บทที่ 3 ขายเสื้อ
หนึ่งเดือนถัดมา
อาซึคลอดลูกสาวอีกคนหนึ่ง เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องเมื่อรู้ผลต่างพูดกันว่าครอบครัวนี้มีดอกไม้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งดอก อาฉ่าได้ความคิดว่าลูกสาวคนใหม่นี้เขาจะตั้งชื่อตามดอกไม้ที่อาซึชอบ
“เดอเลอ” คือชื่อน้องคนสุดท้องของครอบครัว
“ทีนี้หนูก็ได้เป็นพี่แล้วนะจ๊ะ” หมี่เล็กผู้ครองตำแหน่งน้องสุดท้องมาสิบปีพูดกับอาซึและพี่สาวทั้งสามซึ่งต่างหัวเราะอย่างมีความสุข ทุกคนก้มลงมองทารกตัวน้อยที่ห่มผ้าสีชมพูและนอนบนเบาะผ้าสีชมพูในเปลไม้ไผ่สานฝีมือของอาฉ่า
เมื่อตื่นขึ้นตอนเช้า หมี่โต หมี่รอง และหมี่สามช่วยกันหุงข้าวและทำอาหาร ขณะที่หมี่เล็กไปช่วยอาซึเลี้ยงน้อง เมื่อสว่างดีแล้วอาฉ่าลงบันไดหลังบ้านไปโปรยข้าวให้ไก่และเข้าป่าเกี่ยวหญ้าให้ม้าสองตัวกิน เขาขยันขันแข็งเพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ช่วงสานชะลอมไปส่งขายที่ตลาดจนกระทั่งถึงเวลาที่เดอเลอเกิดมา เขาเลิกอายเพื่อนบ้านและญาติพี่น้องกับการที่เขามีแต่ลูกสาว เขารู้แน่ชัดว่าครอบครัวของเขามีความรักและความอบอุ่นที่ทุกคนมีให้กัน ลูกสาวของเขามีนิสัยขยันขันแข็ง ทุกคนช่วยกันปลูกฝ้าย ทอผ้า ปลูกข้าว ปลูกผัก ในครัวมีแต่สิ่งของที่หยิบฉวยทำอาหารได้ ไม่มีใครต้องนอนท้องหิว
วันนี้ก็เช่นกันที่เมื่อเตรียมอาหารให้พ่อและแม่เสร็จแล้ว เด็กสาวทั้งสี่ต่างบรรจุห่อข้าวลงในย่ามและรีบเร่งลงเรือนไปทำไร่ที่อยู่ห่างจากบ้านประมาณหนึ่งกิโลเมตร หมี่โตเดินนำน้องๆ ออกประตูใหญ่ อาฉ่าโบกมือให้ลูกสาวแล้วเขาก็กลับไปช่วยอาซึดูแลทารกน้อย หลังมื้ออาหารเช้าเขาหิ้วน้ำเต้าแห้งลูกใหญ่ออกแรงเดินนับสิบเที่ยวไปรองน้ำจากลำห้วยมาใช้ในครัวเรือน
เพื่อนบ้านบางคนแอบพูดกันว่าอาฉ่าทำแต่งานของผู้หญิง เพราะกลุ่มชนของพวกเขาผู้ชายจะไม่ทำงานบ้าน ไม่ต้องดูแลลูกอ่อน ไม่ไปแบกหิ้วน้ำ รวมทั้งไม่ทำอาหารในยามปกติ นอกจากจะทำอาหารมื้อใหญ่ในพิธีต่างๆ ที่มีการฆ่าหมู แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขานึกได้ว่าตนเองเคยได้รับน้ำใจจากครอบครัวอาฉ่าอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาก็ไม่พูดอะไรมาก
“ฉันเอาเมล็ดข้าวสาลีมาปลูกด้วยละ” หมี่สามพูดขณะเดินลงเนินเขาไปที่ไร่กับพี่ๆ เธอล้วงมือลงไปในย่ามและลูบคลำถุงเมล็ดข้าวสาลีที่ชาลิมให้เธอมาหนึ่งกำมือ
“หนูจะช่วยพี่หมี่สามปลูกข้าวสาลี” หมี่เล็กพูด เธอนึกถึงรสชาติหวานอร่อยของขนมเค้กก้อนนั้นที่ยังติดปลายลิ้นอยู่ แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเดือนกว่าแล้ว
“พี่จะช่วยพวกเธอเหมือนกัน” หมี่รองบอกน้องสาวและหันไปพยักเพยิดกับหมี่โต
“พี่จะถางที่ดินริมไร่ข้าวโพดของเราให้เธอได้ปลูกข้าวสาลีนะ” หมี่โตยิ้มให้หมี่สามที่ทำหน้าบานด้วยความยินดี
เมื่อถึงไร่ เด็กสาวทั้งสี่ก็แขวนย่ามของตนไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ใบดกหนา พวกเธอช่วยกันถอนหญ้าที่ขึ้นแทรกอยู่ระหว่างแปลงต้นข้าวโพด แล้วจากนั้นพวกเธอพากันถางบริเวณด้านข้างจนโล่งเตียน
“เอาละ พวกเราลงมือกันเถอะ” หมี่โตพูด
หลังจากปรับพื้นที่แล้ว หมี่รองและหมี่เล็กเริ่มใช้เสียมด้ามยาวขุดหลุมเล็กๆ เป็นแนวเดียวยาวไปห้าสิบก้าว ทั้งสองทำงานอย่างรวดเร็ว ไม่นานพวกเธอก็ขุดหลุมได้สองแถว หมี่สามควักถุงเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีออกมาและก้มตัวหยอดเมล็ดลงหลุม เธอหยอดข้าวด้วยมือหนึ่ง ส่วนอีกมือปาดดินปิดปากหลุมอย่างว่องไว ขณะเดียวกันหมี่โตก็ออกแรงคราดหญ้าไปกองสุมรวมกันที่มุมหนึ่งของแปลงข้าว
เด็กสาวทั้งสี่ทำงานเรื่อยไปจนใกล้เที่ยง
“เสร็จพอดี แปลงข้าวสาลีของพวกเราแม้จะเป็นแปลงเล็กๆ แต่ฉันเชื่อว่าต้นข้าวจะงอกออกรวงให้เราเก็บเมล็ดได้อีกหลายเท่า ครั้งต่อไปเราจะปลูกแปลงใหญ่กว่านี้นะจ๊ะ” หมี่สามส่งเสียงแจ๋วๆ ขณะวิ่งไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่มีน้ำเย็นชื่นใจมาให้หมี่เล็กและพี่สาวทั้งสองได้ดื่มแก้กระหาย
“ปีหน้าเธอต้องหาแม่วัวมาเลี้ยง เธอจะได้มีนมและเนยสำหรับทำขนมเค้ก” หมี่โตพูดกับน้องสาวพลางเช็ดเหงื่อ แม้ว่าอากาศบนภูเขาจะหนาวเย็น แต่เมื่อออกแรงกลางแจ้งอย่างนี้ ทุกคนก็มีเหงื่อออกจนชุ่มหลัง
“หมู่บ้านเราไม่เคยมีใครเลี้ยงวัว ฉันคงต้องไปถามหาซื้อจากหมู่บ้านอื่น และมันคงมีราคาแพงมาก” หมี่สามพูดด้วยเสียงเหมือนรำพึง
“เอาเถอะ เก็บเรื่องนี้ไว้กังวลวันหน้าเกิดเถิดนะ เรากินข้าวกันดีกว่า” หมี่โตกล่าว
“หนูหิวจะแย่แล้ว ขุดดินให้พี่หมี่สามปลูกข้าวสาลีจนหมดแรงเลย” หมี่เล็กพูดเสียงแจ๋ว เธอไม่ได้เหนื่อยมากมายตามที่เธอพูด
“ปีหน้าถ้าพี่ทำขนมเค้กได้แล้ว พี่จะให้เธอกินเยอะๆ เลยละหมี่เล็ก” หมี่สามกล่าว หมี่เล็กยิ้มแป้นเพราะเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังจะได้ยิน
พี่น้องทั้งสี่นั่งกินอาหารที่ใต้ร่มไม้อย่างเบิกบานใจ พวกเธอชอบออกจากบ้านมาทำไร่ ทุกเช้าพวกเธอเดินเกาะกลุ่มมากับเพื่อนบ้านหลายคนที่ต่างเลี้ยวเข้าสู่ไร่ข้าวของตนเอง ทุกคนต่างสะพายย่ามที่บรรจุข้าวห่อไว้กินยามเที่ยงวัน เสียงพูดคุยหยอกเย้า เสียงหัวเราะ ผสานกับเสียงฝีเท้าและเสียงนกที่ร้องขันคูบนกิ่งไม้ทำให้บรรยากาศมีชีวิตชีวา
เมื่อยามเย็นมาถึง หมี่โตและน้องๆ ช่วยกันเก็บผักกาดและผักอื่นมากมายใส่ตะกร้าสะพายหลัง ผักกาดที่ปลูกในไร่ข้าวนั้นสด กรอบ มีรสชาติอร่อย
“อาเด๊อ...เลอ...อ...อ... อาเด๊อ...เลอ...อ...อ...!” หมี่เล็กส่งเสียเรียกชื่อน้องน้อยขณะเดินจ้ำเข้าบ้าน
“คิดถึงน้องจริงๆ เลย ขอหอมหน่อย” หมี่สามวางย่ามและวิ่งเข้าไปซุกหน้าที่พุงทารกน้อยในเปล อาซึซึ่งนั่งผิงไฟอยู่หน้าเตาหัวเราะอย่างเอ็นดู
อาฉ่ากำลังทำกับข้าวมื้อเย็น เมื่อเห็นผักกาดสดๆ ในตะกร้าเขาก็หยิบมันมาล้างน้ำและใส่ลงไปในหม้อต้มจืดที่กำลังเดือด อึดใจเดียวเขาจับตะเกียบยาวคีบผักที่ยังเขียวอยู่ออกมาจากหม้อและใส่จานไว้ให้อาซึกับลูกๆ ได้กินกับน้ำพริกที่เขาตำอย่างสุดฝีมือ เมื่อช่วงสายเขาฆ่าไก่หนึ่งตัวและทำพิธีไหว้ผีบรรพบุรุษซึ่งเขาทำเป็นประจำทุกเดือน เมื่อเสร็จพิธีแล้วเขาก็นำไก่ตัวดังกล่าวมาทำอาหาร
หมี่โตและและน้องๆ พากันไปล้างมือที่มุมห้องครัว ก่อนหน้านั้นพวกเธอต้องผลัดกันไปรองน้ำจากลำห้วยมาใช้ในบ้านหลังกลับจากทำไร่ แต่บัดนี้น้ำเต้าทุกลูกมีน้ำเต็มเปี่ยม
หลังจากมื้ออาหารที่เอร็ดอร่อยผ่านไป หมี่โตและหมี่รองก็หยิบงานของตนขึ้นมาทำ หมี่โตเย็บผ้าทอสีดำเป็นเสื้อและกางเกงของอาฉ่า เป็นเสื้อและกระโปรงของอาซึ ของน้องๆ และของเธอเองรวมทั้งปักลวดลายสวยงาม ขณะเดียวกับที่หมี่รองเริ่มตกแต่งประดับประดาเสื้อผ้าเหล่านั้นด้วยลูกปัดอย่างสุดฝีมือ ส่วนหมี่เล็กอุ้มทารกน้อยไว้ในอ้อมแขนและร้องเพลงเห่กล่อม หมี่สามใช้ผ้าผืนเล็กคอยปัดยุงไม่ให้มารบกวน
หนึ่งเดือนล่วงไป
วันฉลองปีใหม่ของชาวหมู่บ้านหลี่ผะก็มาถึง
หมี่โต หมี่รอง และเพื่อนสาวอีกห้าคนต่างแต่งตัวสวยงามเดินลงจากหมู่บ้านไปเที่ยวตลาด พวกเธอดูเหมือนช่อดอกไม้หลากสีสันกำลังเคลื่อนที่ เสียงพูดคุยหยอกเย้าดังขึ้นสลับกับเสียงหัวเราะฟังเหมือนเสียงกระดิ่งที่กำลังสั่นระรัว ระยะทางสิบสองกิโลเมตรระหว่างหมู่บ้านถึงตลาดก็หดสั้นลงจากความเพลิดเพลินใจ
เมื่อถึงตลาดทุกคนต่างแยกย้ายกันเลือกดูสินค้าต่างๆ ตามใจชอบ หมี่โตและหมี่รองพากันเดินไปทางแผงขายผลไม้ เธออยากซื้อส้มผลงามๆ ไปฝากแม่และพ่อ
“อู้หู ผลไม้เยอะแยะมากมายจริงๆ ฉันไม่รู้ชื่อสักอย่างว่ามันเรียกอะไรบ้าง” หมี่รองทำตาโตขณะเหลียวมองไปทางซ้ายและทางขวา
“มันคงมีราคาแพงมากเลยนะ” หมี่โตพูดเสียงเบา เธอและหมี่รองมีเงินติดตัวมาคนละหนึ่งเหรียญเงิน เงินเก็บสำรองที่อยู่ในกล่องพวกเธอต้องใช้มันอย่างประหยัด
ตลอดถนนเส้นเล็กๆ นั้นสาวน้อยทั้งสองมองเห็นชะลอมพลาสติกหลายสีแขวนเป็นพวงไว้ มันมีลวดลายอย่างเดียวกับชะลอมไม้ไผ่ที่พวกเธอใช้มือสานอย่างยากลำบาก หมี่โตก้มมองมือของตนเองที่มีรอยแผลเป็นจากการถูกเส้นไม้ไผ่คมๆ บาด เมื่อหลายเดือนที่แล้วเธอและน้องๆ ช่วยกันสานชะลอมให้พ่อบรรทุกหลังม้ามาส่งให้ผู้สั่งซื้อ
“นี่พวกเธอสองคน! มาทางนี้หน่อยซิ!”
หมี่โตได้ยินเสียงแหลมดังขึ้นจากร้านขายลูกท้อ พี่น้องทั้งสองทำหน้าเหลอแล้วหันไปเห็นหญิงปากแดงร่างท้วมคนหนึ่งกวักมือเรียก
“คุณน้าเรียกฉันกับน้องหรือจ๊ะ” หมี่โตส่งเสียงถาม
“ใช่ มาทางนี้หน่อย เสื้อของพวกเธอสวยดี ไปซื้อที่ไหนกันมาหรือ ที่ตลาดนี้ไม่เห็นมีขาย” หญิงปากแดงตอบและลุกออกจากหลังกองลูกท้อ
หมี่โตและหมี่รองเดินไปหาหญิงคนดังกล่าว
“เสื้อนอกสองตัวนี้เราสองคนทำเองจ้ะ เราปลูกฝ้าย ปั่นด้าย ทอเป็นผืนผ้า แล้วย้อมครามเก็บไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว” หมี่โตพูดและยิ้มอย่างภูมิใจ “เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาฉันลงมือเย็บเป็นเสื้อและปักลวดลาย น้องของฉันเป็นคนตกแต่งประดับประดาด้วยลูกปัด”
หญิงปากแดงเพ่งมองเสื้อที่เด็กสาวทั้งสองใส่อย่างอยากได้ “ขอฉันจับดูหน่อยได้ไหม”
หมี่โตและหมี่รองพยักหน้าพร้อมกับยื่นแขนให้หญิงตรงหน้าได้ลูบคลำเนื้อผ้าและดูลวดลายปัก เสียงลูกปัดที่ห้อยอยู่กับชายแขนเสื้อส่ายไปมา
“สวยมากจริงๆ นี่พวกเธอเพิ่งทำเสื้อสองตัวนี้เสร็จใช่ไหม มันดูใหม่มาก”
“ใช่จ้ะ เราเพิ่งใส่มันเป็นครั้งแรก วันนี้เป็นวันปีใหม่ของหมู่บ้านฉันจ้ะ คุณน้า” หมี่โตและหมี่รองช่วยกันตอบอย่างภูมิใจ
หญิงปากแดงเดินไปรอบตัวของสองพี่น้อง สายตาของนางจับอยู่ที่ลวดลายปักและการประดับประดาด้วยลูกปัดที่กลมกลืนกันอย่างงดงาม เธอไม่เคยเห็นเสื้อนอกที่ไหนสวยเท่า
“พวกเธออยากขายเสื้อสองตัวนี้ไหม”
“โอ๊ะ เราคงขายไม่ได้จ้ะ” หมี่โตปฏิเสธด้วยเสียงสุภาพ เธอรักเสื้อตัวนี้ หมี่รองก็เช่นกัน เธอประดับลูกปัดและเลื่อมลงไปอย่างสุดฝีมือที่เสื้อของหมี่โตและเสื้อของเธอ
“เธอจะมีเงินซื้อเสื้อใหม่ใส่หลายตัวเลยละถ้าเธอขายเสื้อของเธอให้ฉัน ในตลาดมีเสื้อผ้าขายเยอะแยะไป” หญิงปากแดงพูดเกลี้ยกล่อม
“มันไม่เหมือนกันนะจ๊ะ คุณน้า เสื้อที่ตลาดเนื้อผ้าหยาบ ฉีกขาดง่าย ใช้ไม่กี่ครั้งก็เปื่อยยุ่ย เสื้อนอกของฉันกับน้องทำจากฝ้ายแท้ๆ ที่เราปลูกในไร่บนภูเขาและทอด้วยมือของพวกเราเอง มันใช้ได้นานหลายสิบปีเลยละจ้ะ เสื้อที่ฉันใส่อยู่นี้ฉันตั้งใจว่าอีกหน่อยจะยกให้น้องคนเล็ก ฉันมีน้องสาวอยู่ที่บ้านอีกสองคน อ้อ ไม่ใช่สิ สามคน คนเล็กเพิ่งเกิดมาได้สองเดือน แต่หากเขาโตขึ้น เขาก็จะได้ใส่เสื้อตัวนี้จ้ะ ฉันคงขายให้คุณน้าไม่ได้”
หมี่โตอธิบายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เธอไม่รู้สึกโกรธที่หญิงปากแดงมาขอซื้อเสื้อตัวที่เธอใส่ เธอไม่ได้รู้สึกว่าเป็นการไม่สมควรหรือผิดมารยาท เธอรู้สึกภูมิใจด้วยซ้ำที่หญิงเจ้าของร้านผลไม้ชอบเสื้อของเธอ
“อืม ถ้าอย่างนั้นหากฉันจ้างให้เธอเย็บเสื้ออย่างนี้ให้ฉันสักสองตัวจะได้ไหม”
หมี่โตและหมี่รองมองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษา
“คุณน้าต้องรอนานหน่อยนะจ๊ะหากอยากให้พวกเราเย็บเสื้อแบบนี้ให้จริงๆ เพราะเดือนหน้าเราต้องทำไร่ทุกวัน เราใช้เวลาช่วงหัวค่ำทำการฝีมือ เมื่อก่อนตอนยังไม่ถึงฤดูปลูกข้าวฉันกับพี่น้องมีเวลาว่างตอนกลางวัน เราเคยนั่งสานชะลอมไม้ไผ่ให้พ่อเอามาส่งที่ตลาดด้วยจ้ะ...”
เมื่อหมี่โตพูดมาถึงตอนนี้หญิงปากแดงก็ถามสอดขึ้นมา “อ๊ะ! เดี๋ยวๆๆๆ นี่พวกเธอเองหรือที่เป็นคนสานชะลอมที่อีตาอาฉ่ากับเจ้าม้าแก่เอามาส่งขายให้พวกร้านค้าเมื่อหลายเดือนที่แล้ว”
“ใช่จ้ะ คุณน้า ครั้งแรกแม่กับพวกเราพี่น้องช่วยกันสานชะลอมให้พ่อใส่ลิ้นจี่ต้นหน้าบ้านมาขายที่ตลาดนี่แหละจ้ะ แต่แม่ค้าผลไม้ใจดีคนหนึ่งกลับซื้อแต่ชะลอม แล้วตอนหลังก็มีคนอื่นๆ สั่งซื้ออีกหลายเที่ยว”
หมี่รองรีบตอบ เธอมองหญิงปากแดงและนึกได้เรื่องที่อาฉ่าเล่าให้ฟังถึงแม่ค้าขายลิ้นจี่ผู้มีรูปร่างท้วม ใบหน้าทาแป้งขาว ริมฝีปากสีแดง พ่อบอกว่านางเป็นคนเสียงดัง ท่าทางหยาบคาย แต่นางไม่ใช่คนร้ายกาจ นางมีนิสัยซื่อตรงน่านับถือ
“ก็ฉันนี่แหละที่เป็นคนสั่งซื้อชะลอมของพวกเธอครั้งแรก ตอนนั้นอีตาอาฉ่าเอาลิ้นจี่ป่าใส่หลังม้าแก่มาขาย ฉันขายลิ้นจี่สวนเมื่อหลายเดือนก่อนเพราะต้นหน้าฝนเป็นฤดูของลิ้นจี่ ตอนนี้ฉันขายลูกท้อเพราะหน้าหนาวเป็นฤดูของท้อ ชะลอมของพวกเธอสวยงามดีมาก แต่ตอนหลังมีคนเอาชะลอมพลาสติกสีสวยๆ ผลิตจากโรงงานมาขายใบละสองเหรียญทองแดงขณะที่ชะลอมของพวกเธอขายราคาใบละห้าเหรียญทองแดงและมีแค่สีเดียว พวกพ่อค้าแม่ค้าก็เลยหันไปใช้ชะลอมพลาสติกกัน เอ่อ รวมถึงฉันด้วย”
“ชะลอมที่พวกเราทำมาส่งให้คุณน้าเป็นของธรรมชาตินะจ๊ะ กว่าจะทำเสร็จหนึ่งใบนี่ไม่ใช่ง่าย พ่อต้องไปตัดไม้ไผ่มาจากป่า ผ่าออกเป็นท่อน บรรทุกหลังม้ามาที่บ้าน แม่เป็นคนผ่าไม้ท่อนให้เป็นซีกและจักเป็นเส้นๆ เพื่อให้ฉันและน้องใช้มือเล็กๆ สานชะลอมใบน่ารัก คุณน้ารู้ไหมจ๊ะว่าซี่ไม้ไผ่มันคมมาก มือไม้ของพวกเราสี่คนมีแต่บาดแผลกว่าจะได้เงินมาใช้” หมี่รองอธิบาย
หญิงปากแดงพยักหน้า เธอพูดเสียงอ่อนลง “รู้สิ ฉันผ่านชีวิตลำบากมาตั้งแต่เด็ก ฉันทำงานหนักเกินกำลังตัวเองจนกระดูกเบี้ยวเลยละ พ่อแม่ฉันตายตั้งแต่ฉันเพิ่งสิบขวบ ฉันติดตามญาติอพยพจากแดนไกลมาอยู่ที่เมืองนี้ เราต้องทำงานหนักทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ฉันไม่เคยยิ้มหรือหัวเราะเลยนะ ฉันได้แต่ก้มหน้าทำงานงกๆ กว่าจะตั้งตัวได้ ตอนนี้พอฉันมีลูก ฉันก็เลี้ยงพวกเขาอย่างรักใคร่ พวกเขาสบายกว่าฉันเยอะ ไม่ต้องทำงานหนัก แต่พวกเขาก็เป็นเด็กน่ารักนะ นิสัยดี อายุก็คงเท่าๆ พวกเธอสองคนนี่แหละ...แต่เอาเถอะ เราอย่าพูดเรื่องของฉันเลย” นางพูดตัดบท
หมี่โตและหมี่รองมองหน้ากันอย่างนึกเห็นใจหญิงปากแดง แล้วหมี่รองก็ตัดสินใจถามขึ้นมาว่า
“คุณน้าจ๊ะ หากเราสองคนจะทำเสื้อให้คุณน้าสองตัว คุณน้าจะให้ราคาเท่าไรจ๊ะ”
หญิงปากแดงมองเนื้อผ้าทออันหนาฟู มองฝีเข็มอันละเอียดประณีต มองลวดลายปักที่ออกแบบอย่างงดงามพิสดาร มองการประสานของด้ายสีต่างๆ จากนั้นนางก็มองวิธีการปักลูกปัดประดับประดาไปตามจุดต่างๆ ลูกปัดกลม รี ยาว แบนถูกเย็บตรึงติดเป็นรูปดอกไม้และก้านกิ่งที่เลื้อยไล่ไปตามลายปักที่วางแนวไว้
“เธอทำให้สวยเท่ากับตัวที่เธอสองคนใส่มาได้ไหมล่ะ ถ้าทำได้ ฉันจะจ่ายให้เธอตัวละห้าสิบเหรียญเงิน ฉันรู้ว่าเสื้อแบบนี้ทำยากมากและใช้เวลานาน ที่สำคัญคือคนทำต้องมีฝีมือเป็นเลิศ ฉันต้องการสองตัว ฉันจะให้ลูกสาวสองคนได้ใส่ไปงานต่างๆ พวกเขาเป็นสาวกันแล้วต้องมีคู่ครองดีๆ เสื้อนอกที่เย็บปักประดับประดาอย่างสวยงามจะทำให้พวกเขาดูเด่นและดึงดูดคนที่คู่ควรกับพวกเขา” หญิงปากแดงพูด
หมี่โตและหมี่รองมองหน้ากันอีกครั้ง หมี่โตพูดกับหญิงปากแดงว่า
“เดี๋ยวเราสองคนขอปรึกษากันก่อนนะจ๊ะ”
“ตามสบาย”
หมี่โตและหมี่รองจูงมือกันเดินห่างออกมาจากแผงขายผลไม้ โดยที่ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งกำลังคิดอะไร
ครู่หนึ่งสองพี่น้องก็ถอดเสื้อตัวนอกอันสวยงามของตนออกเหลือเพียงเสื้อแขนสั้นข้างใน
“เราค่อยเย็บตัวใหม่ใส่ก็ได้นะหมี่รอง เรามีเวลาเย็บกันทั้งปีเลยละ” หมี่โตเอ่ยกับน้องสาวที่กำลังปัดฝุ่นออกจากชายเสื้อที่พาดอยู่กับแขน
“จ้ะพี่ ตอนนี้เราเก็บเงินกันไว้ดีกว่า วันหน้าหมี่สามต้องหัดทำขนมเค้ก เราจะได้มีเงินช่วยลงทุน” หมี่รองเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่แววตาของเธอหม่นลงด้วยความเสียดายเสื้อตัวงามที่เธอปักประดับลูกปัดอย่างสุดฝีมือ
หมี่โตและหมี่รองเดินกลับไปที่ร้านขายลูกท้อ หญิงปากแดงกำลังขายผลไม้ให้ลูกค้า ทั้งสองยืนรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อขายของเสร็จหญิงปากแดงก็หันมา นางเห็นเสื้อนอกสองตัวพับอย่างเรียบร้อยวางไว้เบื้องหน้า
หมี่โตกล่าวขึ้น
“เราสองคนตกลงกันว่า เราจะขายเสื้อสองตัวนี้ให้คุณน้าจ้ะ”
“อ้อ หรือ แหมดีจริงๆ ฉันนึกว่าจะต้องรออีกหลายเดือน”
หญิงปากแดงรับเสื้อที่หมี่โตและหมี่รองส่งให้ไปตรวจดูอย่างละเอียด นางพยักหน้าอย่างพอใจเมื่อเห็นฝีมือทอผ้าที่สม่ำเสมอ การเย็บตะเข็บแน่นหนา ลวดลายดอกไม้และเถาไม้ทีพันเกี่ยวอย่างได้จังหวะ การมัดปมลูกปัดตามที่ไม่ทำให้มันหลุดลุ่ยออกมา
“เธอสองคนทำงานประณีตดีจริงๆ ฉันขอยกนิ้วให้เลย ชะลอมของพวกเธอก็สวยงามละเอียดแน่นหนาอย่างนี้แหละ” หญิงปากแดงกล่าวและควักเงินให้หมี่โตและหมี่รองคนละห้าสิบเหรียญเงิน
“ขอบคุณจ้ะ ถ้าอย่างนั้นฉันจะขอซื้อลูกท้อของคุณน้าสักหน่อย ฉันจะเอาไปฝากพ่อกับแม่กับน้อง คุณน้าขายอย่างไรจ๊ะ”
หญิงปากแดงเก็บเสื้อลงในกล่องไม้ที่อยู่ด้านหลังของนางแล้วหันมาหยิบลูกท้อผลงามใส่ชะลอมจนเต็ม
“เอ้า ฉันฝากไปให้แม่ของพวกเธอเป็นการรับขวัญลูกคนเล็ก ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก วันหลังหากเธอทำอะไรสวยๆ งามๆ อีกก็เอามาขายให้ฉันละกันนะ ฉันจะเอาไปขายคนอื่นต่อ”
“ขอบคุณมากจ้ะ เราจะบอกพ่อกับแม่ว่าคุณน้าให้ลูกท้อมา” หมี่รองและหมี่โตกล่าวและโบกมือลาหญิงปากแดง
ตกบ่ายหมู่เพื่อนสาวก็มาพบกันยังที่นัดหมาย ทุกคนแปลกใจที่เห็นหมี่โตและหมี่รองไม่ได้สวมเสื้อนอกตัวสวย เมื่อรู้ว่าเสื้อทั้งสองตัวนั้นขายไปในราคาตัวละห้าสิบเหรียญเงิน เพื่อนห้าคนของสองพี่น้องก็ทำตาโต
“ฉันอยากขายเสื้อของฉันบ้าง เธอบอกฉันหน่อยซิว่าต้องไปที่ร้านไหน”
หมี่โตและหมี่รองรีบพาเพื่อนๆ ที่อยากขายเสื้อเดินย้อนกลับไปที่ร้านผลไม้ของหญิงปากแดง
“เสื้อของพวกเธอฝีมือคนละอย่างกับเสื้อสองตัวนี้” หญิงปากแดงพูดกับหญิงสาวห้าคนอย่างไม่ออมปาก “ความหนาของเนื้อผ้าไม่เท่ากัน ลายปักไม่ละเอียด การประดับลูกปัดก็หยาบ ไม่ประณีต เห็นไหม ดึงนิดเดียวก็ลุ่ยออกมาแล้ว” แม่ค้าลูกท้อใช้เล็บสะกิดตรงลายปักที่ชายเสื้อเพื่อพิสูจน์สิ่งที่นางพูดแล้วพูดต่อ “ถ้าพวกเธอจะขายจริงๆ ฉันก็จะรับซื้อไว้เผื่อขายต่อให้พวกสาวๆ ในเมืองไว้ใส่เล่น แต่ราคาคงได้ไม่เท่ากับสองตัวที่ฉันซื้อไว้หรอกนะ”
“คุณน้าจะให้ราคาเท่าไรล่ะจ๊ะ” หญิงสาวคนหนึ่งถามขึ้น
หญิงปากแดงพิจารณาดูเสื้อของหญิงสาวห้าคนที่ถอดออกมาเสนอขาย นางส่ายศีรษะและหันไปหยิบเสื้อสองตัวของหมี่โตและหมี่รองออกมาวางเทียบ ซึ่งทุกคนต่างมองเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนตามที่หญิงเจ้าของร้านกล่าวมา
“เอาอย่างนี้นะ ฉันคิดราคาให้ตัวละยี่สิบห้าเหรียญเงิน” หญิงปากแดงพูดสั้นๆ นางเก็บเสื้อสองตัวไว้ที่เดิมแล้วหันไปจัดผลไม้ของนางต่อ
เพื่อนสาวของหมี่โตและหมี่รองมองหน้ากันเป็นเชิงถามไถ่ว่าจะตกลงตามนั้นหรือไม่ แล้วพวกเธอทั้งห้าก็พยักหน้าอย่างช้าๆ
ขณะที่ดินเท้ากลับหมู่บ้าน หมี่โตและหมี่รองต่างสะพายย่ามที่เต็มไปด้วยของกินและของใช้มากมายที่แวะซื้อจากร้านใหญ่รวมทั้งหิ้วชะลอมใส่ลูกท้อที่หญิงปากแดงให้มา เพื่อนสาวห้าคนแม้จะรู้สึกน้อยใจที่ขายเสื้อไม่ได้ราคาเท่ากับสองพี่น้อง แต่พวกเธอก็ปรับความรู้สึกได้
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกที่พวกเราขายเสื้อได้ราคาต่ำ เป็นเพราะแม่ค้าคนนั้นต่างหากที่เขาเป็นคนกำหนดราคา”
เพื่อนสาวคนหนึ่งกล่าวกับหมี่โตและหมี่รองขณะเดินอยู่กลางทาง พี่น้องทั้งสองพยักหน้าแม้จะรู้ว่าราคาที่หญิงปากแดงกำหนดนั้นมาจากคุณภาพของสินค้า ซึ่งเสื้อของพวกเธอสองพี่น้องและเพื่อนสาวทั้งห้าคือตัวสินค้าที่คุณภาพต่างกัน
“และอีกอย่างพวกเธอมีด้ายหลายสีและมีลูกปัดสวยงามหลายแบบ นอกเหนือจากฝีมือปักเย็บและประดับประดาที่เราทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าไม่มีใครสู้ได้” เพื่อนอีกคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
“ฉันไม่อิจฉาเธอหรอกนะ หมี่โต หมี่รอง ฉันยอมรับว่าเสื้อของฉันเมื่อเทียบกับของเธอแล้วมันคนละอย่างกันจริงๆ เอาไว้วันหลังฉันจะให้พวกเธอสอนฉันปักลายสวยๆ บ้างดีกว่านะ เราจะได้เอาเสื้อไปขายได้เงินมาเก็บไว้”
“ใช่ๆๆ” กลุ่มเพื่อนสาวทั้งห้าประสานเสียง
หมี่โตและหมี่รองตอบรับด้วยความเต็มใจ