บทที่ 4 กลัวความสูง

1918 Words
ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพาไปไหน แต่พอเขาเดินออกมาก็มีคนจำนวนมากเดินตามแผ่นหลังกว้างนี้ เป็นผู้ชายในชุดสูทโดยส่วนใหญ่ ความตกใจและความสงสัยทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามคุณยูโรที่เดินสงบเสงี่ยมอยู่ข้าง ๆ “ไปไหนคะ” ทว่า “ชู่ว~” เขากลับยกนิ้วชี้ขึ้นแตะริมฝีปากให้ฉันเงียบ คือฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย อยู่ ๆ คุณจิณณ์ก็เดินจ้ำอ้าวออกมา โดยไม่อธิบายอะไรใด ๆ ทั้งสิ้น …คุณจิณณ์เดินขึ้นลิฟต์ ฉันก็เลยเดินตามไป แต่ก็ต้องตกใจที่ไม่มีใครขึ้นลิฟต์ตัวนี้เลย “อ้าว…เหลือพื้นที่ตั้งเยอะ” ฉันอุทานด้วยความแปลกใจ ก่อนที่คนทางด้านหลังฉันจะทนไม่ไหว “เพราะทุกคนรู้ว่าฉันไม่ชอบขึ้นลิฟต์กับใคร เขาก็เลยไม่ขึ้นมา” เขาว่าน้ำเสียงนิ่งเรียบ แสดงว่าที่ฉันขึ้นมานี้… “อุ้ย!” พอหันหลังไปก็เห็นว่าเขาจ้องฉันตาเขม็ง สายตาเพ่งเล็งหาเรื่องพลอยทำให้ฉันหวาดหวั่น “ก็ฉันไม่รู้นี่” “เธอคงไม่รู้จักคำว่า เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามสินะ” ฉันเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ตั้งแต่มาที่นี่ฉันโดนตานี่ด่าไปเยอะมากเลยทีเดียว ไม่รู้เก็บกดมาจากไหน ถึงอย่างนั้นเขาก็เอื้อมมือไปกดลิฟต์อยู่ดี “ก็มันยังมีพื้นที่ว่างขึ้นได้ คุณนั่นแหละไม่มีน้ำใจให้พนักงานขึ้นด้วย” “ก็ฉันเป็นเจ้านาย จะทำไรก็ย่อมได้” ว่าหน้าตาเฉย แต่มันก็จริง เขาสามารถทำอะไรก็ได้เพราะเป็นเจ้านาย คิดได้อย่างนั้นฉันก็เลยหันหน้ากลับไปมองประตูลิฟต์ดังเดิม คว่ำปากลงอย่างคนนึกหมั่นไส้ ทว่าสายตาก็พลันมองเห็นดวงตาคมที่มองฉันผ่านบานกระจกของลิฟต์อยู่ ให้ตายสิ...เขาเห็นว่าฉันทำหน้าไม่พอใจเขาแน่ ๆ แต่คุณจิณณ์ก็ไม่ได้ว่าอะไร กระทั่งลิฟต์เคลื่อนมาถึงที่หมาย ติ๊ง! “อ๊ะ!...” คนตัวโตทางด้านหลังเดินกระแทกไหล่ของฉันไป เขาออกจากลิฟต์ แต่ฉันไม่สามารถก้าวขาไปได้ เพราะตรงหน้าคือ ดาดฟ้า! หัวใจของฉันเต้นโครมคราม พร้อมกับเหงื่อที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก ลำคอของฉันแห้งผากแทบไม่มีน้ำลาย ฉันกลัวความสูงมาก “ออกมาสิ” เขาเร่งเมื่อเห็นว่าประตูลิฟต์กำลังจะเคลื่อนปิด ฝ่ามือหนายื่นมาคว้าข้อมือของฉัน เขากระชากอย่างแรง “เป็นบ้าอะไรวะ” ตัวของฉันแข็งทื่อ ไม่แปลกที่เขาจะตกใจ รอบกายมีคนหลายคนกำลังมองมาที่เรา “ฉะฉันกลัว” “กลัว?” “ฉันกลัวตก...” ไม่รู้ว่าทำไม แต่ฉันกลัวตกลงไปข้างล่าง เหมือนกับฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนฉันมาโดยตลอด “จะตกได้ไง!” เขาไม่เข้าใจฉัน แน่นอนว่าไม่มีใครเข้าใจฉัน อาการแบบนี้มีแค่ฉันเท่านั้นที่เข้าใจ แม้นแต่จิตแพทย์เองก็ไม่เข้าใจ “ฉันขอลงไปข้างล่างได้ไหม” ขาของฉันสั่นพั่บ ๆ เลย แต่เขากลับส่ายหน้า “ใกล้ถึงเวลาประชุมแล้ว” “ประชุมบนดาดฟ้าเนี่ยนะ” “ใช่ บรรยากาศดี เครื่องเพชรสะท้อนแสง” ฉันเลื่อนสายตามองไปรอบกายก็เป็นอย่างที่เขาพูด มีคนหลายคนกำลังเดินดูเครื่องประดับ บรรยากาศแดดเปรี้ยง ๆ แต่ทุกคนก็ถือร่มคนละคัน “แต่ฉัน...” ฉันหายใจติดขัด แต่พอคิดว่าตัวเองมาทำงานก็ต้องก้มหน้าทำ ท่องไว้ในใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นมันไม่เคยเกิดขึ้น และจะไม่มีวันเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด ...บรรยากาศตรงหน้าทำให้ขาของฉันสั่น คุณจิณณ์ลอบมองฉันเป็นระยะ ๆ ราวกับว่ากำลังสังเกตอาการของฉัน “อึก...” ฉันกลืนน้ำลายรอบแล้วรอบเล่า ความรู้สึกหวิว ๆ ในใจทำให้ฉันต้องก้มหน้าลง คุณจิณณ์ทำหน้าเอือม ๆ ใส่ฉัน ระหว่างที่เราทั้งคู่กำลังยืนฟังโอเปอเรเตอร์กำลังยืนอธิบายเครื่องประดับที่อยู่ในตู้นิรภัย “สวัสดีค่ะท่านประธาน ดิฉันเป็นตัวแทนจากบริษัทเหมืองน้ำดีจำกัดค่ะ เพชรจากเหมืองของเราเมื่อถูกแสงยูวีแล้วจะเพชรแสดงการเรืองแสง เกิดจากการที่เพชรดูดกลืนพลังงานของรังสี UV ไว้โดยอิออนที่เป็นตัวกระตุ้น (Activator) แต่ถ้าแสดงในห้องที่มืดสนิทจะเห็นชัดกว่านี้ค่ะ” เธออธิบายตามหน้าที่ แต่ผู้ชายตรงหน้ากลับไม่ได้ใส่ใจฟังเธอเลยสักนิด คุณจิณณ์มองมาที่ฉันที่ตอนนี้ตัวเริ่มสั่น ฉันพยายามจะไม่มองออกไปรอบกาย แต่มันอดไม่ได้จริง ๆ “จดสิ เธอจะมาเป็นผู้ช่วยเลขาฯก็ต้องจดทุกอย่างที่ได้ยิน” เขาว่าเสียงเข้ม แต่พอฉันเปิดไอแพดฝ่ามือของฉันก็สั่นเทา ลนลานจนทำให้ปากกาไอแพดร่วงหล่นจากมือ “อ๊ะ...ขะขอโทษค่ะ” “จิ๊...” เขาจิ๊ปากไม่พอใจ พร้อมกับถดขาหนี ทว่าขณะนั้นเองที่ฉันรู้สึกเหมือนกับวูบ หน้ามืดไปชั่วขณะ พรึ่บ! “เธอ!” แต่คนตัวโตข้าง ๆ ก็รับฉันไว้ทัน ไม่อย่างนั้นฉันว่าตัวเองคงล้มคะมำลงพื้นแล้วแน่ ๆ “ฉะฉันไม่ไหวแล้วค่ะ ฉันกลัว” ฉันกำเสื้อของเขาไว้แน่น รู้สึกว่าตัวเองกำลังหายใจไม่ออก สายตาก็พร่ามัว กระทั่งรู้สึกว่าเขาคนนี้กำลังอุ้มฉันขึ้น “ปัญหาเยอะจริง ๆ” เขาอุ้มไปบ่นไประหว่างเดินกลับเข้าลิฟต์ตัวเดิม อาการของฉันก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เรียกได้ว่าหายใจโล่งจมูกก็ว่าได้ ทว่าสายตาคมที่จับจ้องฉันอยู่นี้ “อุ้ย!...” “เธอแกล้งงั้นเหรอ” เขาขมวดคิ้วถาม “ปะเปล่านะ ฉันรู้สึกหน้ามืดจริง ๆ” คุณจิณณ์กลอกตามองบน ก่อนที่เขาจะปล่อยฉันลงพื้นโดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ โชคยังดีที่ฉันตั้งหลักได้ “บ้าฉิบ...เธอทำให้ฉันเสียเวลารู้ตัวหรือเปล่า” เขาว่าอย่างข่มอารมณ์ “ฉันขอโทษค่ะ ฉันรู้สึกไม่ดีจริง ๆ ฉันกลัวความสูง กลัวว่าจะตก” ว่าน้ำตาคลอ ไม่ได้อยากบีบน้ำตา แต่สถานการณ์เมื่อครู่มันน่ากลัวจริง ๆ ความสูงแบบนั้น มันเหมือนกับฝัน วันที่ผู้หญิงที่ชื่อเบญจมาศตกลงไป ฉันรู้สึกหวิว ๆ เหมือนกับตอนนี้เลย “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ทำงานกับฉันไม่ได้” ว่าเสียงราบเรียบ แต่มันกลับทำให้ฉันตาโต แล้วอย่างนี้จะทำยังไง “ได้สิ ก็แค่ไม่ขึ้นที่สูง” “หึ เพราะฉันจะพาเธอไปที่สูงไง เอาให้เธอเป็นลมจนอ้วกซ้ำ ๆ” เขาเหยียดยิ้มมุมปากอย่างคนเจ้าเล่ห์หลังพูดจบ ทำให้ฉันอ้าปากค้างจนเป็นรูปตัวโอ เขารู้จุดอ่อนของฉันแล้ว หลังจากนี้คงหาวิธีกลั่นแกล้งได้ ไม่น่าเลย ฉันไม่รู้ว่าจะตอบยังไงก็เลยหลุบตาต่ำลงมองปลายเท้าของตัวเอง ทว่า “กลับไป” เสียงของเขาก็ทำให้ฉันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเป็นจังหวะพอดีที่ประตูลิฟต์เลื่อนเปิดออก “ออกไปสิ” “คือ...ฉันอยากทำงานที่นี่ ถ้าฉันไม่ได้ทำงานที่นี่...” ผลัก! “อ๊ะ...” ฉันยังพูดไม่ทันจบฝ่ามือหนาของเขาก็ผลักไหล่ของฉันแรง ๆ ให้ออกจากลิฟต์ ยังดีที่ฉันตั้งหลักได้ ไม่งั้นหน้าคะมำจริง ๆ แน่ “เดี๋ยวสิ คุณจิณณ์!!” แต่พอจะก้าวขากลับเขาก็กดปิดประตูลิฟต์ ซึ่งมันก็ปิดด้วยความรวดเร็วเกินกว่าฉันจะไปถึง “ให้ตายสิ! แล้วฉันจะ...ฮึ่ย” เขาคิดว่าฉันอยากคบกับเขามากมั้ง หยิ่งก็หยิ่ง ตัวก็ใหญ่ หน้าตาก็...ก็ หล่อเกินไปอีกต่างหาก ...ฉันยืนหันซ้ายแลขวาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากบริษัทไปโดยไม่ลืมโทรเรียกคนขับรถให้มารับ พอขึ้นรถมาความกังวลต่าง ๆ นานาก็แล่นเข้ามาในหัว ฉันอยากเรียนให้จบเร็ว ๆ แต่ถ้าไม่ได้ฝึกงานทางมหา’ลัยต้องไม่ให้ฉันจบแน่ ๆ “ถึงแล้วครับคุณหนู” “อ้อ ค่ะ” ฉันสะดุ้งหน่อย ๆ ก่อนจะรีบลงจากรถ เพราะตอนนี้ฉันอยากรู้มากว่าทำไมแม่ไม่บอกก่อนว่าต้องการจับคู่ฉันกับผู้ชายท่าทีหยิ่งยโสคนนั้น “อ้าว! กลับมาไวจังลูก!” เสียงตะโกนเรียกนี้ไม่ต้องเดาว่าเป็นใคร คุณหญิงของบ้าน แม่ฉันเอง “ก็เพราะแม่นั่นแหละค่ะ” ฉันยกแขนที่ยังมีกระเป๋าสะพายข้างนี้ขึ้นกอดอก พลางทำหน้าไม่พอใจคนเป็นแม่ “อ้าว...ทำไมว่างั้นล่ะลูก ไหน ๆ วันนี้ไปทำงานวันแรกเป็นไง ได้เจอพี่เขาไหม” แม่ตาโตมาก แถมยังเข้ามาคล้องแขนของฉันอีกด้วย “ทำไมแม่ไม่บอกหนูก่อนคะว่าจะจับคู่หนูกับผู้ชายคนนั้น คนที่เป็นเจ้านายหนู” “โอ้ะ โอ...แสดงว่าเจอกันแล้วงั้นสิ” “ก็...เจอน่ะสิหนูถึงอารมณ์ไม่ดี” ว่าพร้อมกับหย่อนสะโพกลงที่โซฟา อยากจะบ้าตายผู้ชายคนนั้นมองฉันอย่างกับว่าฉันเป็นสิ่งปฏิกูลอย่างไงอย่างนั้น “หือ หนูไม่โอเคเหรอ จิณณ์น่ะเป็นนักธุรกิจไฟแรง บริหารงานต่อจากน้าจอมพลได้กำไรหลายร้อยล้านในไม่กี่ปีเลยนะ แถมยังหน้าตาดีอีก” “แล้วก็ปากจัดมากค่ะ” แม่ไม่ต้องบอก อันนี้ฉันสัมผัสมาแล้ว คอนเฟิร์มว่าเขาน่ะ...มีหมาในปาก “หึ แม่ว่า...ก็พอ ๆ กันนะ” “อ้าว...แม่กำลังว่าหนูปากจัดเหรอคะ” “ใช่” “ห้ะ!” “อ้อ ไม่ใช่สิ” ฉันอ้าปากเหวอ นี่แม่กำลังด่าฉันกลาย ๆ แต่ชมผู้ชายคนนั้นอยู่เหรอ ก่อนที่แม่จะรีบเปลี่ยนเรื่อง “คืองี้หนูลูก...แม่น่ะอยากให้หนูได้แต่งงานกับพี่เขา” “แต่หนูไม่อยากแต่ง แม่ก็รู้ว่าหนูกลัวอะไรมากที่สุดในชีวิต” “ก็เพราะแม่รู้นี่ไง แม่ถึงต้องจับคู่ให้ลูก” ฉันขมวดคิ้วฟังสิ่งที่แม่พูดด้วยความไม่เข้าใจ แล้วดูเหมือนแม่จะรู้ ท่านค่อย ๆ เอ่ยพูดอีกครั้ง “หนูบอกแม่ว่าหนูกลัวว่าจะไปเป็นเมียน้อยใครใช่ไหม คนนี้แหละที่ยังโสดแบบสุด ๆ ไม่ได้มีภรรยาหรือมีแฟน เพียบพร้อมทุกอย่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาศึกษาดูใจกับผู้ชายคนอื่น แล้วมารู้ทีหลังว่าเขามีเมียอยู่แล้วเหมือนที่หนูไม่ชอบไงลูก” คุณแม่พูดยาวเหยียด ซึ่งฉันเคยปณิธานตัวเองไว้ว่าจะไม่มีทางไปเป็นเมียน้อยใคร เหมือนกับผู้หญิงที่ชื่อเบญจมาศที่ฉันฝันถึงทุกวัน “จริงเหรอ” “จริงสิลูก แม่ว่ามันเป็นโอกาสที่ดีนะ เราจะได้เกี่ยวดองกันด้วย” ฉันเริ่มคล้อยตาม ตั้งแต่เด็กจนโต ถึงฉันจะสวย แซ่บ ซ่าแค่ไหนแต่ฉันก็ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ด้วยเหตุผลนั้น ถ้าแม่ว่าดี...ฉันว่าฉันก็อยากจะลองดูสักครั้ง อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นน้อยใคร
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD