ผู้หญิงคนนั้นช่างน่ารังเกียจจริงๆ!” กระทั่งเสวี่ยได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาจึงหยุดชะงักอยู่กับที่ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าวาจานี้มาจากเหล่าสตรีปากแดง หน้าขาว อบกลิ่นฉุนอบอวลกาย และคอยเดินตามฉางซุนไท่หยางต้อยๆ พวกนั้น “ข้าละเกลียดคนแบบนางที่สุด” แล้วหญิงสาวอีกคนก็พูดสมทบ “เพิ่งมาอยู่ใหม่แท้ๆ แต่กลับแสดงท่าทางอวดดี ข้าเกลียดความอวดดีของนาง!” “เป็นสตรีแท้ๆ แต่คิดทำการค้าและเดินนำหน้าผู้ชาย ข้าไม่ชอบใจเอาซะเลย บางที นางอาจเอาการค้ามาอ้างเพื่อเข้าใกล้ประมุขฉางซุน” ที่ไหนมีสตรี ที่นั่นย่อมมีความริษยา เสวี่ยส่ายหน้าเอือมระอา ก่อนจะเดินออกมา แต่แล้วคำหนึ่งกลับฉุดรั้งให้เขาหยุดยืนต่อด้วยความสนใจ “ข้าคงต้องส่งคนไปสั่งสอนนางบ้างแล้ว ทำให้นางรู้ว่าผู้หญิงอย่างเราต้องพึ่งพาบุรุษ มิใช่เดินนำและทำตัวอวดฉลาดอย่างนั้น” “จริงสิ ข้าได้ยินว่านางอยู่กับผู้ชายแซ่ซุ่นด้วยกันตามลำพัง บ่าวไพร่หรือคนคุ้มกันไม่มี บางทีนี่อาจเป็นโอกาสของพวกเรา” เสวี่ยขมวดคิ้วพลางคิดว่า สตรีเป็นสิ่งที่น่ากลัวเหลือเกิน...แล้วเขาก็เดินกลับไปที่ท่าเรือเพื่อทำงานต่อ แต่ถึงอย่างนั้น เสวี่ยกลับไม่แน่ใจว่าตนเองจะทำเฉยเมยต่อคำพูดของเหล่าสตรีผู้จมปลักกับความริษยาพวกนั้นได้ไหม ในเมื่อหร่วนอิ๋งซุยกับซุ่นเหยากวานเป็นเพียงสองคนในเมืองนี้ที่มาหาตนถึงบ้าน ยอมนั่งหน้าระเบียงและดื่มน้ำเปล่าที่เขานำมาต้อนรับ ทั้งที่ ‘คนพวกนั้น’ ไม่เคยลดตัวลงมาสุงสิงกับเขาเลย นอกจากท่านแม่
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD