บทที่ 4 อาลี
บ่ายวันหนึ่งชาวหมู่บ้านหลี่ผะได้ยินเสียงตะแล้นแป๊นๆ ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของเทือกเขา
“เสียงแตรรถของชาลิม!” หมี่รองผู้กำลัง ก้มๆ เงยๆ อยู่ในไร่ร้องบอกหมี่โตและน้องทั้งสอง
“งั้นเดี๋ยวเราเตรียมกลับบ้านกันดีกว่า รีบๆ เก็บหญ้าให้หมดแปลงกันเถอะ” หมี่โตเงยหน้าขึ้นพูดกับน้องสาว เหงื่อเกาะพราวที่ใบหน้าของเธอ
“ฉันจะซื้อขนมเค้กของชาลิมมาลองกินอีกครั้งเพื่อจำรสชาติให้แม่นๆ” หมี่สามพูดกับพี่สาวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ฉันจะถามชาลิมว่าเราต้องใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง เพราะฉันใกล้จะได้หัดทำขนมเค้กแล้ว แม่วัวของเราตั้งท้องตั้งแต่สองเดือนที่ผ่านมา พ่อบอกว่ามันจะออกลูกหลังวันปีใหม่”
สี่สาวรีบเก็บหญ้าจนหมดแปลงข้าวสาลีที่พวกเธอปลูกเป็นครั้งที่สาม
หมี่โตเดินนำหน้าน้องๆ ขณะที่เสียงตะแล้นแป๊นๆ ดังใกล้ถึงบ้าน ครู่ใหญ่ผ่านไปพี่น้องทั้งสี่ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ มันติดขัดปึงๆ ปังๆ เหมือนคนป่วยที่มีอาการไอและจาม
คนหนุ่มสาวที่รีบกลับจากไร่ คนสูงอายุ และเด็กๆ ที่ยืนรอซื้อสินค้าอยู่บนลานหมู่บ้านต่างป้องหน้ามองรถคันดังกล่าว
“สงสัยจะมาตายที่นี่” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาหมายถึงรถ
“ชาลิมคงจะได้เปลี่ยนรถใหม่คราวนี้” อีกเสียงหนึ่งพูด
เสียงแตรรถดังขึ้นอีกอีกครั้ง คราวนี้มันส่งเสียงถี่ๆ ไม่เป็นจังหวะ ราวกับเป็นการเตือนพวกเด็กๆ ให้ถอยห่างจากรถที่ทำท่าจะขึ้นมาไม่ถึงลานหมู่บ้าน
บรรดาคนที่ยืนอยู่บนลานพากันแตกฮือเมื่อรถบรรทุกเร่งเครื่องจนควันดำ เครื่องยนต์ส่งเสียงไอดังปังๆ ติดต่อกันไป
“คนขับไม่ใช่ชาลิมนี่!” เสียงหนึ่งบอก
ทันใดนั้นชายหนุ่มคนขับรถก็ชะโงกตัวออกมาจากทางหน้าต่างและโบกมือให้ผู้คนถอยออกจากลาน
“รถเบรกแตก!” ชายคนนั้นตะโกนบอกให้ชาวบ้านรู้ปัญหาขณะที่เขาพยายามบังคับรถที่กำลังพุ่งพรวดขึ้นสู่ลานหมู่บ้าน เขาเพ่งตามองผู้คนที่กระโดดหนีและหันไปเห็นถนนอีกเส้นหนึ่งอยู่ข้างหน้า เขาหมุนพวงมาลัยอย่างเร็วให้รถเลี้ยวไปทางนั้น
เสียงเด็กๆ เฮกันอย่างสนุกเมื่อรถบรรทุกตะบึงแล่นไปทางถนนเส้นเล็ก พวกผู้ชายวิ่งตามรถไปด้วยความอยากรู้ว่ามันจะหยุดลงที่ตรงไหน
“โครม!”
ต้นลิ้นจี่ที่อยู่มุมรั้วบ้านของอาฉ่าสามารถสกัดรถบรรทุกคันนั้นไว้ได้ ดอกสีชมพูที่บานเต็มต้นลอยคว้างและพากันร่วงใส่หลังคารถที่คลุมผ้าใบราวกับปูด้วยพรมสีหวาน
เดอเลอที่นั่งเล่นอยู่ในครัวส่งเสียงร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ อาซึรีบอุ้มลูกน้อยขึ้นมากอดไว้แนบอกพร้อมกล่าวคำปลุกปลอบ อาฉ่าถลันออกมาหน้าบ้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น ขณะเดียวกับที่พี่น้องสี่สาวเดินมาถึงริมรั้ว พวกเธอมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถนัดตา
“ชาลิมเป็นอะไรหรือเปล่า!” หมี่สามวิ่งไปที่ประตูด้านคนขับ แล้วเธอก็ต้องตกใจที่เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งกุมพวงมาลัยแน่น
“อ้าว เอ๋!” หมี่สามอุทานและยั้งตัวไว้ “ไม่ใช่ชาลิมนี่”
เสียงฟู่ๆ จากหม้อน้ำหน้ารถทำให้บรรดาเด็กๆ ตกใจ พวกเขากระโดดถอยหลังเมื่อเห็นไอน้ำพลุ่งขึ้นเป็นควันสีขาว
ชายหนุ่มร่างสูงผู้เป็นคนขับขยับตัว ครู่หนึ่งเขาเปิดประตูรถลงมา เมื่อมองเห็นหน้ารถอัดติดแน่นกับต้นไม้ เขาก็ส่ายหัวและพูดพึมพำกับตัวเอง
ในเวลาเดียวกันอาฉ่ายกหินก้อนใหญ่แหวกผู้คนเข้าไป เขาวางก้อนหินจนชิดกับล้อรถด้านหน้า อาพียกหินอีกก้อนมาวางไว้ที่ล้อรถอีกด้านหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้รถไหลไปทับคนหรือพังรั้วบ้าน
“ขอบคุณครับ” ชายหนุ่มที่เป็นคนขับรถค้อมตัวพูดกับอาฉ่าและอาพี
“ชาลิมไม่มาด้วยเรอะ” หลี่ผะผู้เฒ่าส่งเสียงถามมาจากเบื้องหลัง
“พ่อไม่สบายครับ ผมเลยเอารถของพ่อออกมาตระเวนขายของแทนเขา ผ่านมาแล้วเกือบสิบหมู่บ้าน เหลือแต่ที่นี่เป็นแห่งสุดท้าย ไม่นึกว่ามันจะมาเบรกแตกเอาตอนนี้” ชายหนุ่มตอบด้วยภาษาของชาวดอย
“คนไม่บาดเจ็บก็ดีแล้ว” อาฉ่าพูดพลางแหงนมองต้นลิ้นจี่ที่ดอกร่วงเกือบหมดต้นจากแรงสะเทือนที่ถูกรถบรรทุกชน
“ผมต้องขอโทษคุณน้าด้วยครับที่ตัดสินใจหันหัวรถเข้าไปที่ต้นไม้ เพราะไม่เช่นนั้นมันอาจชนรั้วและพุ่งเข้าไปในบ้าน” ชายหนุ่มกล่าว “เอ่อ ผมชื่ออาลีครับ”
“อ้อ” อาฉ่าพยักหน้าและโบกมืออย่างเข้าใจสถานการณ์ เขาเองก็นึกดีใจที่เรื่องมันเป็นเช่นนี้ เพราะหาไม่แล้วเดอเลอหรืออาซึที่อยู่ในบ้านอาจได้รับบาดเจ็บ
พวกชาวบ้านและเด็กๆ ที่มุงอยู่ต่างยังยืนปักหลักอยู่ที่หน้าบ้านอาฉ่า เพราะพวกเขาต้องการซื้อสินค้าบางอย่าง อาลีเมื่อเห็นดังนั้นจึงพูดขออนุญาตอาฉ่าใช้พื้นที่ใต้ต้นลิ้นจี่เป็นที่ขายของ อาฉ่าบอกว่าไม่เป็นไร เขารู้สึกพอใจที่ชายหนุ่มคนนี้เป็นผู้มีมารยาท
อาลีจัดแจงคลายเชือกที่มัดท้ายรถไว้อย่างแน่นหนาออก เขาเปิดผ้าใบพลิกตลบไปบนหลังคา กลีบดอกลิ้นจี่ร่วงกราวลงไปที่พื้นและถูกผู้คนที่มารอซื้อของเหยียบย่ำ
อาซึอุ้มเดอเลอนั่งอยู่บนชานบ้าน นางมองรถบรรทุกคันใหญ่ที่หน้าหม้อรถยังมีไอน้ำพลุ่งขึ้นมาเล็กน้อย ผู้คนหญิงชายเด็กผู้ใหญ่ต่างตีวงเข้ามาทยอยซื้อของกินของใช้ที่ด้านหลังรถ อาลีจัดการขายให้ทุกคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแม้ว่ารถของเขาจะเพิ่งมีอุบัติเหตุ เขาพูดภาษาของชาวดอยได้อย่างแคล่วคล่อง ชาลิมคงฝึกหัดให้ลูกชายค้าขายมาตั้งแต่เด็ก
หมี่โตและน้องๆ เมื่อเอาตะกร้าผักจากไร่ไปเก็บที่ในครัวแล้ว ทั้งหมดก็ออกมายืนรอซื้อของเช่นกัน
“ไม่ต้องใจร้อนหรอกลูก อย่างไรเสียรถคันนี้ก็ต้องจอดอยู่หน้าบ้านเราอย่างนี้อีกหลายวัน” อาฉ่าพูดกับลูกสาว
“ชนแรงจนดอกลิ้นจี่ร่วงหมดต้นเลย ปีนี้เลยไม่ต้องได้กินของอร่อย” อาพีกล่าวขึ้นเมื่อมองบนพื้นดินที่พราวไปด้วยชีชมพู
อาฉ่าแหงนมองต้นลิ้นจี่อีกครั้ง เขาหัวเราะเบาๆ อย่างไม่รู้จะคิดอย่างไร เขาเคยหวงแหนลิ้นจี่ต้นนี้ขนาดเอาไม้ไล่ตีเด็กที่มาปีนเก็บผลของมันไปชิม จนกระทั่งมันออกลูกเต็มต้นและเขาก็ขายผลลิ้นจี่ไม่ได้แม้แต่พวงเดียว มาตอนนี้มันถูกรถบรรทุกคันใหญ่พุ่งชนแต่ยังยืนต้นอยู่อย่างแข็งแกร่ง มันป้องกันบ้านเขาจากอันตราย
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป
ผู้คนต่างซื้อข้าวของและกลับบ้านตัวเองไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงผู้ชายสามสี่คนที่นั่งยองๆ มองดูรถที่จอดนิ่งสนิทอยู่นอกรั้วบ้านอาฉ่า
หมี่โต หมี่รอง หมี่สาม และหมี่เล็กพากันเดินเข้าไปชะโงกหน้ามองสินค้าในรถซึ่งยังมีเหลืออีกมาก
“ต้องการซื้ออะไรครับ” อาลียกกระติกน้ำขึ้นเทใส่ปากด้วยท่าทางหมดแรง น้ำหมดกระติกไปนานแล้ว เขาหัวเราะออกมาเก้อๆ
“ส่งกระติกมาจ้ะ เดี๋ยวฉันเอาไปใส่น้ำมาให้ดื่ม บ้านฉันอยู่ตรงนี้” หมี่โตยื่นมือออกไป
“บ้านนี้หรือ” ชายหนุ่มชี้มือไปที่รั้วบ้านซึ่งรถของเขาพุ่งชนต้นไม้ที่หัวมุม
“จ้ะ” หมี่โตตอบและรับกระติกมา เธอวิ่งขึ้นบ้านไปครู่หนึ่งและวิ่งกลับมาส่งกระติกให้อาลี เขาดื่มน้ำเย็นจากกระติกอย่างกระหาย
“มีขนมเค้กติดมาขายด้วยหรือปล่าวจ๊ะ” เสียงหมี่สามพูดขึ้นข้างหลังหมี่โต
อาลีมองใบหน้ากลมของเด็กหญิงที่เริ่มเข้าสู่วัยสาว ดวงตาดำขลับจ้องมองเข้ามาในรถอย่างอยากรู้ เขาตอบไปว่า
“มีเหลือหนึ่งก้อนครับ ผมขายที่หมู่บ้านก่อนหน้าไปหลายกล่อง พวกเขากำลังมีงานขึ้นบ้านใหม่เลยซื้อไปเกือบหมด เหลือก้อนสุดท้ายที่ถูกกล่องข้างบนทับจนแบนเลยไม่มีใครเอา เดี๋ยวผมลดราคาให้ก็แล้วกันถ้าเธออยากได้” อาลีพูดอธิบาย เขาเอี้ยวตัวไปที่ชั้นวางของด้านหลัง แล้วเขาก็หันไปมาเพื่อจะพบว่ากล่องขนมเค้กดังกล่าวตกลงมาที่พื้นรถจากแรงกระเทือนของการชนต้นไม้
“โอ้ แย่จริง!” เขาอุทานออกมาขณะเปิดกล่องออกดู ขนมเค้กก้อนนั้นนอกจากแบนเสียรูปแล้วมันยังเละกระจาย ชายหนุ่มหันไปพูดกับหมี่สาม “มันไม่น่ากินแล้วครับ”
หมี่สามมองขนมเค้กที่เละเทะอยู่ในกล่อง เธอทำตาปริบๆ อย่างไม่รู้จะตอบอะไร
อาฉ่าที่เดินเข้ามาสมทบกับหมี่สามยื่นหน้าไปมองขนมเค้กก้อนนั้น เขาพูดกับอาลี
“ที่บ้านฉันมีอาหารร้อนๆ เธออยากจะแลกไหม เธอเอาขนมกล่องนี้ให้ลูกสาวฉันไป เดี๋ยวพอขายของเสร็จก็มากินข้าวด้วยกัน อย่างไรเสียเธอต้องอยู่แถวนี้อีกหลายวันกว่ารถจะซ่อมเสร็จ”
ชายหนุ่มมองอาฉ่าแล้วยิ้มออกมาพร้อมกับตอบรับ “ได้ครับ” เขายื่นกล่องขนมเค้กให้หมี่สามอย่างเต็มใจ “ต้องขอโทษนะครับที่ผมเอาของไม่ดีให้”
“ไม่เป็นไรจ้ะ” หมี่สามรับกล่องขนมเค้กอย่างยินดี “ฉันกำลังจะหัดทำขนมเค้กจ้ะ ฉันอยากรู้ว่ามันมีส่วนผสมอะไรบ้าง ครั้งที่แล้วฉันกินมันหมดไปทั้งชิ้นโดยไม่ทันสังเกต”
“อ้อ อย่างนั้นหรือ” อาลีมองหมี่สามที่กอดประคองกล่องขนมเค้กไว้อย่างทนุถนอม แม้ว่าสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้นจะไม่เป็นรูปร่างแล้ว
จากนั้นหมี่โตและหมี่รองพากันเลือกซื้อด้ายสีสวยและลูกปัดไว้จำนวนมาก ส่วนหมี่เล็กซื้อหนังสือนิทานที่มีภาพประกอบหนึ่งเล่ม
