เมียดาราของคุณไท่หรง 2.2

2045 Words
ไม่นานรถคันหรูก็เคลื่อนตัวออกจากตึกบริษัทมุ่งหน้าไปยังใจกลางเมืองก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในตึกใหญ่โตสีดำแห่งหนึ่ง ด้านนอกตึกนั้นมีไฟหลากสีสันประดับอยู่ แต่ในเมื่อไม่ได้มีชื่อโรงแรมอยู่ด้านหน้าจันทร์เจ้าขาจึงพยายามทำใจให้เย็น พยายามคิดในแง่ดีว่าตึกนี้เธอเองก็ไม่เคยมา ด้านในมันอาจเป็นสตูดิโอที่ว่าก็ได้ อันที่จริงบริษัทก็มีไปเช่าสตูดิโอด้านนอกเพื่อถ่ายแบบอยู่บ้างเหมือนกัน วันนี้ก็คงเป็นแบบทุกทีนั่นแหละ “หนูเพิ่งรู้ว่าตึกนี้มีสตูให้เช่าด้วย” หญิงสาวพูดพลางมองไปรอบๆ ฝ่ายนั้นยังไม่ได้พูดอะไรแต่กดล็อครถแล้วพาเธอเดินเข้าด้านใน ภาพอันคุ้นเคยของป้านหน้าห้องสตูดิโอที่ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาพาให้หญิงสาวโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อย แค่เล็กน้อยเท่านั้นเพราะพี่อ้อไม่ได้แวะที่ห้องไหนเลยแต่กลับพาเธอเดินเข้าลิฟต์ พาขึ้นไปยังชั้นสิบแปดแบบไม่พูดไม่จา ไม่ตอบคำถามอะไรสักคำยิ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่ปลอดภัย ถึงอย่างนั้น ด้วยความหวังที่จะได้ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน บวกกับยังไม่รู้แน่ชัดว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จันทร์เจ้าขาจึงยังเดินตามอีกฝ่ายไป กระทั่งพี่อ้อพาเธอเข้าไปยังห้องๆหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรที่ดูเป็นสตูดิโอเลย จัทร์เจ้าขาขมวดคิ้วมองไปรอบๆ เธอหยุดยืนที่หน้าห้องจนอีกฝ่ายหันมามองด้วยสายตารำคาญ “เป็นอะไรอีก” “เรามาทำอะไรกันที่นี่เหรอคะ” “ก็มาทำงานไง เข้ามาสิ” น้ำเสียงของพี่อ้อติดรำคาญเล็กน้อยแต่ก็ยังสุภาพกับเธอมากกว่าทุกครั้ง ถึงอย่างนั้นสายตาไม่พอใจก็ยังคงอยู่ จันทร์เจ้าขาเดินกล้าๆกลัวๆไปชะโงกมองในห้อง เมื่อเห็นว่าไม่ได้มีใครอยู่ในห้องนั้นจึงเดินตามเข้าไป ถึงอย่างนั้นสายตาก็ยังระวังระไวไปทั่ว พี่อ้อบอกเธอว่าพามาทำงาน หรือตั้งใจพาเธอมาแคสต์บท แต่การแคสบทมันทำที่บริษัทก็ได้นี่ อีกอย่างพี่อ้อก็บอกเธออยู่ว่าจะพามาสตูดิโอ แต่ห้องนี้มันดูเหมือนห้องรับรองอะไรสักอย่างเสียมากกว่า “นั่งสิเจ้าขา พี่มีเรื่องที่สำคัญกว่าจะคุยด้วย” ทันทีที่เข้ามาในห้องพี่อ้อก็เดินไปนั่งลงบนโซฟา ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของอีกฝ่าย จันทร์เจ้าขาเดินมานั่งที่โซฟาตัวเดียวกันกับคนอายุมากกว่าแต่ก็ยงเลือกที่นั่งที่หากเกิดอะไรขึ้นจะลุกขึ้นวิ่งได้ทันที “ค่ะพี่อ้อ” “พี่จะไม่อ้อมค้อมก็แล้วกันนะ คือละครเรื่องนี้มันเป็นโปรเจ็คใหญ่ เรามีพร้อมทุกอย่างแล้วทั้งคิวคนคิวอุปกรณ์ เบื้องบนก็เห็นชอบให้ได้ลงช่องหลักช่วงไพร์มไทม์ด้วยนะ” พอพี่อ้อเริ่มพูดหญิงสาวก็ตั้งใจฟังอย่างสุดความสามารถ เธอมองดูท่าทางจริงจังของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหวั่นใจที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุเพราะวันนี้มีแต่เรื่องที่ดูไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง มีเรื่องน่าสงสัยเต็มไปหมด “มันจะเป็นละครที่ทำรายได้ให้เรามหาศาลเลยเชียวล่ะ ตัวนักแสดงที่ได้แสดงบทหลักอย่างหนูเองก็จะพลอยได้ประโยชน์มหาศาลไปด้วยนะ พี่เห็นว่าเจ้าขาทำงานกับพี่มานาน ยังไม่เคยได้รับบทดีๆเลยสักครั้ง จึงอยากให้ลองดู” “ขอบคุณค่ะพี่อ้อ” มือบางยกขึ้นไหว้สวยแม้รู้สึกตะหงิดใจอยู่พอสมควร แต่เพราะพี่อ้อไม่ได้พูดตรงประเด็นเหมือนอย่างที่เกริ่นเมื่อครู่เธอจึงยังนั่งฟังให้รู้ความก่อนตั้งคำถามอะไร “แต่การที่เราจะไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จแบบนั้นได้ เจ้าขาอยู่ในวงการมานานคงรู้ใช่ไหมว่าสปอนเซอร์สำคัญมาก” “ค่ะหนูเข้าใจ” “อันที่จริงตอนนี้ทางเราดีลสปอนเซอร์ใจป้ำจากจีนที่มาลงทุนที่ไทยได้แล้วนะ เพียงแต่เขาเองก็ยังดูลังเลกับตัวเลขที่ทางเราขอไป ทางเราเลยต้องนำเสนอแล้วก็สร้างความประทับใจให้เขา เงินทุนที่ว่าหลักหลายสิบล้านเลยนะเจ้าขา” “...” จันทร์เจ้าขารู้สึกหัวใจชานิดหน่อย ที่จู่ๆความตะหงิดใจและความสงสัยหวาดหวั่นในตอนแรกมันมีคำตอบเป็นแบบนี้ “พี่เห็นว่าภาษาอังกฤษของเจ้าขาดีมาก ก็เลยอยากให้มานั่งคุยงานด้วยในวันนี้ พอดีว่าคุณไท่หรงเขาพูดไทยไม่ได้ แต่พูดภาษาอังกฤษเก่งมาก เราจะใช้ภาษาอังกฤษคุยกับเขา” คำพูดพวกนั้นไม่ได้ทำให้จันทร์เจ้าขารู้สึกดีขึ้นเลยแต่น้อย เธอเองก็ไม่ใช่เด็กอมมือทำไมจะดูไม่ออกว่านี่มันไม่ใช่แค่การคุยงานเฉยๆ เพราะหากมันเป็นการคุยงานแบบปกติพี่อ้อคงไม่พาเธอออกมาจากบริษัท ไม่ให้เธอใส่ชุดแหวกหน้าเว้าหลัง แถมยังให้อาบน้ำแต่งตัวใหม่แน่ ที่หลอกพามาถึงที่นี่ก็คงเพื่อเอามาล่อสปอนเซอร์คนนั้นมากกว่า ร้ายที่สุดก็คงหวังให้เธอบริการเรื่องแบบนั้น “ไม่ต้องเครียดนะ มันก็ไม่มีอะไรมากหรอกแค่นั่งคุย นั่งดื่มเป็นเพื่อนกัน หนูก็นั่งเป็นของสวยๆงามๆในห้อง ให้คุณเขาได้สบายหูสบายตาก็เท่านั้น ไม่ได้มีรายละเอียดลงลึกอะไร” ทำไมนะ ทำไมไม่เอาลูกรักของตัวเองมา พอเป็นเรื่องดีๆไม่เห็นจะหยิบยื่นให้เธอเลย นอกจากบทเหลือเลือกที่โยนมาให้ก็ยังจะเอาเธอมาใช้เพื่อผลประโยชน์อีก “พี่อ้อ นี่มันอะไรกันคะ ไหนพี่บอกว่าจะให้หนูเล่นละคร” “ก็ให้เล่นอยู่แล้วไง พี่ก็ไม่ได้โกหกนี่” ทันทีที่เจ้าขาเริ่มเข้าใจเรื่องราวและมีปากเสียงขึ้นมา ใบหน้าที่ดูใจดีของอีกฝ่ายก็กลับเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าถือดีแบบที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ เธอสงสัยอยู่แล้วเชียวว่าทำไมอีกฝ่ายถึงดีด้วยผิดปกติ ทั้งที่เมื่อก่อนอย่าว่าแต่จะมาพูดด้วยเลย จะมองทีก็ยังใช้หางตามอง เธอไม่เคยอยู่ในสายตาของคนๆนี้อยู่แล้ว ทำไมไม่เอะใจตั้งแต่ที่พาออกมาจากตึกนะเจ้าขา ยอมให้มันพามาถึงที่นี่ได้ยังไง “แต่นี่มันดูเหมือนเล่นละครตรงไหนคะ มันเหมือนพี่พาหนูมาขายมากกว่า แล้วหนูก็อ่านเรื่องย่อแล้วมันไม่ได้มีบอกว่าต้องทำอะไรแบบนี้นี่คะ” “พี่แนะนำนะเจ้าขาว่าเราเป็นแค่คนตัวเล็กๆน่ะ อยู่เฉยๆดีกว่า คุณไท่หรงเขาไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นเป็นทายาทอันดับหนึ่งของเจ้าของหวงกรุ๊ป” “...” “คนอย่างเธอคงไม่มีปัญญาไปรู้จักสินะ จะบอกให้ว่าเขาเป็นมาเฟียที่ใหญ่มากในกวางโจว มีแก๊งค์ในปกครองมามากมายที่นั่น ก็คิดดูแล้วกันว่าเขาต้องมีอำนาจล้นมือขนาดไหน มาไทยทีท่านวินิจถึงต้องมารับรองด้วยตัวเอง คิดจะทำอะไรก็คิดให้ดีๆ” ท่านวินิจที่ว่าคือนักการเมืองที่อยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลที่ดำรงตำแหน่งอยู่ตอนนี้ เป็นผู้ที่มีอิทธิพลที่ไม่ได้ใช้อำนาจในทางที่ชอบเท่าไหร่ ไม่ใช่นักการเมืองน้ำดีแต่เป็นคนเล่นพรรคเล่นพวกและอยู่ในพรรคหัวอนุรักษ์ เรียกได้ว่าเป็นตัวกินบ้านกินเมืองอีกคนที่น่ากลัวมากๆ ที่พี่อ้อบอกว่าคิดให้ดีๆคงเป็นเพราะอย่างนั้น เพราะหากเทียบกันตัวเธอเองก็เป็นเพียงลูกไก่ในกำมือ นี่แค่กับท่านวินิจ ไม่ต้องพูดถึงคนจีนคนนั้น “เธอควรขอบคุณพี่ด้วยซ้ำที่เอาโอกาสมายื่นให้ นอกจากท่านวินิจคอนเน็คชั่นของเขาก็เป็นพวกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ในไทยเลยนะ เป็นแค่ดาราปลายแถวหัดฉลาดเดินทางลัดเสียบ้างเถอะ ชีวิตนี้จะได้ไม่ต้องเป็นตัวประกอบไปจนแก่หงำเหงือก” ท่าทางของพี่อ้อดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเห็นว่าเธอรู้ทันแล้ว และแม้จะกลัวตัวเองจะถูกแช่แข็งจนไม่สามารถเจริญงอกงามในวงการได้อีก ทว่าจันทร์เจ้าขาก็ไม่อาจปล่อยตัวเองให้ต้องเชิญชะตากรรมทุเรศทุรังแบบนี้ได้ เธอไม่อยากเป็นเครื่องมือให้คนชั่ว เพราะต่อให้ยอมก็คงไม่มีวันที่ได้รับโอกาสดีๆแน่นอน ดีไม่ดีไปยุ่งกับคนระดับนั้นอาจไม่ได้มีชีวิตรอดกลับไปด้วย มาถึงตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าไอ้ที่เห็นบนบทละครนั้นมันคืออะไร พี่อ้อเขียนชื่อลลิตาด้านหลังชื่อของนางเอกไปแล้ว แต่ลบออกเพราะจงใจจะทำให้เธอเข้าใจผิด และยอมทำเรื่องนี้เพราะคาดหวังว่าตัวเองจะได้เป็นนางเอก โชคดีที่เธอสังเกตเห็นรอยบนกระดาษเสียก่อนจึงได้รู้ความจริง บทนางเอกเป็นของลูกรักตั้งแต่แรก แต่คิดจะใช้ร่างกายของเธอเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ลลิตา หน้าด้านสิ้นดี ฝันไปเถอะว่าเธอจะยอมพลีกายให้คนเลวทำนาบนหลังคนแบบนี้ได้ใช้ประโยชน์ “หนูไม่ทำค่ะ หนูเป็นนักแสดงไม่ได้ขายตัว ถ้าพี่อยากได้เงินก้อนนั้นมากก็ให้ลลิตามาทำสิคะ ตั้งใจให้เขาเป็นนางเอกตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่” คิดได้แบบนั้นหญิงสาวก็พลันผุดลุกขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า “ก็ถ้าคุณไท่หรงเขาเลือกลิตา คิดว่าฉันจะลดตัวไปเกลือกกลั้วกับพวกระดับล่างอย่างแกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ฉันไม่ให้แกได้มีส่วนร่วมในโปรเจ็คใหญ่หรอกรู้เอาไว้ด้วย” และการตอบกลับของพี่อ้อก็ไม่ได้เซอร์ไพร้ส์เธอเลย จันทร์เจ้าขาไม่ได้รอฟังหรือยืนรอเถียงกับอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าตัวเองพลาดพลั้งไปแล้ว แต่ในเมื่อท่านวินิจนั่นยังไม่มา หากเธอหนีออกไปตอนนี้พี่อ้อก็ต้องแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เรียนผูกก็เชิญเรียนแก้เองไปเถอะ อีแก่โลภมาก หลังจากนี้เธออาจจะลำบากเรื่องงาน จนถึงขนาดอาจต้องเลิกเป็นนักแสดง แต่ก็ช่างมันเถอะ เพราะหากต้องโดนหลอกใช้และได้เล่นบทกะหลั่วแบบเดิม เธอเองก็คงไม่ได้เจริญไปมากกว่านี้อยู่ดี แถมยังต้องเพิ่มเติมด้วยความเจ็บใจที่กลับมาแก้ไม่ได้อีก ต้องถอนตัวตอนที่มันยังแก้ทันนี่แหละ แกร็ก! “เอ้าๆ เชิญครับคุณหวง” ทว่ายังเดินไม่ทันจะได้เดินออกจากห้อง ประตูบานใหญ่ก็เปิดออก แทนที่ด้วยเสียงพูดคุยเป็นภาษาอังกฤษ และท่านวินิจรูปร่างท้วมในชุดสูทเดินนำเข้ามา ด้านหลังมีผู้ชายตัวสูงใหญ่ท่าทางน่ากลัวคนหนึ่งยืนอยู่ เขาใส่สูทธีสีดำทั้งตัวเน็คไทด์มีลวดลายสีทอง มองจากตรงที่เธอยืนยังเห็นรอยสักบนลำคอของเขาอย่างชัดเจน สายตาดุดันที่มองมานั้นทำเอาหญิงสาวที่เพิ่งลุกขึ้นมาปกป้องตัวเองอยู่เมื่อครู่ถึงกับตัวแข็งทื่อ จะวิ่งหนีก็ทำไม่ได้จะถอยก็ทำไม่ได้เช่นกัน นั่นน่ะเหรอ คนที่พี่อ้อคิดจะพาเธอมาบริการเขา ต่อให้ไม่ต้องบอกก็ดูออกว่าคนๆนี้เป็นมาเฟียแน่นอน ไม่สิดูเหมือนพวกพ่อค้ายาเสพติดเลยด้วยซ้ำ คืนนี้เธอตายแน่ ไม่ว่าทางไหนก็ไม่มีทางรอดแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD