พ่อค้าเร่

4896 Words
บทที่ 2 พ่อค้าเร่ เวลาผ่านไปหลายเดือน บ่ายคล้อยวันหนึ่ง ชาวหมู่บ้านหลี่ผะได้ยินเสียงตะแล้นแป๊นๆ ลอยมาจากอีกฟากหนึ่งของเทือกเขา มันเป็นเสียงแตรรถบรรทุกรุ่นเก่าของพ่อค้าเร่คนหนึ่งผู้ตระเวนขายสินค้าไปตามแว่นแคว้นต่างๆ “ชาลิมมาโน่นแล้ว” หญิงแม่บ้านคนหนึ่งชะโงกหน้าต่างบ้านพูดกับหญิงชราที่หูเชือน “ว่าไงนะ” หญิงชราแหงนหน้าถาม หญิงที่ชะโงกหน้าต่างทำท่ากำพวงมาลัยรถและขยับมือหมุนไปมา หญิงชราหัวเราะและพยักหน้าเข้าใจ เธอกระวีกระวาดลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านและเปิดกล่องไม้ควักเหรียญทองแดงออกมาห้าเหรียญเตรียมไว้ซื้อสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เด็กๆ เมื่อรู้ว่ารถสินค้าเร่ของชาลิมกำลังจะแวะมาที่หมู่บ้าน พวกเขาต่างตื่นเต้นและเตรียมตัวขอเหรียญทองแดงจากแม่มาใส่กระเป๋าไว้ อมยิ้มและขนมแป้งอบของชาลิมราคาชิ้นละหนึ่งเหรียญทองแดง “ระวังอย่าให้สตางค์หายนะลูก” แม่คนหนึ่งเตือนบุตรชาย นางให้เหรียญทองแดงเขาไปสองเหรียญขณะที่ลูกสาวได้พียงเหรียญเดียว ลูกสาวของนางยอมรับความเหลื่อมล้ำลำเอียงเช่นนี้มาตั้งแต่จำความได้ นับเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนในหมู่บ้านนี้ที่ลูกชายมักได้รับการเลี้ยงดูดีกว่าลูกสาว อาซึผู้กำลังอุ้มครรภ์เมื่อรู้ว่ารถสินค้าเร่ของชาลิมกำลังจะมาที่หมู่บ้าน เธอควักเหรียญเงินหนึ่งเหรียญออกจากไถ้ส่งให้หมี่เล็ก นี่คือเงินที่เด็กหญิงฝากไว้ ส่วนหมี่โต หมี่รอง และหมี่สามเก็บเงินของตนไว้ในกล่องที่ห้องนอน พวกเธอต่างเข้าไปเปิดกล่องและควักเหรียญเงินออกมาคนละสองเหรียญ “พี่จะซื้อด้ายเย็บผ้าและด้ายปักม้วนใหญ่หลายๆ ม้วน เราทอผ้าเก็บไว้หลายผืนแล้ว พี่จะเย็บเสื้อใหม่และปักลวดลายให้สวยๆ เลยละ เราทุกคนจะได้ใส่ในวันฉลองปีใหม่” หมี่โตพูด หมี่รองยิ้มให้พี่สาว เธอพูดเสียงใสว่า “ฉันจะซื้อลูกปัดเองนะจ๊ะ ฉันจะประดับเสื้อผ้าของพวกเราสี่พี่น้องให้เด่นที่สุดเลย” “ลูกปัดมันแพงนะลูก สองเหรียญจะไม่พอสำหรับปักเสื้อสี่ตัว คงต้องสักสามเหรียญ” อาซึพูดออกมาจากในครัว เธอได้ยินลูกสาวทั้งสองคุยกัน “ถ้าอย่างนั้นพี่จะช่วยออกเงินซื้อลูกปัดกับเธอด้วย” หมี่โตล้วงเหรียญเงินออกมาจากกล่องของตนอีกหนึ่งเหรียญและยื่นให้น้องสาว หมี่รองยิ้มรับไว้อย่างดีใจ “ฉันจะประดับเสื้อของพี่ให้พิเศษกว่าคนอื่นเลยละ” “พี่ก็จะปักลายเสื้อให้เธอสวยเป็นพิเศษเหมือนกัน” หมี่โตตบบ่าน้องสาวแล้วชวนกันลุกขึ้นหลังจากเก็บกล่องใส่เงินไว้ในตะกร้าแล้ว “หนูจะซื้อขนมอร่อยๆ มาให้แม่ได้กิน เผื่อน้องในท้องด้วยจ้ะ” หมี่สามกอดครรภ์ของมารดาไว้หลังออกมาจากห้อง เธอดีใจที่จะมีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาในครอบครัว ทั้งสามพี่น้องลงบันไดบ้านไปพร้อมกัน “ไปกันเถอะหมี่เล็ก” หมี่โตร้องเรียกเด็กหญิงที่กำลังเล่นหยอกกับเจ้าม้าเตี้ยทั้งสองตัว “จ้ะพี่” หมี่เล็กวิ่งออกมาจากคอกม้า อาซึออกมายืนบนชานหน้าบ้านและมองตามหลังลูกสาวทั้งสี่ไป สองเดือนมาแล้วที่พวกเธอหยุดสานชะลอมไม้ไผ่ เนื่องจากพ่อค้าและแม่ค้าที่ตลาดในเมืองหันไปสั่งซื้อชะลอมพลาสติกที่มีคนหัวดีสั่งมาขายในราคาถูก ชะลอมที่ผลิตจากโรงงานมีสีสันหลากหลาย ทั้งสีเหลือง ชมพู ส้ม แดง ซึ่งทำให้ผลไม้ที่บรรจุในนั้นดูน่าซื้อหา เมื่อไม่ได้สานชะลอมขายแล้วและยังไม่ถึงฤดูปลูกข้าว ลูกๆ ของเธอก็เริ่มทำไร่ฝ้ายเพื่อผลิตเส้นใยและทอเป็นผืนสำหรับใช้ในปีต่อๆ ไป อาซึยิ้มเมื่อนึกถึงความโชคดีของตนเองที่ลูกสาวทั้งสี่ต่างรักใคร่กลมเกลียวกันดี พวกเธอแข็งแรง มีสุขภาพดี และมีน้ำใจ หมี่โตวัยสิบแปดปีผู้เป็นพี่สาวใหญ่รับผิดชอบงานบ้านแทนเธอที่เคลื่อนไหวลำบากจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น เดือนหน้าก็จะได้เวลาคลอด ช่วงหลังๆ มานี้อาฉ่าเข้าป่าทุกวันเพื่อหาผักและผลไม้สดๆ รวมทั้งรากไม้ตัวยามาต้มให้เธอกินเพื่อบำรุงร่างกาย ส่วนหมี่รองและหมี่สามเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงทำไร่โดยมีหมี่เล็กวัยสิบขวบเป็นผู้ช่วย ขณะนี้ที่ลานหมู่บ้านกำลังคึกคักเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินมารอรถขายสินค้าเร่ของชาลิม พวกหนุ่มสาวเริ่มทยอยกลับจากไร่หลังจากได้ยินเสียงแตรรถดังมาแต่ไกล พวกเขาชอบซื้อสินค้าจากรถของพ่อค้าคนนี้ “โน่น โผล่พ้นชายป่ามาแล้ว!” เสียงชายคนหนึ่งตะโกนบอก เขายืนอยู่บนเนินหินสุดลานหมู่บ้านซึ่งมองเห็นปลายเทือกเขา “อีกสักพักใหญ่ๆ นั่นแหละ” ชายอีกคนหนึ่งบอก รถบรรทุกเร่ของชาลิมแวะมาที่หมู่บ้านหลี่ผะปีละสองหรือสามครั้งช่วงต้นฤดูหนาวไปจนถึงปลายฤดูร้อน แต่ปีที่แล้วเขามาครั้งเดียว ก่อนปีที่แล้วเขามาแวะสองครั้ง ก่อนหน้านั้นเขามาแวะถึงสามครั้งเพราะช่วงนั้นเขายังแข็งแรงดีอยู่ ชาลิมเป็นชายวัยกลางคน เขามีคิ้วดก ขนตาดำหนา และมักสวมหมวกกลมๆ ครอบศีรษะอันล้านเลี่ยน เขาสวมเสื้อตัวยาวคลุมกางเกงตัวหลวม เขาพูดได้หลายภาษาจากการเป็นพ่อค้าเร่ซึ่งต้องติดต่อค้าขายกับผู้คนในแคว้นต่างๆ ที่เขาเอาของไปขาย เขาชอบพูดเล่นแหย่าเย้ากับชาวบ้าน บางครั้งเขาลดราคาและแถมสิ่งของให้คนเฒ่าคนแก่ เขาตระเวนไปทั่วทุกหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในหุบเขาและบนดอยสูงของหลายแคว้นที่มีเขตแดนติดกัน รถบรรทุกของเขาติดเครื่องยนต์ตัวใหญ่ มันมีเสียงดังอึกทึกครึกโครมจนทำให้เด็กทารกร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ สินค้าในรถของชาลิมมีหลายประเภท ทั้งสิ่งของแบบเดียวกับที่ขายในตลาดและสินค้าแปลกประหลาดหาซื้อที่ไหนไม่ได้ เช่น เข็มทิศ นาฬิกาทราย และกล้องถ่ายรูป นอกจากของใช้ในครัวเรือนและเสื้อผ้าของหญิง ชาย เด็ก ผู้ใหญ่แล้ว เขายังมีเครื่องมือทำไร่ประเภท มีด พร้า จอบ เสียม รวมทั้งเครื่องมือตัดเย็บ เช่น กรรไกร เข็มหมุด สายวัด ไม้บรรทัด เส้นด้ายสิบสองสี ลูกปัดสารพัดแบบ เลื่อมสะท้อนแสง เครื่องประดับเส้นผม แป้งทาหน้า ชาดทาปาก และถุงเท้า รองเท้า ฯลฯ “ชาลิมกำลังจะขึ้นเนินมาแล้ว” เด็กชายคนหนึ่งตะโกน เขากับพวกเพื่อนพากันวิ่งกรูไปยังทางโค้งที่รถบรรทุกจะแล่นมาทางนั้น เสียงเครื่องยนต์คำรามก้องถนนอันแห้งผาก ช่วงนี้ปลายฤดูหนาวมันยังใช้การได้ดี แต่หากถึงฤดูฝน ถนนเส้นนี้จะกลายเป็นโคลน รถของชาลิมแม้จะบึกบึนแข็งแรงก็ไม่สามารถขับขึ้นมาที่หมู่บ้านนี้ได้ นี่คือสาเหตุที่เขามาแวะขายของที่หมู่บ้านหลี่ผะช่วงต้นฤดูหนาวและปลายฤดูร้อน “มาแล้ว! มาแล้ว!” เสียงผู้คนที่ออกมายืนออกันเต็มลานส่งเสียงบอกกัน พวกเขาบางคนแค่อยากเห็นสิ่งแปลกตา บางคนเตรียมเงินที่ได้จากการขายของป่ามาหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน บางคนอยากได้หม้อโลหะสำหรับทำอาหาร บางคนต้องการถ้วยชาเพื่อเอาไว้ทำพิธี พวกเขาไม่ค่อยมีโอกาสเข้าไปในตลาดตัวเมืองเพราะไม่มียานพาหนะ รถเร่ของชาลิมช่วยให้เหล่าชาวดอยมีของที่ต้องการใช้ รถบรรทุกแบบโบราณแข็งแรงราวกับม้าสิบตัวเร่งเครื่องยนต์ดังบื้นๆ ๆ ๆ ขึ้นมายังลานหมู่บ้าน เด็กผู้ชายเกือบสิบคนวิ่งกรูตามหลังขึ้นมาโดยไม่สนใจว่าเสื้อผ้าจะมอมแมมจากกรวดดินที่ล้อรถดีดกระจาย พวกเขาตะโกนสุดเสียงด้วยความตื่นเต้นและส่งเสียงหัวเราะเกรียวกราวอย่างสนุกสนาน ชาลิมกุมพวงมาลัยไว้มั่น เขาใช้ความระมัดระวังที่จะไม่พุ่งชนบรรดาคนที่อยู่ในลาน อีกทั้งเขาจะต้องเร่งเครื่องยนต์ไว้โดยไม่ยอมให้มันดับกะทันหัน มิฉะนั้นมันจะถอยหลังทับเด็กผู้ชายซนๆ ที่วิ่งตามหลังรถมาติดๆ ชาลิมรู้ดีว่าในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญเช่นนี้ รถบรรทุกของเขาเป็นสิ่งที่สร้างความตื่นเต้นให้แก่เจ้าของถิ่น พ่อค้าเร่บีบแตรตะแล้นแป๊นๆ สองสามครั้งเพื่อทักทายบรรดาผู้หญิงแม่บ้านและเหล่าลูกสาวของพวกนางที่หลายคนกระเตงน้องน้อยไว้บนหลัง “สบายดีไหมผู้เฒ่า” ชาลิมโบกมือทักทายหัวหน้าหมู่บ้านหลังจากเขาจอดรถดีแล้ว “ก็อย่างนั้นแหละ” ผู้เฒ่าหลี่ผะตอบและยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ “ผมมีของมาฝาก อย่างนี้เลยละ” ชาลิมทำท่าป้องปากพูดและยกนิ้วโป้งขึ้น สิ่งที่เขาเอามาฝากหลี่ผะคือยาชูกำลังสำหรับบุรุษที่อยู่ในวัยชรา “เจ้าหนู เอาของห่อนี้ให้พ่อเฒ่าที” ชาลิมออกปากวานเด็กผู้ชายที่ชะโงกมองเข้ามาทางหน้าต่างรถ เขาส่งลูกอมสามเม็ดให้เด็กชายคนดังกล่าวเป็นค่าจ้างวาน ชาวบ้านที่ยืนอยู่โดยรอบลานดินต่างกรูเข้ามายืนออที่ด้านท้ายของรถบรรทุกซึ่งคลุมผ้าใบปิดไว้ ชาลิมดับเครื่องยนต์ก่อนเปิดประตูและเลื่อนตัวลงจากเบาะแบนแข็ง เขาทักทายผู้คนด้วยน้ำเสียงรื่นเริงขณะเดินไปคลายปมเชือกที่มัดไว้ตามจุดต่างๆ ด้านท้ายรถ กลุ่มผู้หญิงพากันดันแทรกกันเข้ามาใกล้เพื่อดูให้ถนัดตาว่าเที่ยวนี้ชาลิมมีอะไรมาขายบ้าง เมื่อผ้าใบเปิดออก เสียงจ้อกแจ้กจอแจของเหล่าผู้หญิงก็ดังขึ้นเมื่อเห็นผ้าไหมที่แขวนอวดสีสันและความมันระยับหลายสิบผืน พวกนางไม่รู้ว่าผ้าเหล่านั้นเอาไว้ทำอะไรเพราะเคยสวมใส่แต่ผ้าฝ้ายทอมือ ในกล่องต่างๆ ที่เปิดไว้มีถ้วย จาน ชามที่ทำจากพลาสติก จานกระเบื้อง และจานสังกะสี มีผลไม้แห้งหลายสิบชนิดที่นำมาจากทะเลทราย ก้อนเกลือสีดำและสีชมพูกองอยู่มุมหนึ่ง ส่วนสินค้าที่ใช้ในครัวเรือนถูกจัดวางไว้ด้านนอกที่ผู้ซื้อจะหยิบดูได้ง่ายที่สุด “เลือกชมตามสบายเลยคุณผู้หญิง ไม่ต้องแย่งกัน ค่อยๆ ดู ค่อยๆ เลือก” ชาลิมพูดหลังจากกระโดดขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้เล็กที่อยู่กลางกองสินค้า เขาดูเหน็ดเหนื่อยจากการขับรถมาจากหมู่บ้านก่อนหน้า ชาลิมเปิดกระติกน้ำที่ล้มเอียงกะเท่เร่อยู่ในตะกร้าใต้เก้าอี้ที่เขานั่งและยกขึ้นเพื่อจะดื่ม ปรากฏว่ามันไม่มีน้ำเหลือสักหยด เขามองไปทางบรรดาผู้ที่กลุ้มรุมเลือกหาสินค้าซึ่งไม่มีใครสนใจเขา “เอากระติกส่งมาทางนี้จ้ะชาลิม เดี๋ยวฉันเอาไปเติมน้ำชาของพ่อให้” เสียงนุ่มนวลของหมี่โตพูดขึ้นข้างตัวหญิงร่างท้วมผู้หนึ่ง เธอเบียดแทรกคนข้างหลังเข้ามาและสังเกตเห็นว่าชาลิมอ่อนเพลียและกระหายน้ำ “โอ้ ดีจริงๆ สาวน้อยผู้มีน้ำใจ” ชาลิมรีบยืนส่งกระติกน้ำของเขาให้หมี่โต “รอครู่หนึ่งนะจ๊ะ บ้านฉันอยู่ทางโน้น ฉันจะรีบไปรีบมาจ้ะ” หมี่โตรับกระติกน้ำจากชาลิมและวิ่งไปตามทางยังบ้านของเธอ “ซื้อของเสร็จแล้วหรือหมี่โต” อาซึเงยหน้าจากหม้ออาหารที่เธอกำลังปรุงเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู หมี่โตที่กำลังเหนื่อยหอบส่ายศีรษะและส่งกระติกให้มารดา “ขอน้ำชาหน่อยจ้ะแม่ กระติกอันนี้ของชาลิม หนูเห็นเขาหิวน้ำ หนูสงสารเขา” หมี่โตบอกมารดา “อ้อ อย่างนั้นหรือ” อาซึพยักหน้าเข้าใจ “เดี๋ยวแม่จะใส่ให้เต็มกระติกเลย ลูกเอาข้าวปุกไปให้เขากินสักชิ้นก็ได้นะ เขาขับรถมาจากหมู่บ้านก่อนหน้าที่อยู่ไกลจากที่นี่มาก คงไม่ได้แวะกินอาหารที่ไหน” อาซึพูดพลางหยิบข้าวปุกหนึ่งชิ้นอังไฟไว้ จากนั้นเธอเปิดกระติกและรินน้ำชาจากกาเล็กใส่ลงไปประมาณหนึ่งถ้วยแล้วรินน้ำร้อนจากกาอีกใบเติมลงไปจนเกือบเต็มกระติก เธอปิดฝาก่อนเอี้ยวตัวไปหยิบข้าวปุกที่ร้อนดีแล้วห่อใบตองส่งให้หมี่โต ครู่ใหญ่ผ่านไป หญิงสาวก็แหวกผู้คนเข้าไปยื่นกระติกและข้าวปุกให้ชาลิม เขาทำตาโตอย่างดีใจและกล่าวขอบคุณหลายครั้ง “สาวน้อย เธอใจดีจริงๆ” ชาลิมเทน้ำชาร้อนใส่ถ้วยและจิบซิบๆ ติดกันหลายอึกอย่างกระหาย เขาบิข้าวปุกนุ่มๆ ใส่ปากและทำสีหน้ามีความสุข “เธอรอซื้อเป็นคนสุดท้ายนะ ฉันมีของขวัญตอบแทนเธอ” “ได้จ้ะ” หมี่โตและน้องๆ ยืนดูผู้คนชาวหมู่บ้านหลี่ผะส่งเสียงสอบถามราคาสินค้า ซึ่งชาลิมตอบอย่างคล่องแคล่ว เขาจำราคาสิ่งของได้ทุกอย่างและคิดเงินอย่างรวดเร็ว กระเป๋าที่เขาห้อยไว้กับเอวตุงไปด้วยเงินเหรียญ สินค้าของชาลิมพร่องไปไม่มากนัก เพราะชาวหมู่บ้านซื้อของกันคนละเล็กน้อยเนื่องจากพวกเขาไม่มีเงินมากมาย มีแค่พอใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น พวกเด็กชายหญิงส่วนใหญ่ซื้อลูกอมคนละห้าเม็ด ขนมแป้งอบคนละชิ้น และของเล่นราคาถูกที่เงินเหรียญทองแดงพอซื้อได้ เมื่อกินขนมจนหมดแล้วพวกเขาพากันวิ่งตื๋อกลับบ้านตามพ่อแม่ของตนไป “เอาละแม่สาวน้อยผู้มีน้ำใจ เธอกับน้องๆ อยากจะซื้ออะไรหรือ” ชาลิมเทน้ำชาในกระติกใส่ถ้วยดื่มอีกครั้ง เขามองหมี่โตและน้องสาวทั้งสามที่ยืนรอซื้อของเป็นกลุ่มสุดท้าย “หมี่สาม หมี่เล็กเอาอะไรจ๊ะ” หมี่โตหันไปหาน้องสาวคนเล็กทั้งสองที่กำเหรียญเงินไว้คนละเหรียญ หนึ่งเหรียญเงินมีค่าเท่ากับยี่สิบเหรียญทองแดง “ฉันอยากซื้อของกินแปลกๆ อร่อยๆ ไปให้พ่อกับแม่ได้กินจ้ะ” หมี่สามแหงนหน้าบอกชาลิมที่กำลังบิข้าวปุกใส่ปากอีกคำ เธอแบมือที่มีเหรียญเงินนอนสงบนิ่งอยู่ในนั้นให้เขาดู หมี่เล็กชูเหรียญเงินแวววาวให้ชาลิมได้เห็นบ้าง เธอพูดด้วยเสียงเล็กๆ “หนูจะซื้อผ้าห่มให้น้องสักผืนจ้ะ แม่หนูจะคลอดน้องเดือนหน้า หนูอยากให้น้องได้ห่มผ้านุ่มๆ สีสวยๆ” “อ้อ อย่างนั้นเรอะ ได้สิ” ชาลิมกินข้าวปุกจนหมดชิ้น เขาเช็ดมือกับขากางเกงแล้วลุกขึ้นยืนก่อนเอื้อมมือไปยังชั้นวางสิ่งของที่ตั้งอย่างมั่นคงในรถของเขา เขายกกล่องไม้สี่เหลี่ยมออกมาจากชั้นบนสุดอย่างประคับประคอง มันมีขนาดกว้างยาวเท่ากับท่อนแขนผู้ใหญ่ หมี่สามและหมี่เล็กขยับตัวเข้าไปยืนชิดกับท้ายรถของชาลิมผู้ซึ่งหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง เขาวางกล่องไม้ลงบนตักแล้วเปิดฝาออก “อู้ว! หอมจัง” เด็กหญิงทั้งสองอุทานเมื่อได้กลิ่นของสิ่งที่อยู่ในกล่องนั้น “สิ่งนี้เรียกว่าขนมเค้ก มันทำจากแป้งสาลี ผงฟู นม เนย น้ำตาลนวดผสมกันแล้วคลุกเคล้ากับผลไม้แห้งหลายชนิดที่มาจากทะเลทราย นอกจากนั้นยังผสมถั่วอีกสามอย่าง เมื่อนวดเข้ากันดีแล้วก็เอาเข้าเตาอบจนสุกดี เราเก็บมันไว้ได้นานหลายวันเลยละ ขนมชนิดนี้มีรสชาติหวานหอม พ่อกับแม่เธอต้องชอบแน่ เวลากินก็ใช้มีดตัดเป็นชิ้นๆ เหมือนดอกไม้ที่มีแปดกลีบนะ จะได้กินกันทั้งครอบครัว แล้วถ้าจะกินให้อร่อยต้องจิบน้ำชาอุ่นๆ อย่างนี้ตามไป” ชาลิมยกถ้วยชาขึ้นดื่มอย่างชื่นใจ “ขนมเค้กกล่องนี้ราคาเท่าไรจ๊ะ” หมี่สามถาม “หนึ่งเหรียญเงิน แม่หนู” ชาลิมตอบ เขาไม่ได้บอกเธอว่าราคาที่แท้จริงนั้นคือหนึ่งเหรียญเงินกับอีกห้าเหรียญทองแดงซึ่งเป็นค่ากล่องที่เขาสั่งทำอย่างดี เขานับถือเด็กหญิงผู้มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ เขาจึงคิดราคาเฉพาะค่าขนมเค้กแสนอร่อยก้อนนี้เท่านั้น หมี่สามยิ้มอย่างดีใจและยื่นเหรียญเงินให้ชาลิม เขาส่งกล่องขนมเค้กให้เธอซึ่งรับมาประคองกอดอย่างทนุถนอมในอ้อมแขน “วันหนึ่งฉันจะทำขนมเค้กเองให้ได้เลย” หมี่สามพูดอย่างสุขใจขณะสูดกลิ่นหอมหวานที่เล็ดลอดออกมาจากกล่อง ชาลิมยิ้มกว้างและตอบคำเด็กสาว “เธอรู้ไหม การทำขนมเค้กไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ฉันรู้ว่าเธอต้องทำได้แน่ ฉันขอแนะนำให้เธอไปหาวัวแม่มาเลี้ยงสักหนึ่งตัว เธอต้องเรียนรู้วิธีการรีดนม จากนั้นเธอต้องหัดทำเนยและครีม อ้อ เธอต้องมีแป้งสาลีด้วย” ชายเจ้าของรถสินค้าเร่เอียงร่างอ้วนใหญ่ไปด้านข้าง เขาวักเมล็ดข้าวสาลีจากในถังมาหนึ่งกำมือ เขาเทเมล็ดพันธุ์ข้าวสาลีลงในถุงกระดาษใบเล็กๆ และวางลงบนฝากล่องขนมเค้กที่หมี่สามกอดเอาไว้ เขาพูดต่อด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เธอเอาเมล็ดข้าวในถุงนี้ไปลองปลูกดูนะ ให้มันเติบโตรับแดดลมตามธรรมชาติ เมื่อมันออกรวงแล้วเธอรอไปประมาณหนึ่งเดือนจนเมล็ดข้าวแก่ จากนั้นเธอก็ตัดรวงออกมานวดและเก็บเมล็ดไว้ปลูกในฤดูต่อไป พอเธอปลูกครั้งที่สาม ตอนนั้นแหละเธอจะมีข้าวสาลีหลายถังเลยละ เวลาเธอจะทำขนมเค้กแบบนี้ เธอก็เอาเมล็ดข้าวไปโม่ให้เป็นแป้ง ผสมกับนม เนย น้ำตาล และผงฟู เธอหาซื้อของพวกนี้ในตลาดได้ อืม ฉันสนับสนุนให้เธอหัดทำขนมเค้กนะ และอยากให้เธอเอาใจใส่ เพราะชีวิตเธอจะไม่ต้องพึ่งพาใครในวันหน้าหากขนมเค้กของเธอติดตลาด เธอจะสามารถตั้งร้าน มีงานทำเลี้ยงตัวไปจนแก่เฒ่า เธอจำไว้นะ” “ขอบคุณมากจ้ะ ฉันจะทำตามที่ชาลิมแนะนำนะจ๊ะ” หมี่สามนัยน์ตาวาวด้วยความสุขจากความคิดที่ว่าวันหนึ่งตนจะได้ทำขนมเค้ก มันช่างเป็นของกินที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายเหลือเกิน เด็กสาวยื่นจมูกไปจนชิดกล่องที่ประคองไว้อีกครั้ง เธอมองถุงใส่เมล็ดข้าวสาลีและตั้งความหวังว่าฤดูกาลที่จะถึงนี้เธอจะปลูกพวกมันให้เป็นต้น ชาลิมละสายตาจากหมี่สาม เขาก้มมองหมี่เล็กที่กำลังกะเย้อกะแหย่งมองดูสินค้าในรถแล้วพูดกับเธอ “เอาละ สำหรับแม่หนูผู้ต้องการผ้าห่มสำหรับทารกน้อยๆ ที่กำลังจะเกิดมาในโลกอันแสนวุ่นวายนี้ ฉันจะเลือกผ้าห่มอย่างดีให้นะ” ชาลิมเอื้อมมือไปข้างหลังและดึงห่อสินค้าออกมาหนึ่งห่อ เขาคลี่มันออก ข้างในห่อนั้นคือผ้าห่มผืนเล็กสำหรับทารก มันมีสีแดงอ่อน แดงเข้ม ชมพูอ่อน ชมพูสว่างจ้า เหลือง ส้ม แสด ฟ้า เขียวสด ม่วงอ่อน ม่วงเข้ม และสีนวล “เธอชอบสีไหน” ชาลิมมองหมี่เล็กที่ทำตาโตมองผ้าห่มที่พับซ้อนกันเป็นตั้งในห่อ “น้องหนูคงจะชอบสีชมพูแบบนี้จ้ะ ผืนละเท่าไรจ๊ะ” หมี่เล็กชี้มือไปยังผ้าห่มสีชมพูจัดจ้า “หนึ่งผืนราคาสิบเหรียญทองแดง” ชาลิมตอบ หมี่เล็กยิ้มอย่างดีใจ “ถ้าอย่างนั้นหนูขอซื้อสองผืนเลยจ้ะ จะได้ไว้ใช้เป็นที่นอนให้น้องด้วย พ่อหนูสานเปลเสร็จแล้ว แม่คงดีใจที่น้องจะได้นอนบนผ้านุ่มๆ สีสวย” “เธอต้องการสีชมพูทั้งสองผืนเลยหรือ” “จ้ะ ชาลิม น้องหนูคงจะชอบให้ที่นอนกับผ้าห่มเป็นสีเดียวกันจ้ะ” หมี่เล็กตอบ “แล้วเธอไม่ซื้ออะไรให้ตัวเองเลยหรือไง” ชาลิมถามขณะพับผ้าห่มสีชมพูสองผืนใส่ถุงกระดาษยื่นให้เด็กหญิงและรับเหรียญเงินหย่อนใส่กระเป๋าข้างเอวของตน “หนูมีทุกอย่างแล้วจ้ะ น้องหนูยังไม่มีอะไรเลย” คำตอบของหมี่เล็กทำให้ชายเจ้าของรถสินค้าเร่หัวเราะเสียงดัง เขามองหาบางสิ่งที่อยู่บนชั้นด้านหลัง “เอ้า นี่ฉันให้หนูละกัน หนังสือภาพวาด มีตัวหนังสือประกอบด้วย หน้าปกขาดไปแล้ว แต่ช่างมันเถอะ เธอเปิดดูรูปภาพในเล่มและจำตัวอักษรไว้ให้แม่นยำ อ้อ ฉันให้ดินสอเธออีกแท่งละกัน เธอหัดวาดเขียนตัวอักษรพวกนี้ไปนะหากมีเวลาว่าง เมื่อมีโอกาสเธอควรไปหาครูที่จะสอนให้เธออ่านเขียนอย่างเป็นระบบ สักวันหนึ่งเธอจะเป็นที่พึ่งของครอบครัว” หมี่เล็กยื่นมือไปรับหนังสือภาพและดินสอที่ชาลิมส่งให้ เธอพลิกเปิดหน้าหนังสือ มันมีภาพวาดมากมาย ทั้งภาพปลา ม้า แพะ ดวงอาทิตย์ ดอกไม้ ทะเล หอย รถมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ แต่ละภาพมีตัวอักษรเขียนกำกับไว้ “ขอบคุณมากจ้ะ ชาลิม หนูชอบดูรูปภาพ แต่หนูอ่านหนังสือไม่ออก” “สักวันเธอต้องอ่านและเขียนอย่างเก่งกาจเลยละ ฉันแน่ใจ” ชาลิมกล่าวและเริ่มเก็บของในรถให้เป็นระเบียบ “หนูจะพยายามจ้ะ” หมี่เล็กพูดพลางปิดหน้าหนังสืออย่างทะนุถนอม เธอเก็บดินสอลงกระเป๋าเสื้อและถอยตัวออกไปเพื่อให้พี่สาวเข้ามาดูสินค้า “แล้วสาวน้อยสองคนนี้จะซื้ออะไรกันหรือ” “ฉันอยากได้ลูกปัดหลายๆ สีจ้ะ” หมี่รองบอกพ่อค้าเร่ “เธอจะใช้เยอะหรือเปล่า ห่อเล็กๆ ก็มีนะ เป็นลูกปัดหลายสีหลายแบบรวมกัน ตกแต่งเสื้อผ้าได้หนึ่งตัว ราคาสิบเหรียญทองแดง” ชาลิมถามเพื่อจะได้หยิบสินค้าให้เธอได้ถูกต้อง หมี่รองรีบอธิบาย “ฉันต้องใช้เยอะจ้ะ ชาลิม ฉันจะประดับลูกปัดลงบนเสื้อให้พ่อกับแม่ ให้พี่หมี่โตและน้องสาวสองคนนี้ อีกสองเดือนจะมีงานฉลองปีใหม่ดอย ทุกคนในบ้านต้องมีเสื้อสวยๆ ใส่” “อ้อ อย่างนั้นหรือ” ชาลิมพยักหน้า เขาหันไปเปิดลิ้นชักเล็กๆ ด้านซ้ายมือของเขาและหยิบห่อลูกปัดออกมาวางเรียงให้หมี่รองชี้มือเลือก “เธอมีเงินเท่าไร” “สองเหรียญเงินจ้ะ อ้อไม่ใช่สิ พี่สาวฉันให้มาอีกหนึ่งเหรียญ” “แปลว่าเธอมีสามเหรียญเงิน ถ้าอย่างนั้นเธอเอาไปหมดนี้เลย เธอจะมีลูกปัดหลายชนิดไว้ตกแต่งเสื้อ มีทั้งแบบกลมๆ และแบบแบนๆ ที่เป็นเลื่อมสวยงาม ฉันแถมลูกปัดมุกสีขาวให้เธอโดยเฉพาะเลยนะ เสื้อที่เธอปักลูกปัดพวกนี้ลงไปจะนำโชคลาภมาให้เธอ ฉันหมายถึงว่าเธอจะมีเงินใช้จากการใช้ฝีมือทำงาน โชคลาภของเธอไม่ได้ตกลงมาจากฟ้า แต่มาจากน้ำพักน้ำแรงของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ” “ขอบคุณมากจ้ะ ชาลิม” หมี่รองยื่นมือส่งเหรียญเงินให้ชาลิม เขานำห่อลูกปัดทั้งหมดใส่ลงในถุงหูหิ้วแล้วส่งให้เธอ จากนั้นเขาหันหน้าไปทางหมี่โตแล้วถามด้วยเสียงนุ่มนวล “เอาละ ทีนี้ก็ถึงตาเธอละ สาวน้อยผู้มีน้ำใจ เธอจะซื้ออะไรล่ะ” หมี่โตขยับตัวเข้าไปจนชิดท้ายรถ เธอบอกเขาว่า “ฉันจะซื้อด้ายเย็บผ้ากับด้ายสำหรับปักผ้าจ้ะ ฉันมีผ้าทอหลายผืนที่ต้องเย็บเป็นเสื้อผ้าสำหรับพวกเราใส่” หมี่โตตอบ “อ้อ แล้ววันนี้เธอพกเงินมาเท่าไร” “สองเหรียญเงินจ้ะ” “อืม” ชาลิมพยักหน้าช้าๆ เขาเหม่อมองท้องฟ้าครู่หนึ่ง แดดจ้าส่องแสงแยงตาเขา “เอาละ สาวน้อยผู้มีน้ำใจ ฉันมีเส้นด้ายเหลืออยู่อย่างละกล่องพอดี” ชาลิมเอี้ยวตัวยังชั้นเก็บของด้านหลัง เขาดึงกล่องโลหะออกมาและเปิดให้หมี่โตได้เห็น ภายในกล่องนั้นมีเส้นด้ายหลายชนิดและหลายสีม้วนเป็นหลอดกลมๆ อัดแน่นเต็มกล่อง “เธออยากได้แบบไหนเลือกไปได้เลย เท่าที่เธอรู้สึกว่าเงินสองเหรียญของเธอจะซื้อได้” “ชาลิมขายคนอื่นม้วนละเท่าไรจ๊ะ ฉันจะได้หยิบตามราคา” หมี่โตเงยหน้าถาม “คนอื่นฉันขายม้วนละสี่เหรียญทองแดง แต่สำหรับเธอฉันให้เธอหยิบเอาไปให้พอใช้ จะเอาไปกี่ม้วนก็ได้ หรือจะเอาทั้งหมดกล่องฉันก็ไม่ว่า ฉันพูดคำไหนคำนั้น” หมี่โตพยักหน้า เธอเลือกด้ายจากในกล่องออกมาสิบม้วนซึ่งมีราคาเท่ากับสองเหรียญเงิน “ฉันต้องการเท่านี้จ้ะ” ชาลิมหยิบด้ายทั้งสิบม้วนใส่ถุงผ้าอย่างดี เขาหันไปหยิบหลอดยาวขนาดนิ้วมือหนึ่งหลอดใส่ลงไปในถุงแล้วบอกหมี่โตว่า “ฉันแถมเข็มเย็บผ้าให้เธอนะ มันเป็นเข็มที่ตีจากเหล็กกล้าซึ่งมีความทนทานอย่างยิ่ง เธอสามารถใช้มันไปจนตลอดชีวิตของเธอ ในหลอดนี้มีเข็มหลายขนาด เธอเลือกใช้ตามความหนาบางของเนื้อผ้าและของเส้นด้าย งานเย็บลวดลายบนผืนผ้าจะสร้างชื่อเสียงให้เธอมีงานทำไปตลอดชีวิต เธอจะไม่อับจนหนทาง ตราบเท่าที่เธอยังสามารถปักเสื้อผ้าได้ด้วยฝีมือ ความสร้างสรรค์ และความสามารถของตนเอง เข็มของฉันเป็นเพียงเครื่องมือ มันไม่มีอำนาจวิเศษอะไร” เมื่อพูดจบชาลิมก็ยื่นถุงให้หมี่โตและรับเหรียญเงินที่เธอส่งให้ “ขอบคุณมากนะจ๊ะชาลิม” หมี่โตกล่าว “เอาละ ฉันต้องเดินทางต่อเสียที ฉันอาจไม่ได้กลับมาที่หมู่บ้านอีกแล้วนะ” ชาลิมพูดพลางลุกขึ้นยืน “อ้าว ทำไมละจ๊ะ!” พี่น้องทั้งสี่ถามขึ้นพร้อมกัน ชาลิมกระโดดลงมาจากท้ายรถ เขาดึงผ้าใบปิดคลุมและมัดเงื่อนปมตามที่ของมันเช่นเดียวกับเมื่อก่อนหน้านี้ เมื่อมัดเสร็จเขาหันมาตอบว่า “แม่หนูที่น่ารัก บัดนี้ฉันเริ่มย่างเข้าสู่วัยชรา จริงอยู่ว่าตอนนี้ฉันยังไม่เจ็บป่วยสักเท่าใดนัก แต่ฉันก็รู้ตัวว่าฉันคงต้องเลิกเดินทางไกลเสียที แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ วันหน้ารถคันนี้อาจแวะมาที่หมู่บ้านนี้อีกหากลูกชายคนใดคนหนึ่งของฉันจะยอมเลือกอาชีพพ่อค้าเร่ที่ต้องเดินทางห่างครอบครัวปีละหลายครั้ง นอกจากนั้นยังต้องเสี่ยงกับการถูกจี้ปล้นกลางทาง” ชาลิมพูดจบเขาก็โหนตัวขึ้นไปและติดเครื่องยนต์ เขาโบกมือให้เด็กสาวทั้งสี่ หมี่โต หมี่รอง หมี่สามและหมี่เล็กส่งเสียงลา “ค่อยๆ ไปนะจ๊ะ ชาลิม” เมื่อรถบรรทุกสินค้าของชาลิมจากไปลับตาแล้ว ทุกคนพากันเดินกลับบ้าน “หนักไหม หมี่สาม ให้พี่ช่วยดีกว่านะ” หมี่โตถามน้องสาวที่เดินกอดประคองกล่องขนมเค้กไปตามทาง “ไม่หนักเท่าไรจ้ะ ฉันถือได้” หมี่สามตอบพลางสูดกลิ่นขนมเค้กจากฝากล่องอย่างพึงใจ หมี่เล็กที่เดินตามหลังพวกพี่ๆ เปิดหน้าหนังสือนิทานเพื่อดูรูปภาพที่มีสีสันสวยงาม เธอหนีบห่อผ้าห่มของน้องน้อยไว้ใต้แขน สาวน้อยทั้งสี่พากันเร่งฝีเท้าไปตามถนนเล็กๆ จนถึงหน้าบ้าน อาฉ่ากลับจากป่าแล้ว เขากำลังต้มยาสมุนไพรกลิ่นหอมให้อาซึได้ดื่ม อาหารค่ำวันนั้นผ่านไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุย ลูกสาวทั้งสี่เล่าให้พ่อแม่ฟังถึงสิ่งที่ชาลิมบอกพวกเธอ ขนมเค้กที่หมี่สามซื้อมาด้วยราคาแพงนั้นมีความนุ่มนวลและมีรสชาติหอมหวานแปลกลิ้นอย่างที่พวกเธอไม่เคยได้ลิ้มรสมาก่อน หมี่สามหลับตาและพยายามแยกแยะสิ่งที่อยู่ในปากว่ามีสิ่งใดบ้าง เธอไม่อาจรู้ได้เพราะเธอไม่เคยเห็นวัตถุดิบเหล่านั้น แต่เธอตั้งใจไว้ว่าสักวันหนึ่งเธอจะต้องเรียนรู้การทำขนมชนิดนี้ให้จงได้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD