อาลี (2)

2302 Words
วันรุ่งขึ้น อาลีตื่นแต่เช้า ชาวบ้านบางคนเดินมาถามหาซื้อสิ่งของบางอย่าง ซึ่งอาลีก็เปิดหลังรถขายของให้โดยไม่บ่นว่าอะไร เขาหยิบอาหารแห้งหลายอย่างใส่ถุงส่งให้หมี่เล็กที่ออกมายืนหน้าบ้านเพื่อดูว่าเขาทำอะไร “เอาไปไว้ทำอาหารนะ เดี๋ยวผมจะเข้าเมืองไปตามช่างมาซ่อมรถ” หมี่เล็กหิ้วถุงอันหนักอึ้งเข้าบ้านไป ขณะที่อาลีเอาผ้าใบลงปิดท้ายรถอยู่นั้น อาฉ่าก็เดินออกมาจากในบ้าน เขาสะพายย่ามและถือหมวกกันแดดสองใบ "ฉันจะเดินไปเป็นเพื่อน จะได้เข้าไปเที่ยวในเมืองด้วย วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรทำที่บ้าน พวกลูกๆ ไม่ได้ไปไร่ เพราะเป็นวันเสือ” อาฉ่าพูดแล้วก็ส่งข้าวปุกร้อนๆ ที่ห่อในใบตองส่งให้อาลีพร้อมกับกระบอกใส่น้ำชา “นั่งกินให้เสร็จแล้วค่อยไป” ชายหนุ่มโค้งตัวรับข้าวปุกและกระบอกน้ำชา เขาทรุดตัวลงนั่งบนท่อนไม้และบิข้าวเหนียวที่ตำเป็นแผ่นใส่เข้าปาก มันอุ่นและหอมงาสีดำที่ตำละเอียดโรยหน้า มีรสเค็มปะแล่มจากเกลือ มีไข่ต้มสองใบที่ปอกเปลือกแล้วอยู่ในห่อนั้นด้วย เขายิ้มกับอาฉ่าอย่างขอบคุณ อาฉ่าเดินไปที่คอกม้าและจัดแจงใส่เกือกให้ม้าหนุ่ม วันนี้เขาจะพามันเดินลงดอยไปด้วย เขาใช้เวลาครู่ใหญ่ในการพาดอานบนหลังม้าและรัดสายตะกร้าใหญ่ให้สมดุลทั้งสองข้าง อาลีกินข้าวปุกกับไข่ต้มจนหมดและล้างมือแล้ว เขามองอาฉ่าที่จูงม้าหนุ่มพันธุ์เตี้ยออกมาจากใต้ถุนบ้าน อาฉ่าบอกเขาว่าเผื่อมันจะบรรทุกของกลับมา อาลีเข้าใจความคิดของอาฉ่า เขาเอื้อมมือลูบคอเจ้าม้าหนุ่มและผิวปากเบาๆ เจ้าม้าสะบัดหางและเอาจมูกของมันเข้ามาแนบแก้มอาลี “ไปกัน” อาฉ่าพูดแล้วจูงม้าก้าวเดิน อาซึอุ้มเดอเลอมองลงมาจากชานบ้าน หมี่โตและหมี่รองยืนอยู่หลังประตู ส่วนหมี่สามวิ่งลงบันไดมาจับมืออาฉ่าไว้ “หนูอยากไปกับพ่อด้วย หนูไม่เคยเข้าเมืองเลยสักครั้ง” “มันไกลนะลูก” อาฉ่าพูด แต่เมื่อมองดูลูกสาววัยย่างสิบห้าปีที่เติบโตขึ้นจนหัวของเธอสูงเลยไหล่ของเขาแล้ว อาฉ่าก็หันไปถามอาซึ “หมี่สามมีงานต้องทำที่บ้านหรือเปล่า” “ไปเถอะ พี่ดูลูกด้วยนะ อย่าให้ซุกซนหลงทางไป หมี่สามมีเงินติดตัวไปเท่าไร” ประโยคสุดท้ายอาซึถามลูกสาวคนกลางที่ยิ้มหน้าบานอย่างดีใจ “หนูมีหนึ่งเหรียญเงินจ้ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เก็บไว้ซื้อของจำเป็นนะลูก” ดังนั้นอาฉ่า หมี่สาม และอาลีจึงพากันเดินลงจากดอยไปตามทางสู่ตัวเมืองพื้นราบ เจ้าม้าหนุ่มเดินกุบกับเคียงข้างคนทั้งสามไป เมื่อถึงตัวเมืองแล้ว อาลีออกปากถามคนที่ผ่านมาว่าอู่ซ่อมรถอยู่ถนนไหน เมื่อได้รับคำตอบแล้วคนทั้งสามกับเจ้าม้าเตี้ยก็เดินไปจนถึงถนนดังกล่าว ปรากฏว่าที่หน้าอู่มีป้ายเขียนว่า “มีงานศพ ร้านปิดสิบห้าวัน” อาลีอ่านให้อาฉ่าและหมี่สามรู้เรื่อง อาฉ่าถามคนแถวนั้นจนได้ความว่าชายเจ้าของอู่ป่วยตายไปเมื่อสามวันที่แล้ว ลูกชายสองคนของเขาจึงปิดกิจการชั่วคราวเพื่อจัดงานศพ ในตัวเมืองเล็กๆ แห่งนั้นมีอู่ซ่อมรถใหญ่เพียงแห่งเดียว “ต้องรออีกสิบกว่าวัน” อาลีพึมพำกับตัวเอง เขามีสีหน้าครุ่นคิด “จะเอาอย่างไรต่อ” อาฉ่าถามอาลี เขาอยากช่วยเด็กหนุ่มคนนี้ แต่เขาไม่รู้จักใครที่ไหน แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ถึงหญิงปากแดงที่เคยสั่งซื้อชะลอมของเขา อาฉ่าก็ชวนอาลีให้เดินไปยังอีกฟากหนึ่งของตลาด เขาผูกม้าไว้ที่ใต้ต้นไม้ข้างทางและเดินนำคนทั้งสองไปที่ย่านขายผลไม้ จนมาถึงแผงค้าของนางสาลี่ “เจ๊ จำข้าได้ไหม” อาฉ่าส่งเสียงทักถามหญิงร่างท้วมที่นั่งอยู่หลังกองลูกแอปเปิลสีแดงสด นางสาลี่เหลียวมาเห็นคนทั้งสาม นางจำอาฉ่าได้ดี “อ้อ อีตาอาฉ่านี่เอง” นางตอบเสียงดังฟังชัด “แล้วมากับใคร ลูกชายหรือ ไหนว่ามีแต่ลูกสาว” หมี่สามมองนางสาลี่ เธอทำตาปริบๆ หมี่โตและหมี่รองเคยเล่าให้หมี่สามฟังถึงหญิงคนนี้ อาฉ่ายกมือโบกไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ “หนุ่มคนนี้เป็นพ่อค้ารถเร่ รถเขามาตายที่หน้าบ้านข้าเมื่อวานนี้” อาฉ่าตอบ “วันนี้เราเข้าเมืองมาเพราะอยากหาช่างไปซ่อม ที่อู่ติดป้ายไว้ว่าปิดงานศพสิบห้าวัน ข้าเลยเดินมาที่นี่” “อ้อ” นางสาลี่มองอาลี อาลีเองก็มองนาง เขามองออกว่าหญิงผู้นี้คงเป็นคนเชื้อชาติเดียวกับเขา “เจ้าพอจะรู้จักช่างซ่อมรถที่ไหนไหม ช่วยแนะนำพวกเราหน่อย” อาฉ่าถามพลางโบกหมวกพัดตัวเพื่อคลายร้อน อากาศในเมืองแตกต่างจากบนดอย ร่างกายเขาบอกได้ อาลีส่งเสียงพูดกับนางสาลี่ด้วยภาษาที่อาฉ่าไม่เคยได้ยิน นางสาลี่ฟังชายหนุ่มพูด แล้วนางก็ตอบเขาด้วยภาษาเดียวกันอย่างกระตือรือร้น ทั้งสองพูดจาสอบถามกันไปมาครู่ใหญ่ อาลีพยักหน้าสองสามครั้งพร้อมกับเสียงตอบรับ เช่นเดียวกับนางสาลี่ที่กล่าวถ้อยคำและพยักหน้าหงึกๆ จากนั้นนางก็หันมาอธิบายกับอาฉ่า “ฉันบอกหนุ่มพ่อค้าคนนี้ว่าเจ้าของอู่ซ่อมรถที่เป็นไข้ตายไปนั้นมีลูกชายสองคน ลูกชายเขาเป็นช่างซ่อมรถฝีมือดีแถมมีน้ำใจ อีกสิบวันพอทางอู่จัดงานศพเสร็จก็ให้พ่อหนุ่มนี่ไปที่นั่นอีกทีละกัน รับรองต้องเจอตัว พวกคนค้าขายในเมืองนี้รู้จักกันหมดแหละ ฉันจะบอกพวกเขาไว้ว่ามีคนรอใช้บริการ” นางสาลี่พูดกับอาฉ่า “อ้อ” อาฉ่าพยักหน้า หมี่สามมองผลแอปเปิลที่นางสาลี่จัดใส่ชะลอมสีแดงก่อนส่งเสียงถาม “ลูกอะไรจ๊ะคุณน้า” นางสาลี่มองใบหน้ากลมเกลี้ยงของหมี่สาม นางบอกด้วยเสียงชัดเจน “ลูกแอปเปิล อร่อยดีนะ ชะลอมละหนึ่งเหรียญเงิน” “ถ้าอย่างนั้นฉันขอซื้อหนึ่งชะลอมจ้ะ” หมี่สามควักเหรียญเงินส่งให้นางสาลี่ อาฉ่านึกอะไรออกอย่างหนึ่ง “ปีที่แล้วเจ้าฝากผลไม้ไปให้พวกเราได้กินที่บ้าน ข้ายังไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณ” “เอ่อ ฉันลืมไปแล้ว ไม่เป็นไรหรอก” นางสาลี่ตอบก่อนหันไปมองอาลีแล้วถามอายุเขา “ยี่สิบสองครับ” อาลีตอบ หลังจากพูดคุยกันอีกสองสามคำอาฉ่าก็บอกลานางสาลี่ ทั้งสามคนเดินไปเอาม้าที่ผูกไว้ อาลีนึกอะไรได้จึงขวนอาฉ่าและหมี่สามเดินไปตามบ้านคนที่เลี้ยงวัวและซื้อน้ำนมใส่ถุงหนังที่เขาหิ้วติดตัวไป หมี่สามดีใจจนน้ำตาคลอเมื่อรู้ว่าเธอจะได้ทำขนมเค้กด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้ อาลีรับปากว่าจะสอนให้เธอทำทุกขั้นตอน อาลีแวะซื้อของอีกหลายอย่างเพื่อนำไปขายที่หมู่บ้าน เขาขออนุญาตอาฉ่าให้เจ้าม้าหนุ่มช่วยบรรทุกของที่เขาซื้อไป “ผมคงต้องเปิดท้ายรถขายของทุกวันเพื่อจะมีรายได้” อาลีอธิบายให้อาฉ่าเข้าใจ “ค่าซ่อมรถคงต้องใช้เงินมาก” “นั่นสิ ที่ฉันเอาเจ้าม้ามาด้วยก็เพื่องานนี้แหละ” อาฉ่าบอกชายหนุ่ม อาลีซื้ออาหารกลางวันเลี้ยงอาฉ่าและหมี่สามเพื่อแสดงการขอบคุณที่อาฉ่าพาเขามายังตัวเมืองและยังให้เจ้าม้าช่วยบรรทุกของ บ่ายวันนั้น เมื่อกลับถึงบ้าน อาลีเอาของลงจากหลังม้าและเปิดหลังรถบรรทุกเพื่อขายของให้แก่ชาวบ้านที่มาถามซื้อของจำเป็น พวกเขาชอบอกชอบใจที่อาลีรถเสียและตั้งร้านอยู่ตรงนั้น “ขายของใต้ต้นลิ้นจี่นี่ก็สบายดีนะ” อาพีเดินออกมาซื้อยาเส้นสองเหรียญทองแดง ซึ่งอาลีหยิบยาเส้นห่อกระดาษขายให้ด้วยหน้าตายิ้มแย้ม หญิงชราคนหนึ่งเดินมาซื้อไม้ขีดไฟ อาลีพูดจากับนางอย่างดียิ่ง เขาไม่บ่นหรือรังเกียจคนที่มีเงินมาซื้อของเพียงเหรียญเดียว ทุกคนคือลูกค้าผู้มีอุปการคุณ เมื่อไม่มีคนมาซื้อสิ่งของแล้ว อาลีดึงผ้าใบคลุมปิดท้ายรถ จากนั้นก็เดินเข้าไปใต้ถุนบ้าน เขายิ้มออกมาเมื่อเห็นอาฉ่า หมี่โต และหมี่รองขุดดินเหนียวจากสวนหลังบ้านมากองไว้ใต้ถุนอย่างมากมาย จากนั้นอาฉ่าถือเคียวเดินเข้าป่าเพื่อไปเกี่ยวหญ้ามาเลี้ยงม้าและวัว “เราต้องมีไม้ท่อนมารอง” อาลีบอกสามพี่น้อง “เอากี่อันจ๊ะ” หมี่โตถาม “เราต้องใช้ประมาณสิบท่อนครับ เราจะทำฐานรอง ใช้ท่อนฟืนอันโตๆ ได้ครับ ขอเป็นไม้เนื้อแข็งนะ” อาลีบอก หมี่โต หมี่รอง และหมี่สามหันตัวไปที่กองฟืน พวกเธอดึงท่อนไม้กลมขนาดใหญ่ออกมาและยกไปวางไว้ตรงบริเวณที่อาลีกำลังใช้จอบขุดดินลงไป การทำเตาอบเริ่มขึ้นด้วยความสนุกสนาน อาลีรู้สึกประทับใจความแข็งแรงของหมี่โต หมี่รอง และหมี่สาม รวมทั้งหมี่เล็กที่สามารถทำงานหนักได้ พี่น้องสี่สาวมีความขยันขันแข็งอันเป็นนิสัยประจำตัว นอกจากนั้นพวกเธอยังชอบการเรียนรู้สิ่งใหม่ การปั้นเตาอบด้วยดินเหนียวต้องใช้แรงกายและความชำนาญ อาลีมีความรู้ในเรื่องนี้จากครอบครัวของเขาที่บริโภคอาหารประเภทขนมปังและแป้งอบเป็นอาหารหลัก “เราต้องรอให้เตาแห้งหนึ่งคืน พรุ่งนี้ค่อยเอาถ่านมาใส่ให้มันอุ่น แล้วเราจะหัดทำขนมเค้กกัน” อาลีบอกพลางปัดดินออกจากมือ เขามองพี่น้องสี่สาวที่เสื้อผ้าเปื้อนเปรอะไปด้วยโคลน “พวกเธอเก่งจริงๆ” เขาเอ่ยชมและหัวเราะออกมานิดหน่อยเมื่อหมี่รองเอามือเปื้อนๆ ปาดเหงื่อบนหน้าผาก “น้ำนมวัวที่พี่อาลีซื้อมาจะไม่บูดหรือจ๊ะ” หมี่สามถามด้วยความเป็นห่วง “ไม่บูดหรอก ถุงหนังจะทำให้น้ำนมคงสภาพอยู่สองสามวัน แต่ถ้านานกว่านั้นมันจะกลายเป็นนมหมัก ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ครอบครัวผมดื่มเป็นประจำ มันช่วยระบายท้อง” อาลีอธิบาย หลังจากนั้นอาลีก็เดินออกไปนั่งพักผ่อนที่ใต้ต้นลิ้นจี่ เขาควักหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน มันเป็นหนังสือสวดมนต์ในศาสนาของเขา อาลีนั่งอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ ขณะที่สี่สาวพี่น้องเดินไปอาบน้ำที่ลำห้วยและหิ้วผลน้ำเต้าแห้งติดมือไปด้วยเพื่อบรรจุน้ำมาใช้ในบ้าน ยามเย็นวันนั้น อาลีเปิดท้ายรถบรรทุกเพื่อขายของอีกครั้ง พวกแม่บ้านชวนอาลีคุย พวกนางถามเขาว่าจะซ่อมรถวันไหน “ตอนนี้ที่อู่ปิดชั่วคราวครับ เขาติดงานศพ ผมคงต้องอยู่แถวนี้ไปอีกสิบวันแล้วจะไปตามช่าง” “อ้อ แหม ดีจริงๆ อย่างนั้นเราก็ยังมีที่ซื้อของใช้อีกสิบวันสินะ ความจริงที่ใต้ต้นลิ้นจี่นี้ทำเลดี น่าจะทำร้านค้าถาวรไปเลย” หญิงคนหนึ่งออกความเห็น “นั่นสิ ลูกสาวบ้านนี้เขาก็ยังไม่มีคู่เลยสักคน” อีกคนโพล่งขึ้น อาลียิ้มแล้วก้มหน้า เขารู้อยู่แก่ใจตนเองว่าเขาคงไม่อาจสานสัมพันธ์กับหญิงนอกศาสนาได้ เพราะที่บ้านของเขาคงไม่ยอมรับ การแต่งงานถือเป็นแนวทางของการดำเนินชีวิตซึ่งมีหลักเกณฑ์หลายประการตามคำสอนของศาสดา “คนโตสองคนทั้งเก่งทั้งหน้าตาดีนะ” อีกเสียงหนึ่งกล่าวรับราวกับเป็นลูกคู่ “หมี่โตอายุสิบเก้าก็น่าจะออกเรือนได้แล้ว หมี่รองสิบเจ็ดกำลังดี” เมียของอาพีที่เดินออกจากบ้านมาสมทบกับเหล่าแม่บ้านกระซิบคุย “หาเงินกันเก่งทั้งสองคน เขาปักเสื้อไปขายที่ตลาดได้ตัวละห้าสิบเหรียญเลยละ แถมตอนนี้ยังเตรียมทำย่ามทำกระเป๋าสตางค์ขาย อีกหน่อยจะร่ำรวยกันใหญ่” อาลียิ้มและบอกเหล่าแม่บ้าน “พรุ่งนี้ตอนบ่ายลูกสาวคนที่สามของบ้านนี้จะทำขนมเค้กขายนะครับ” “ขนมอะไรนะ” หญิงแม่บ้านคนหนึ่งถาม “ขนมเค้กครับ พรุ่งนี้ตอนเย็นมาคอยซื้อนะครับ อาจแพงกว่าขนมอื่นๆ นิดหน่อย แต่รับรองว่ามันอร่อยมาก หมี่สามจะแสดงฝีมือให้เต็มที่เลยละครับ” อาฉ่าที่ยืนอยู่ริมรั้วได้ฟังสิ่งที่อาลีพูดกับเหล่าแม่บ้าน เขาหัวเราะออกมาเบาๆ หมี่สามคงตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเป็นแน่ที่จะได้ลงมือทำขนมเค้กด้วยตัวเอง เธอรอวันนี้มาตลอดทั้งปี
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD