“เฮียทานต์ใจร้าย!” ปารารินบ่นพึมพำด้วยความน้อยใจขณะกดสำลีที่มีตัวยารักษาแผลสดลงไปบนรอยถลอก ดีที่เป็นมือซ้ายและไม่ได้เป็นอะไรมาก เธอยังจัดการด้วยตัวเองได้เพราะถ้าเกิดเจ็บมากกว่านี้คงต้องโทร. ตามวริษามาช่วยพาไปโรงพยาบาล
“คอยดูนะ สวยเมื่อไหร่จะไม่ง้อเลย...อูย...แสบจัง” เข่นเขี้ยวไปพลางสูดปากด้วยความแสบเมื่อตัวยาเริ่มซึมเข้าแผล ถึงแผลจะเล็กแต่มีเลือดซึมแบบนี้ พอใส่ยาเข้าไปก็เอาเรื่องเหมือนกัน
“แสบเป็นบ้าเลย” ขณะเก็บอุปกรณ์ทำแผล ปากก็ยังบ่นไม่เลิก นึกถึงต้นเหตุที่ทำเธอต้องเจ็บตัวยิ่งรู้สึกน้อยใจ
ใบหน้าไร้ความรู้สึกและดวงตานิ่งเรียบของเฮียทานต์ช่างดูโหดร้ายเหลือเกิน นึกแล้วก็พานเกิดความรู้สึกหม่นในใจอย่างบอกไม่ถูก
พี่ชายใจดีที่เคยเอ็นดูเธอคนเดิมไม่มีอีกแล้ว...
ปารารินเดินถืออุปกรณ์ทำแผลไปเก็บใส่ตู้ยาแล้วกลับมานั่งซบหน้ากับโซฟาในห้องนั่งเล่น ถอนหายใจทอดอาลัยถึงเพื่อนพี่ชายผู้เคยทำให้โลกทั้งใบของเธอสดใส
ย้อนกลับไปหลายปีก่อน ครอบครัวเฮียทานต์ย้ายมาอยู่บ้านติดกับร้านขายวัสดุก่อสร้างของป๊าม๊าเธอ
เด็กชายทานต์จึงสนิทกับเด็กชายปกป้องพี่ชายปารารินเนื่องจากรุ่นราวคราวเดียวกัน และถูกปารารินเรียกเฮียตามแบบที่เรียกพี่ชายตัวเองตั้งแต่นั้นมา ทั้งที่เด็กชายทานต์นั้นมีใบหน้าออกไปทางลูกครึ่งฝรั่ง ผิดกับพวกเธอสองพี่น้องที่มีเชื้อสายจีนอยู่เกินครึ่งจากฝั่งป๊าและม๊า
ความที่เด็กหญิงปารารินมักเกาะติดพี่ชายแจ อีกทั้งปกป้องก็รักน้องสาวมากจึงมักจะหอบหิ้วกันไปไหนมาไหนด้วยตลอดเวลา บวกกับเฮียทานต์เป็นลูกชายคนเดียวไม่มีพี่น้อง เขาจึงรักและเอ็นดูปารารินเสมือนน้องสาวอีกคน
ทั้งสามสนิทกันไม่ต่างจากพี่น้องถึงขั้นนอนเตียงเดียวกันบ่อย ๆ จนเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นพวกเขาเดินเข้าออกบ้านสองหลังเหมือนเป็นบ้านตัวเอง
จวบจนกระทั่งครอบครัวเฮียทานต์ต้องย้ายกลับไปดูแลธุรกิจที่กรุงเทพฯ นั่นแหละคือสาเหตุให้น้องสาวเริ่มรู้ใจตัวเองว่าไม่ได้รักเฮียทานต์เหมือนพี่ชายอีกต่อไป
ยิ่งเวลาผ่านไปนานวันเข้า ความรู้สึกก็ยิ่งชัดเจน
เธอในวัยเด็กสาวมัธยมปลาย รู้สึกดีใจมากที่ทราบข่าวว่าเฮียทานต์เลือกกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยต่างจังหวัด แทนที่จะเข้าเรียนในกรุงเทพฯ ซึ่งปารารินคิดว่าเหตุผลที่เฮียทานต์เลือกเรียนที่นี่เพราะจะได้เรียนกับเพื่อนสนิทก็คือเฮียปกนั่นเอง
ความที่มหาวิทยาลัยนี้อยู่ในอำเภอเมือง ครอบครัวเฮียทานต์จึงซื้อบ้านเอาไว้ให้ลูกชายพักอาศัยระหว่างเรียนอยู่ที่นี่ ทั้งยังมอบหมายให้ชายหนุ่มดูแลกิจการบางส่วนในแถบจังหวัดนี้
ทางด้านเฮียปก ป๊าม๊าก็ซื้อบ้านในตัวเมืองให้เช่นกัน แต่เป็นหมู่บ้านจัดสรรขนาดกลางซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านจัดสรรสุดหรูของเฮียทานต์เพียงแค่ซอยเดียวเท่านั้น
และปัจจุบันนี้ ปารารินก็ได้ขออนุญาตทางบ้านมาพักอยู่กับพี่ชาย โดยอ้างเหตุผลว่าป๊าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถรับส่ง เนื่องจากโรงเรียนของเธออยู่ในตัวเมือง แต่บ้านอยู่อีกอำเภอหนึ่งใช้เวลาเดินทางไปกลับเกือบสองชั่วโมง
แน่นอนที่สุด เหตุผลสำคัญที่ปารารินเก็บซ่อนไว้ในใจคือเธออยากอยู่ใกล้ ๆ เฮียทานต์ และทุกอย่างก็ดำเนินไปสมความปรารถนาของเธอด้วยดี
กระทั่งเฮียปกได้รับทุนแลกเปลี่ยนไปเรียนต่างประเทศหนึ่งปี เหตุการณ์พลิกผันก็เกิดขึ้นเพราะปารารินได้ข่าวเฮียทานต์เริ่มมีแฟน
ปารารินเกิดความรู้สึกฝันสลายที่เห็นเฮียทานต์ไปไหนมาไหนกับผู้หญิงสาวสวยหุ้นเปะปัง เธอสืบทราบว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นเพื่อนในคณะที่มีดีกรีเป็นถึงดาวมหาวิทยาลัย
ระหว่างเห็นพวกเขาสองคนคบกันอย่างมีความสุขนั้น ปารารินยังคงไปมาหาสู่กับเฮียทานต์ตามปกติ เฮียทานต์ยังดูแลเธออย่างใกล้ชิดเหมือนเดิม คงเป็นคำฝากฝังจากเฮียปก ซึ่งพวกเขายังติดต่อกันตลอด
ส่วนหนึ่งปารารินคิดว่าเฮียทานต์ยังเอ็นดูเธอในฐานะน้องสาวเหมือนแต่ก่อน เขาจึงมักแวะมาที่บ้าน บางครั้งก็มานอนค้างในวันหยุดเพราะไม่อยากปล่อยเธออยู่บ้านเพียงลำพัง
ทว่าระยะหลังเมื่อเฮียทานต์มีแฟน บ่อยครั้งยามชายหนุ่มมาที่บ้านปาราริน มักจะมีแฟนสาวคนสวยติดสอยห้อยตามมาด้วยตลอด
ปารารินพยายามทำใจยอมรับสถานะน้องสาวทั้งที่ในใจต่อต้านและทรมานทุกครั้งที่เห็นพวกเขาแสดงความรัก ความเอาใจใส่ในกันและกันในฐานะแฟน
เด็กสาวคิดว่าเธอคงตัดใจได้ง่าย ๆ หากไม่เพราะมีโอกาสได้รับรู้ความลับบางอย่างเข้าในวันหนึ่ง ขณะปารารินกำลังเดินเข้าไปหยิบผลไม้ในครัวเพื่อนำมาเสิร์ฟเป็นของว่างให้เฮียทานต์กับแฟนสาว
“ไผ่จะมารับหมิวกี่โมง”
เสียงคุยโทรศัพท์นัดแนะของพี่หมิวซึ่งเป็นแฟนสาวของเฮียทานต์ดังอยู่หลังบ้าน ทำให้ปารารินที่กำลังถือจานผลไม้จะเดินออกไปเรียกต้องชะงักเท้าแล้วยอมเสียมารยาทแอบฟัง
“หมิวก็คิดถึงไผ่มากจ้ะ รีบมานะ”
ประโยคสนทนาหวานหยดกับคนปลายสาย ยิ่งทำให้ปารารินหัวใจเต้นกระหน่ำมือเท้าเย็นเฉียบ ความโกรธเริ่มปะทุขึ้น เรื่อย ๆ ขณะยืนฟังเพื่อให้แน่ใจว่าเธอเข้าใจไม่ผิด...พี่หมิวกำลังหักหลังเฮียทานต์!
“พรุ่งนี้หมิวไม่มีเรียน เราไปนอนเล่นพัทยากันมั้ย...จริงนะ...รักไผ่ที่สุดเลยจ้ะ” คำบอกรักของสาวเจ้ายิ่งทำให้คนแอบฟังถึงกับหน้าถอดสี นึกเห็นใจเฮียทานต์ขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าเขาจะเสียใจแค่ไหนที่ตัวเองถูกสวมเขาลับหลังแบบนี้ จากบทสนทนาที่ได้ฟัง พอจะเดาถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาได้เลยว่าสนิทกันขั้นไหน แล้วกับเฮียทานต์ของเธอล่ะ
ยิ่งคิดปารารินก็เริ่มโกรธจนนึกอยากเข้าไปกระชากผู้หญิงคนนั้นมาสั่งสอน โทษฐานที่พี่หมิวทำนิสัยแย่แบบนี้
เธอไม่มีทางยอมให้ผู้หญิงคนไหนมาทำเฮียทานต์เสียใจแน่ ๆ แบบนี้ต้องจัดการให้หนัก
“ผู้หญิงแบบไหนกันนะบอกรักผู้ชายคนอื่นลับหลังแฟนแบบนี้ได้” ปารารินเปิดฉากแหน็บออกไปแรง ๆ เธอเห็นพี่หมิวสะดุ้งหน้าซีดที่ถูกรู้ความลับ เด็กสาวกระตุกยิ้มเหยียด ๆ ที่กระชากหน้ากากสวย ๆ ของผู้หญิงคนนี้ได้ซะที ความสวยงามภายนอกที่ใครต่อใครต่างหลงใหลได้ปลื้ม แท้จริงคือละครฉากหนึ่งของคนหลอกลวง เสียแรงที่ปารารินพยายามเปิดใจยอมรับเพราะเห็นเฮียทานต์รักผู้หญิงคนนี้
“เอ่อ...น้องรินมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” หมิวยังทำหน้าไม่รู้เรื่อง
“รินไม่คิดเลยว่าพี่หมิวจะกล้าสวมเขาเฮียทานต์”
“น้องรินพูดอะไรคะ สวมเขาอะไรกัน”
“เลิกตีหน้าซื่อซะทีค่ะพี่หมิว รินรู้เรื่องหมดแล้ว พี่หมิวไม่ได้รักเฮียทานต์ของรินก็ไม่ว่า แต่อย่ามาแอบสวมเขาลับหลังเขาแบบนี้ พี่รักคนอื่นก็เลิกกับเฮียทานต์ไปซะสิ จะคบซ้อนทำไม รู้ไหมว่ามันทำคนอื่นเสียใจ”
“เอ่อ...น้องริน...พี่...” หมิวอึกอักเหมือนกำลังหาทางอธิบายอะไรบางอย่าง แต่ปารารินกำลังโกรธจึงไม่สนใจฟังอะไร เธอไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายคนที่เธอรัก เฮียทานต์จะเสียใจเพราะผู้หญิงแบบนี้ไม่ได้
ปารารินเตรียมก้าวออกไปเอาเรื่องผู้หญิงใจโลเลให้ถึงที่สุด ขนาดเธอพูดตรง ๆ แล้วก็ยังทำหน้าเหมือนว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มันน่าเจ็บใจนัก
ขณะกำลังจะถึงตัวพี่หมิวกลับมีแรงยื้อแขนกลับเข้าบ้านเสียก่อน ทำให้เด็กสาวเกิดอาการฮึดฮัด อ้าปากจะต่อว่า แต่พอหันกลับมาเห็นเจ้าของมือที่ดึงแขนเธอเท่านั้นแหละ
“เฮีย...” เด็กสาวร้องเรียกได้เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบหุบปากแล้วเดินตามแรงจูงกลับเข้าไปในห้องนั่งเล่น
ใบหน้าเรียบนิ่งของเฮียทานต์ที่เดินไปทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามนั้น ปารารินเดาอารมณ์ชายหนุ่มไม่ออกว่าเขาเสียใจหรือไม่อย่างไร เพราะตอนนั้นพี่หมิวเดินกลับเข้ามาพอดี