“โม่หรานมีเรื่องอะไรจะบอกย่าก่อนหรือไม่” จางเมิ่งลู่จับสังเกตได้ว่าท่าทางของสตรีตระกูลเย่ไม่ค่อยปกติ คล้ายจะบาดเจ็บที่ช่วงแขนทั้งสองข้าง แม้ว่าโฉมสะคราญจะปวดเนื้อตัวอย่างไร เมื่อได้ยินประโยคที่องค์หญิงสี่ถามเฉินอ๋อง ก็เกิดอาการร้อน ๆ หนาว ๆ ราวกับมีดวงตาคมเข้มคู่หนึ่งจับจ้องอยู่
“ขอประทานอภัยที่ฟางหรูชักช้าเพคะ เมื่อกลางวันไม่ทันระวังจึงหกล้มได้รับบาดเจ็บที่มือจึงทำให้เสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์เช่นนี้” เย่ฟางหรูพูดช่วยเฉินอ๋อง ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง ต่างคนต่างก็ผินใบหน้าหันมองไปทางอื่น
“ไหนเอามือให้ย่าดูหน่อยสิ” หญิงชราส่งยิ้มให้คุณหนูใหญ่ตระกูลเย่ ท่าทางดูอ่อนโยนนั้นทำให้ใจของโฉมงามรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย
“บาดแผลไม่ค่อยน่ามองนัก องค์หญิงอย่าทรงทอดพระเนตรเลยเพคะ” แต่เย่ฟางหรูก็ไม่กล้ายื่นมือที่มีบาดแผลให้หญิงชราดู เพราะเกรงกลัวสายตาของเฉินอ๋องที่มองมาด้วยความกดดัน
“เสด็จย่าอย่าไปสนใจนางเลย เสด็จกลับมาเหนื่อย ๆ ไปประทับที่เรือนหมู่ตานก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” จางหย่งเฉินพูดตัดบท เดิมเขาก็ไม่ชอบสตรีตระกูลเย่อยู่แล้ว ยิ่งเสด็จย่าต้องการให้เขาแต่งงานกับนางด้วยก็ยิ่งรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความยุติธรรม
“โม่หรานกำลังไล่ย่าหรือ” จางเมิ่งลู่เบิกตามองหลานชายสุดที่รัก เป็นครั้งแรกที่นางจะถูกผู้เป็นหลานเอ่ยตัดบทเช่นนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะพ่ะย่ะค่ะ” เฉินอ๋องรีบอธิบาย แต่หญิงชรากลับน้อยใจไปเสียแล้ว
“ช่างเถิด วันนี้ก็มืดค่ำมากแล้ว เจ้าก็ไปพักผ่อนเถิด” แล้วจางเมิ่งลู่ก็ลุกขึ้น ฮุ่ยหมัวมัวจึงรีบมาพยุงแขนองค์หญิงสี่
“ไม่ต้องมาส่งย่า วันนี้เจ้าก็ให้ฟางหรูไปพักที่เรือนซีซวน” หญิงชราเอ่ยเพียงเท่านั้นก็มุ่งหน้าไปขึ้นรถม้าเดินทางไปเรือนหมู่ตานทันที หลังจากองค์หญิงสี่จากไป ทั้งห้องโถงก็ตกอยู่ในความเงียบสงบ สายตาคมตวัดมองใบหน้างดงามของเย่ฟางหรูราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความผิดของนางเพียงผู้เดียว
“เจ้าแสดงได้ดีนักนะ” เขาพูดเพียงเท่านั้นโทสะก็ลุกโชนในดวงตา
“อะ โอ๊ย! ข้าเจ็บนะ” เย่ฟางหรูไม่รักษากิริยาอีกต่อไป ข้อมือนางถูกเขากระชากเข้ามาหาตัว ทำให้ร่างกายอ่อนแอและกำลังเจ็บป่วยนั้นปลิวไปตามแรงดึง สายตาคมเหลือบมองก็เห็นว่าฝ่ามือที่แตกนั้นไม่น่ามองเลยจริง ๆ
“ฉีอิ่ง เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวอีกไหม” สุดท้ายลมก็เปลี่ยนทิศไปตกลงที่หลังคาเรือนเหลียนฮวาจนได้ จ้าวฉีอิ่งนึกว่ารอดตัวแล้ว แต่พอถูกพี่ชายสอบถาม นางก็ตัวสั่นรีบบีบน้ำตาออกมาทันที
“หม่อมฉันไม่รู้เรื่องนะเพคะ นางกำนัลคนนั้นเป็นคนลงมือทำเอง”
“ข้ายังไม่ได้จะปรักปรำอะไร เจ้ารีบร้อนตัวไปไย” สายตาคมมองน้องสาวด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็สั่งหลิงหาวให้นำตัวคนผิดเข้ามา นางกำนัลคนนั้นมีสภาพดูแทบไม่ได้ เนื้อตัวโดนเฆี่ยนด้วยแส้ เสื้อผ้าขาดเป็นริ้วมีแต่รอยเลือด จ้าวฉีอิ่งเห็นอย่างนั้นก็เซจนเกือบล้ม โชคดีที่นางกำนัลคนอื่น ๆ มารับตัวไว้ได้ทัน
“ทะ ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้มีเจตนาทำร้ายหญิงตระกูลเย่นะเพคะ คนของท่านหญิงมีรับสั่งลงมา แม้หม่อมฉันไม่ได้อยากทำแต่ก็ต้องทำตามเพราะขัดคำสั่งไม่ได้” นางกำนัลคนนั้นรีบเอาตัวรอด ไม่กล้าแม้จะสบตากับท่านหญิงฉีอิ่งเลยสักนิด
“เจ้าพูดปรักปรำข้าเพราะเหตุใดกัน ข้าไม่เคยสั่งให้เจ้าไปทำอะไรแบบนั้นเลยสักนิด” จ้าวฉีอิ่งทำหน้าตาน่าสงสาร จากนั้นก็ส่งสายตาให้นางกำนัลคนสนิทรับกรรมแทน
จูหมัวมัวที่อยู่ข้างกายจ้าวฉีอิ่งรีบคุกเข่าลงตรงหน้าเฉินอ๋องทันทีเพื่อปกป้องผู้เป็นเจ้านาย พร้อมกับโขกศีรษะหลาย ๆ ครั้ง “หม่อมฉันผิดเองเพคะ หม่อมฉันผิดเองเพคะ”
เย่ฟางหรูมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่พร่าเบลอ การที่เฉินอ๋องทำเช่นนี้เพื่อทวงความยุติธรรมให้นางหรอกหรือ นับเป็นเรื่องที่ไม่อยากเชื่อเลยสักนิด “ปละ ปล่อยแขนข้าเถิด” ตอนนี้นางรู้สึกยืนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทั้งร่างอ่อนปวกเปียกไปหมด
“คะ คุณหนู!” หลิวหมัวมัวที่สังเกตเห็นความผิดปกติก่อนใครร้องเสียงดังลั่น ร่างบางซบหน้าลงกับอกของเฉินอ๋องแล้วก็หมดสติไป ตอนนี้พิษไข้คงหวนกลับมาอีกแล้ว
ร่างสูงละสายตาจากจูหมัวมัวหันมามองคนป่วยที่อาการกำเริบ สุดท้ายเขาก็ต้องอุ้มนางขึ้นมาแล้วพากลับเรือนซีซวน ส่วนเรื่องทั้งหมดเอาไว้รอตัดสินวันต่อไป จ้าวฉีอิ่งเห็นภาพบาดตานั้นก็ยิ่งโกรธเคือง สตรีตระกูลเย่คิดมาแย่งเฉินอ๋องไปจากนาง ช่างไม่เจียมตัวเลยสักนิดเดียว
“ทะ ท่านหญิงทรงเป็นลมไปแล้ว” นางกำนัลคนหนึ่งตะโกนออกมาหวังให้เฉินอ๋องหยุดเดิน ทว่านอกจากจางหย่งเฉินจะไม่หยุดเดินและไม่สนใจกันแล้ว ยังมีรับสั่งว่าให้หลิงหาวจัดการเรื่องทั้งหมดนี้แทน แน่นอนว่าจ้าวฉีอิ่งจะถูกลงโทษกักบริเวณ ส่วนนางกำนัลที่ถูกจับมาเฆี่ยนตีก่อนหน้านี้ให้ลดขั้นไปอยู่เรือนซักล้าง ส่วนจูหมัวมัวก็ถูกลงโทษโบยสามสิบที โทษฐานทำตัวเป็นเจ้านาย บังอาจใช้อำนาจบาตรใหญ่ที่จวนเจ้าเมือง
ฝั่งเรือนซีซวน ห้องนอนใหม่ถูกจัดขึ้นอย่างกะทันหันเพื่อใช้รับรองคุณหนูตระกูลเย่ตามพระบัญชาขององค์หญิงสี่ แน่นอนว่าเรือนฝั่งซ้ายที่นางได้อยู่นั้นเป็นสถานที่หวงห้ามที่เฉินอ๋องไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้ามาใช้มาก่อน แต่ทว่าก็ขัดใจผู้เป็นย่าไม่ได้
“รีบไปตามหมอมา ทำไมเย่ฟางหรูถึงไข้ขึ้นสูงอีก” เฉินอ๋องพูดเสียงเหนื่อยอ่อน ยามปกติเขาอยู่นอกจวนจัดการเรื่องกองทัพดูแลเมืองต้าเยี่ยนยังไม่เหน็ดเหนื่อยเท่ากับหลายวันมานี้
หลิวหมัวมัวส่งคนไปตามหมอมาให้เร็วที่สุด พร้อมทั้งยกน้ำอุ่นและผ้าสะอาดเข้ามาด้วย “ท่านอ๋องให้หม่อมฉันเช็ดตัวคุณหนูเย่ก่อนเถิดเพคะ” แต่ทว่าบุรุษองอาจไม่ยอมลุก มิหนำซ้ำยังใช้ผ้าสะอาดที่ชุบน้ำอุ่นบิดหมาดแล้วเช็ดหน้าให้สตรีที่นอนอยู่บนเตียง กระทั่งเย่ฟางหรูเริ่มมีสติตื่นขึ้น
“ท่านแม่ ข้าปวดไปทั้งตัวเลยเจ้าค่ะ” โฉมงามละเมอออกมา นางคิดว่าตัวเองกลับมาอยู่ที่เมืองเหลียนโจวแล้ว คำพูดนั้นทำให้เฉินอ๋องชะงักฝ่ามือไป
“หลิวหมัวมัวมาดูแลนางต่อ อย่าให้ตายเป็นอันขาด” แล้วบุรุษก็ลุกขึ้นทันที ในใจรู้สึกสับสนอย่างมาก แม้เขาจะรู้แล้วว่านางไม่ได้พูดโกหก เย่ฟางหรูไม่ใช่เย่เหมยหลินที่เป็นคู่หมั้นของเขาจริง ๆ
“เพคะ”
ร่างสูงเดินออกไปแล้ว เขากลับเรือนฝั่งขวาของตนเข้าไปนั่งทำงานในห้องหนังสือจนดึกดื่น ไม่ได้สนใจเรื่องของเย่ฟางหรูอีกเลย
ฝั่งเรือนหมู่ตาน จางเมิ่งลู่ยังไม่ยอมเข้านอนสักทีเพราะรอข่าวอยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง โม่หรานยอมให้ฟางหรูเข้าไปพักในเรือนซีซวนหรือไม่” แน่นอนว่านางส่งคนไปจัดเตรียมห้องที่เรือนปีกซ้ายให้หลานสะใภ้คนใหม่ ดังนั้นจึงอยากให้พวกเขาอยู่ร่วมกันด้วยดี
“เรียบร้อยดีเพคะ แต่เท่าที่สืบรู้มาได้ ท่านหญิงฉีอิ่งสั่งคนไปใช้งานคุณหนูเย่จนร่างกายรับไม่ไหวได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้จึงได้แต่นอนพักรักษาตัวอยู่” ฮุ่ยหมัวมัวรายงาน
“อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ส่งคนของเราไปดูแลนางสักหน่อยเถิด”
ฮุ่ยหมัวมัวรีบก้มหน้ารับคำสั่งแล้วออกไปจัดการทันที จางเมิ่งลู่มีอารมณ์ดีมากนัก จากนั้นก็เข้านอนไปตามปกติ
เช้าวันต่อมา เย่ฟางหรูลืมตาตื่นขึ้น สิ่งไม่น่าเชื่อก็คือทั้งร่างกายที่ระบมบัดนี้มีอาการที่ดีขึ้นมาก หลิวหมัวมัวที่ดูแลสตรีตระกูลเย่ตลอดทั้งคืนก็รีบเข้ามาวัดไข้ทันที “คุณหนู ท่านไข้ลดแล้วนะเจ้าคะ”
“หลิวหมัวมัวดูแลข้าตลอดทั้งคืนเลยหรือเจ้าคะ” เย่ฟางหรูเกรงใจจึงรีบจะลุกขึ้นนั่ง แต่กลับถูกกดหัวไหล่ไว้เสียก่อน
“อย่าเพิ่งรีบลุกเลยเจ้าค่ะ ท่านนอนพักเถิด” เพราะมีรับสั่งของนายหญิงลงมา ทุกคนจึงไม่กล้าทำไม่ดีกับเย่ฟางหรูอีก
“แต่ข้านอนมามากแล้ว อยากเปลี่ยนท่าทางบ้างเจ้าค่ะ” เย่ฟางหรูรู้สึกปวดหลัง หลิวหมัวมัวจึงช่วยพยุงตัวให้ลุกขึ้นนั่งและไม่เซ้าซี้อีก
“นี่เป็นโจ๊กใส่โสมที่นายหญิงประทานมาให้ คุณหนูรีบกินก่อนเถิด เดี๋ยวจะเย็นเจ้าค่ะ” แน่นอนว่าจางเมิ่งลู่นั้นเป็นนายหญิงของจวนเจ้าเมืองนี้ คำสั่งของนางถือว่ามีอำนาจสูงสุด ขนาดว่าเฉินอ๋องก็ยังขัดพระทัยไม่ได้ในบางครั้ง
“อะ เอ่อ...เจ้าค่ะ” เย่ฟางหรูไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะได้รับความเอาใจใส่มากเช่นนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องแก้ไขความเข้าใจผิดนี้ให้องค์หญิงสี่รีบเข้าใจโดยไว นางไม่ใช่คู่หมั้นตัวจริงของเฉินอ๋อง เพราะคนที่หมั้นหมายนั้นคือเย่เหมยหลินต่างหาก แม้ว่าจะหมั้นกันก่อนเกิดก็ตาม ส่วนตัวนางนั้นจะได้หมั้นหมายกับเจ้าเมืองเนี่ยโจวเร็ว ๆ นี้แต่กลับถูกจับตัวมาเสียก่อน และไม่รู้ว่าบิดาจะพามารดาและคนอื่น ๆ หนีไปได้อย่างราบรื่นหรือไม่ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์นี้ก็ทำให้น้ำตาของสตรีไหลอาบแก้ม
“คุณหนูยังปวดที่ตรงไหนอยู่หรือเจ้าคะ” หลิวหมัวมัวแอบสังเกตสีหน้าของคุณหนูเย่แล้วก็เป็นห่วง
“ข้าดีขึ้นมากแล้ว แค่คิดถึงบ้านนิดหน่อยน่ะ” สตรีรีบใช้มือปาดน้ำตาออก มือทั้งสองข้างถูกพันด้วยผ้าขาวสะอาดจนแทบขยับไม่ได้ แต่ก็พยายามจับช้อนแล้วตักโจ๊กขึ้นมาชิมรส