เมื่อไม่มีใครซื้อของแล้ว ชายหนุ่มดึงผ้าใบกลับลงมาปิดท้ายรถไว้ จากนั้นเขาเดินไปที่หน้ารถ
“ต้องไปตามช่างในเมืองให้ขึ้นมาซ่อมละมั้ง” อาฉ่าที่ยืนมองหน้าหม้อรถอยู่เอ่ยขึ้น
“คงต้องอย่างนั้นครับคุณน้า ผมไม่มีความรู้ทางเครื่องยนต์มากเท่าไร พ่อผมซ่อมรถคันนี้มาหลายครั้งแล้ว แต่เรายังไม่มีเงินซื้อรถคันใหม่ พ่อจึงจำใจใช้รถคันนี้เรื่อยมา หากมันเสียกลางทาง เขาก็ซ่อมได้ เพราะเขารู้เรื่องเครื่องยนต์พอสมควร” ชายหนุ่มพูดกับอาฉ่า
“แต่เธอก็เก่งนะ ขับรถค้าขายคนเดียวได้” อาฉ่าพูดชม “อ้อ เธอจะเข้ามานั่งพักที่ใต้ถุนบ้านก็ได้ เรามีวัวสองตัว ม้าหนึ่งตัว มีไก่อีกเล้าหนึ่ง อีกสักพักถ้าอาหารเสร็จ ฉันจะให้เด็กมาเรียก”
“ขอบคุณครับ ผมต้องขอโทษอีกครั้งที่เอารถมาชนต้นไม้ของคุณน้า”
อาฉ่าโบกมือเป็นการบอกให้เลิกขอโทษเรื่องนี้
หมี่โตและหมี่รองเมื่อเอาเส้นด้ายและลูกปัดไปเก็บในห้องแล้วก็เข้าครัวช่วยกันทำอาหาร ส่วนหมี่สามปาดขนมเค้กเละๆ ที่มีส่วนประกอบเป็นผลไม้แห้งหลายชนิดใส่หม้อโลหะใบหนึ่ง เธอผสมแป้งที่บดจากข้าวสาลีหนึ่งกำมือลงไป จากนั้นจึงนำเมล็ดถั่วสามชนิดมาคลุกเคล้า เธอใช้ไม้พายกวนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
“ฉันจะเอาหม้อขนมเค้กวางบนเตาที่ยังร้อนอยู่นะจ๊ะ” หมี่สามบอกพี่ๆ ซึ่งต่างพยักหน้าเห็นด้วย เธอยกหม้อวางบนเตาที่มีถ่านเพียงเล็กน้อย
ครู่หนึ่งผ่านไป หม้อที่เริ่มร้อนทำให้สิ่งที่อยู่ในนั้นจับตัวเป็นก้อนกลม
“มันส่งกลิ่นหอมมากเลยนะพี่หมี่สาม” หมี่เล็กขยับตัวไปใกล้และสูดกลิ่นที่กรุ่นออกมา
“โชคดีที่อาลีให้ขนมเค้กเรามาโดยไม่คิดเงิน”
“ก็เขาเอารถมาชนต้นลิ้นจี่หน้าบ้านเรานี่”
“มันไม่ใช่ต้นลิ้นจี่บ้านเราแล้วนะ พ่อขยับกั้นรั้วใหม่ให้มันไปอยู่นอกเขตบ้านตั้งแต่ปีที่แล้ว
“นั่นละที่เป็นโชคดีอีกชั้นหนึ่ง เพราะไม่อย่างนั้นพ่อต้องซ่อมรั้วใหม่”
เสียงคุยกันจุ๊กจิ๊กพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคักดังอยู่รอบเตาไฟ บรรยากาศผสมผสานไปด้วยความแปลกใหม่ กลิ่นขนมเค้กเจือกลิ่นควันไฟผสานกับกลิ่นอาหารในถ้วยที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะไม้ไผ่ สาวน้อยทั้งสี่มีประกายตาแวววับด้วยความสุข
“เรียกอาลีให้ขึ้นมากินข้าว” อาฉ่าสั่งลูกสาว
หมี่เล็กกระโจนลุกจากหน้าเตาไฟที่กำลังส่งกลิ่นน้ำตาลไหม้อันหอมหวานผสมกลิ่นเนย หมี่สามจับตามองขนมเค้กในหม้อ หน้าเค้กที่ประกอบด้วยถั่วและผลไม้แห้งเป็นสีเหลืองเข้มน่าลิ้มลอง เธอยิ้มออกมาอย่างยินดี
อาฉ่าจัดอาหารวางบนโต๊ะเตี้ยสำหรับตัวเขาและอาลีนั่งกินด้วยกันในห้องด้านหน้าซึ่งเป็นห้องนอนของเขาและเป็นห้องรับแขก ส่วนลูกสาวทั้งสี่และอาซึนั่งกินอีกวงหนึ่งในครัว อันที่จริงอาฉ่าและครอบครัวนั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกันทุกเวลาค่ำที่ในครัว แต่วันนี้อาลีถือเป็นแขกรับเชิญที่ห่างเหินจากความเป็นญาติสนิท อาฉ่าจึงต้องนั่งกินกับเขาตามธรรมเนียม
“พี่อาลีมาแล้วจ้ะพ่อ” เสียงหมี่เล็กตะโกนขึ้นมาจากบันไดบ้าน
อึดใจหนึ่งชายหนุ่มก้าวขายาวๆ ขึ้นบันไดตามหลังหมี่เล็กที่วิ่งผ่านอาฉ่าเข้าไปในครัว อาลีมองโต๊ะไม้ไผ่ตัวเตี้ยที่วางอาหารไว้สองอย่าง ถ้วยใส่ข้าวร้อนๆ และผักสด เขาทรุดตัวลงนั่งขัดตะหมาดแล้วมองเลยเข้าไปในครัว ผู้หญิงห้าคนหันมามองเขาและยิ้มให้ เด็กน้อยอีกคนที่อยู่ในเปลจับจ้องสายตามองเขาอย่างแปลกใจ
“กินข้าวด้วยกัน” อาฉ่าพูดกับอาลี เขาหยิบตะเกียบและคีบอาหารอย่างหนึ่งใส่ลงในถ้วยของอาลี
“ขอบคุณครับ”
“ศาสนาของเธอมีข้อห้ามเรื่องอาหารหรือเปล่า” อาฉ่าออกปากถาม เขารู้ว่าชาลิมและอาลีนับถือศาสนาที่มีกฎและหลักปฏิบัติแตกต่างจากพวกเขา
“มีหลายอย่างครับ เราไม่กินเนื้อหมู ไม่กินเนื้อไก่ที่ไม่ได้ฆ่าโดยคนในศาสนาของเรา ไม่กินเลือดสัตว์ทุกชนิด” อาลีตอบ เขาคีบเนื้อไก่ที่อาฉ่าส่งให้ใส่ปาก “แต่ผมไม่เคร่งครัดมากครับ ผมเพียงไม่กินเนื้อหมูกับเลือด ส่วนอย่างอื่นหากไม่อยู่ในบ้าน ผมก็กินได้ทุกอย่าง”
“คนเดินทางค้าขายในที่แปลกถิ่นถ้าปรับตัวได้ก็ไม่ลำบาก” อาฉ่าพูดก่อนเคี้ยวข้าวและตักต้มจืดซดดังโฮก
“ใช่ครับ” อาลีตอบ เขาคีบผักใส่ปากคำแล้วคำเล่า “อร่อยมากครับ”
หมี่โตและน้องๆ เงี่ยหูฟังบทสนทนาของชายสองคนในห้องหน้าบ้าน พวกเธอกินอาหารเสร็จแล้วและรอเวลาจะได้กินขนมเค้กที่ส่งกลิ่นยวนใจ หมี่สามขยับตัวชะโงกหน้ามองเข้าไปในหม้อที่ตั้งอุ่นบนเตาไฟ ขนมเค้กในนั้นมีสีน้ำตาลเสมอกันทั้งก้อน ผลไม้แห้งสีชมพู สีส้ม สีน้ำตาลอ่อน และถั่วสามชนิดลอยหน้าขึ้นมาจนทำให้มันดูเหมือนขนมเค้กที่พร้อมขาย
“ตัดแบ่งไปให้พ่อกับเด็กหนุ่มคนนั้นกินสักจานสิลูก” อาซึบอกหมี่สามที่หน้าแดงอย่างดีใจ ขนมเค้กที่เธอปรับปรุงใหม่จะมีโอกาสได้รับแขก
อาฉ่ากับอาลีกำลังคุยกันด้วยเรื่องต่างๆ อาลีบอกเล่าให้อาฉ่ารับฟังว่าเขาเป็นลูกชายคนกลางของชาลิม แม่ของเขาเป็นภรรยาคนที่สอง
“เมียคนแรกของพ่อผมมีแต่ลูกผู้หญิง เขาไม่เห็นว่าเป็นปัญหาอะไร แต่พวกญาติพี่น้องก็ช่วยกันหาเมียคนที่สองมาให้ ซึ่งก็คือแม่ของผม มีเรื่องน่าประหลาดใจคือแม่ผมมีแต่ลูกชาย โดยที่ผมเป็นคนกลาง ผมยังมีน้องชายอีกสองคน พ่อผมรักลูกเสมอกันทั้งหญิงชาย โดยพ่อมีคำสอนให้ทุกคนทำตามหลักศาสนา ขยันขันแข็ง หมั่นทำงาน พี่น้องต้องเอื้อเฟื้อกัน และมีความกตัญญู” อาลีจบคำพูดของเขาและกินอาหารต่อ
หมี่โตจำได้ถึงการที่ชาลิมขายของอย่างใจดีให้พวกเธอสี่พี่น้องเมื่อรู้ว่าหมี่เล็กต้องการผ้าห่มไปให้น้องที่ยังอยู่ในครรภ์ หมี่สามต้องการขนมอร่อยๆ ไปให้พ่อและแม่ หมี่รองและหมี่โตต้องการด้ายและลูกปัดเพื่อทำเสื้อผ้าให้คนในครอบครัวใส่
“แล้วเธอจะทำอย่างไรต่อ” อาฉ่าถาม เขารู้สึกประหลาดใจตนเองที่อยากช่วยเหลือชายหนุ่มคนนี้ อาจเป็นเพราะเขาเคยต้องการมีลูกชายมานั่งกินข้าวร่วมวง และอาลีเองก็มีมารยาท พูดจาดีสมเป็นคนค้าขาย
“พรุ่งนี้ผมจะลงจากดอยเข้าเมืองไปที่อู่ซ่อมรถ ผมจะขอให้ช่างเดินทางมาซ่อมหม้อน้ำและเปลี่ยนอะไหล่เบรก” อาลีกล่าวบอกแผนการของเขา อาฉ่าพยักหน้า
“ระยะทางสิบสองกิโลเมตรจากหมู่บ้านนี้เข้าเมืองหากเดินไปก็ประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ม้าหนุ่มของฉันไม่ชินกับการให้คนแปลกหน้าขี่หลัง ไม่อย่างนั้นฉันจะให้เธอขอยืม”
“ผมคงไม่รบกวนคุณน้ามากขนาดนั้น แค่ได้กินอาหารหนึ่งมื้อผมก็เกรงใจมากแล้ว” อาลีกล่าวและยกกระบอกน้ำขึ้นดื่ม หากเขาเป็นคนมีอายุ อาฉ่าจะรินน้ำชาให้
“เธอไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนเข้ามาจี้ปล้นเอาสินค้าในรถของเธอไปนะ ในหมู่บ้านนี้มีแต่คนดีๆ ทั้งนั้น พวกเราเป็นญาติพี่น้องกันทั้งหมด พวกเขาก็อยากจะช่วยเธอ แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร”
อาลียิ้มแล้วค้อมศีรษะแสดงความขอบคุณอาฉ่าที่พูดจาให้เขาสบายใจ
“เดี๋ยวผมคงต้องไปหาที่อาบน้ำชำระร่างกาย ผมนอนในรถได้ครับ”
“อ้อ” อาฉ่าตอบรับ เขามองไปทางห้องครัวที่บรรดาลูกสาวของเขากำลังสาละวนกับการตัดแบ่งขนมเค้ก
แล้วหมี่สามก็ยกจานที่ส่งกลิ่นหอมหวานเข้ามาส่งให้อาฉ่า อาลีมองอย่างแปลกใจ เขาชี้มือถาม
“นี่ใช่ขนมเค้กจากในกล่องที่บี้แบนกล่องนั้นหรือ”
หมี่สามตอบอย่างตื่นเต้นดีใจ
“ใช่แล้วจ้ะ ฉันเอาแป้งสาลีบดผสม แล้วก็ใส่ถั่วที่เราคั่วไว้ทำอาหารลงไปนิดหน่อย คลุกเคล้าให้เข้ากัน เอาขึ้นตั้งไฟ แล้วมันก็ออกมาหน้าตาแบบนี้”
“อู้ว เก่งจังเลย” อาลีกล่าวชมอย่างจริงใจ อาฉ่าแบ่งขนมเค้กหนึ่งชิ้นใส่จานให้เขา
อาลีพิจารณาดูขนมเค้กและบิชิ้นเล็กๆ ชิม เขาพยักหน้ากับตัวเองอย่างพอใจ
หมี่สามทรุดตัวลงนั่งข้างอาฉ่าและมองท่าทีของอาลี
“อร่อยไหมจ๊ะ” เธอถามขึ้น
อาลีไม่ตอบ เขาตักขนมเค้กใส่ปากและเคี้ยวอย่างช้าๆ เขาทำท่าครุ่นคิดแล้วถามหมี่สาม
“เธออยากเรียนรู้วิธีการทำขนมเค้กใช่ไหม”
“จ้ะ ฉันได้กินขนมเค้กที่ซื้อจากชาลิมปีที่แล้วและคิดไว้ตลอดมาว่าฉันจะต้องทำขนมเค้กเองให้ได้จ้ะ”
“มันก็พอเป็นไปได้นะ” ชายหนุ่มพูด เขาตักขนมเค้กใส่ปากอีกคำและพูดต่อ “ผมเห็นแม่วัวของเธอกำลังตั้งท้อง แต่อีกหลายเดือนกว่ามันจะคลอด เอาอย่างนี้ พรุ่งนี้ผมต้องเข้าเมืองไปตามช่างมาซ่อมรถ หากเสร็จธุระผมจะแวะซื้อน้ำนมวัวใส่ถุงหนังมาให้เธอหัดทำ แต่เธอต้องมีเตาอบ ผมจะทำเตาอบให้หากเธอมีดินเหนียวมากพอ”
“พ่อจะไปขุดดินเหนียวมาเตรียมไว้ให้” อาฉ่าพูดกับหมี่สามและยิ้มกับอาลี
“ในรถของผมมีผงฟูและผลไม้แห้งหลายชนิด ผมจะเอามาผสมขนมเค้กให้นะ”
“พ่อต้องให้พี่อาลีกินข้าวที่บ้านเราพรุ่งนี้อีกครั้งนะจ๊ะ” หมี่สามพูดกับอาฉ่าและหันไปพยักเพยิดกับหมี่โตและหมี่รองที่ชะเง้อมองจากห้องครัว ส่วนหมี่เล็กวิ่งมานั่งข้างอาฉ่าและกอดแขนพ่อไว้
“ได้สิ” อาฉ่าพูด
เมื่อกินอาหารเสร็จ อาฉ่าชี้บอกทางไปลำห้วยให้อาลีไปอาบน้ำชำระร่างกาย รถบรรทุกของอาลีจอดอยู่อย่างสงบใต้ต้นลิ้นจี่ที่ดอกสีชมพูร่วงหล่นจนหมดเหลือแต่ใบสีเขียวหลายเฉดสี