“มันก็ใช่! แต่คนอื่นไม่รู้จักแกเหมือนฉันนี่ เขาจะคิดยังไงล่ะที่เห็นแกจ้องเด็กนั่น จ้องเอาๆ อย่างนั้นน่ะ”
“ก็ช่างคนอื่นสิแม่ ไม่เห็นต้องแคร์เลยนี่ ไม่มีใครรู้ดีเท่าผม หรือไม่มีใครมาหาให้เรากินนะ ที่เรามีได้ก็เพราะบากบั่นเองทั้งนั้น แล้วแม่จะไปแคร์คนอื่นมากกว่าแคร์ลูกอย่างผมได้ยังไงกัน”
“แต่ฉันก็ยังไม่เชื่อ...”
“ถ้าผมบอกว่าไม่คิดก็คือไม่คิด! ไม่ทำก็คือไม่ทำ! เด็กตาดำๆ กำลังเสียขวัญเพราะพ่อกับแม่ตาย ใครจะคิดอกุศลได้ลงคอ แล้วแม่ไม่เห็นลุงเด็กเหรอ หน้าตาท่าทางไว้ใจได้ที่ไหน เกิดผมไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย เด็กไม่ถูกเอาไปขายให้เป็นเมียอาเสี่ยสักวันเหรอ คนรับใช้ถ้าไม่มีเงินจ้าง ใครจะอยู่ เด็กคนนั้นจะเป็นยังไงถ้าไม่มีผู้ใหญ่ที่ไว้ใจได้คอยดูแล และผมก็ไม่ไว้ใจใครเท่าตัวเองหรอก”
“ตอนนี้อาจจะไม่เป็นไร และไม่คิด แล้วต่อไปล่ะ”
“ผมกล้าบอกแม่และทุกคนไว้ตรงนี้ว่า ผมไม่ได้คิดอะไรกับเด็กคนนั้น ไม่ว่าจะตอนนี้หรือตอนไหนๆ ก็ตาม ไม่เชื่อให้คอยดูก็แล้วกัน! และผมจะไม่พูดเรื่องนี้อีก ถ้าใครยกขึ้นมาพูดแปลว่าไม่ให้เกียรติผม แปลว่าดูถูกผมอย่างร้ายกาจ คนอื่นไม่เท่าไหร่ แต่คนใกล้ตัวอย่างแม่กับน้องนี่สิที่จะทำให้ผมเจ็บใจ!”
‘ปัง’
ประตูรถแรนด์โรเวอร์ปิดเสียงดังเข้าหูทุกคน แม้จะอยู่ห้องรับแขกชั้นสองของบ้านก็ตาม เสียงเร่งเครื่องกับเสียงล้อยางเบียดถนนตามมาติดๆ น้อยหนักหนาจะมีใครได้เห็นท่าทีแบบนี้ของ‘นายภีมวัจน์ กฤตชยางกูร’ นั่นบ่งบอกได้ว่าโกรธและไม่พอใจเอามากๆ คุณนายขนุนถอนหายใจออกมาหนักๆ แล้วหันไปมองลูกสาวกับทนายที่ทำหน้าไม่ต่างกันนัก
“เป็นไงล่ะทีนี้แม่ พี่หนาวโกรธใหญ่เลย บอกแล้วว่าอย่าๆๆ ก็ไม่เชื่อ” ภีมภรณ์อดซ้ำเติมไม่ได้ เพราะเตือนก่อนหน้าแล้วว่าอย่ายุ่งเรื่องนี้ แม้ตัวเองจะไม่เชื่อพี่เต็มร้อย แต่ก็ไม่กล้าพูด
“ก็ฉันเป็นแม่มันนี่! ไม่ให้พูดแล้วแมวที่ไหนจะกล้ากล้าเตือนมันล่ะ!” คุณนายขนุนเอ็ดลูกสาวเสียงดัง
ภีมวัจน์ก้าวลงจากยูโรคอปเตอร์ ที่จอดตรงสนามหญ้าหลังบ้านสุริยวงศ์ แล้วก็ร่อนขึ้นฟ้ากลับไป อีกสองอาทิตย์ถึงจะมารับไปตรวจงานที่เชียงราย บุญมากับวิไลช่วยขนกระเป๋าเสื้อผ้ากับของใช้อื่นๆ อย่างรู้งาน
“ป้าเตรียมห้องไว้ให้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ”
กันยาเอ่ยเสียงนุ่มเมื่อเจ้านายหนุ่มเดินเข้ามาประตูบ้านแล้วยิ้มน้อยๆ ให้ “คุณหนาวทานอะไรมาหรือยังคะ เดี๋ยวป้าจะไปทำให้”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเรียบร้อยมาจากบ้านแล้ว กะว่าจะไปทำงานเลย”
“ตอนเย็นจะมาทานข้าวหรือเปล่าคะ ป้าจะได้เตรียมรอ”
“อืม! ยังตอบไม่ได้ครับ ต้องดูงานก่อน แต่ป้าไม่ต้องห่วงผมหรอกครับ ผมอาจจะกินมาจากโรงแรมเลย ไปนะครับ” เขาอยากตรวจตราดูว่าการบูรณะไปถึงไหน เขาไม่อยากปิดโรงแรมเพื่อปรับปรุง แต่จะค่อยๆ ทำไปควบคู่กับการเปิดบริการไปด้วย เพราะแขกก็ไม่ได้เยอะแยะมากมายอยู่แล้ว
จากนั้นก็ขับเมอร์เซเดส-เบนซ์ป้ายแดง ซึ่งซื้อไว้ใช้ในกรุงเทพฯ ไปยังโรงแรมที่เขาตัดสินใจไม่ปลดพนักงานออกแม้แต่คนเดียว เพราะสงสาร แถมยังจำเป็นต้องหาผู้จัดการฝ่ายขายเพิ่มอีกหนึ่ง เพราะเจ้าของเดิมทำส่วนนี้เองเลยไม่ได้จ้างไว้ แต่เขาไม่มีเวลามาก เฉพาะงานทางเหนือก็กลืนเวลาเขาไปไม่น้อยกว่าสองอาทิตย์ต่อเดือนแล้ว
เขาชอบช่วงบุกเบิกกิจการแต่ละที่ไม่น้อย เพราะมีอะไรให้ทำวุ่นวายไปหมด จนลืมเวลา พอรู้ตัวอีกทีก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว ถึงได้เก็บโต๊ะแล้วรีบออกจากออฟฟิศทันที แต่ก็ไม่วายเดินตรวจโดยรอบอยู่ดี
แค่ครึ่งชั่วโมงในยามดึกอย่างนี้ ก็ถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว ด้วยความเคยชินเวลาเข้าบ้าน เขาเกือบสลัดเสื้อเชิ้ตแขนยาวออกจากตัวแล้วด้วยซ้ำ เพราะเป็นคนขี้ร้อนซึ่งจะตรงข้ามกับชื่อ แต่ก็คิดได้ว่านี่ไม่ใช่บ้านตัวเองเต็มร้อย เลยปลดกระดุมลงสองเม็ด ระหว่างเดินผ่านประตูบ้านหมายจะก้าวขึ้นบันได
“ป้ารู้แล้วค่ะว่าคุณหนาวทำงานเพลินจนไม่ได้สั่งให้ร้านอาหารยกมื้อเย็นไปให้ เลยเตรียมของรอทำค่ะ จะทานก่อนหรือไปอาบน้ำดีคะ” เสียงนี้ทำเขาต้องชะงักเท้าไว้เล็กน้อยแล้วหันไปหากันยา และทำให้คิดถึงแม่ที่จะต้องคอยห่วงเรื่องปากท้องประจำขึ้นมาทันใด
อืม! อาบน้ำก่อนก็ได้ครับ” ราวครึ่งชั่งโมงเขาก็เข้าไปยืนอยู่ในห้องอาหารแล้ว ทั้งข้าวทั้งกับมีควันโชยออกมายั่วน้ำลายไม่น้อย กันยายืนรออยู่ไม่ห่างโต๊ะ
“ไม่รู้จะถูกปากหรือเปล่านะคะ ชอบรสไหนก็บอกป้าได้นะคะ วันหน้าจะได้ทำให้ถูกค่ะ”
“ผมกินง่ายๆ ครับ”
เขาหันไปมองไฟที่เครื่องปรับอากาศเพื่อจะดูว่าเปิดหรือปิดเพราะกลัวความร้อนจากแกงจะทำให้เหงื่อออกจนต้องเดือดร้อนอาบน้ำก่อนนอนอีก พอเห็นว่าปิดก็กำลังจะเอ่ยขอพัดลมแทน กะว่าจะใช้เวลากินในห้องนี้ไม่นาน กันยาก็รู้ใจรีบเปิดให้ก่อนจะทันได้ขออีก
“ไข่ตุ๋นเห็ดหอมกับผัดผักบุ้งไฟแดงเป็นของโปรดน้องเหนือค่ะ แต่พักนี้ไม่แตะมื้อเย็นเลยสักวัน ถามก็บอกแต่ว่าไม่หิวๆ คุณปัญกับคุณปาจากไปยังไม่ถึงเดือน น้ำหนักลดสองกิโล นมหรือน้ำผลไม้ยกไปให้ดื่มก่อนนอน พอตอนเช้าก็ไม่พร่องเลยค่ะ ป้าไม่รู้จะทำยังไงดี ปกติน้องเหนือเป็นคนกินน้อยอยู่แล้ว ป้ากลัวจะไม่สบายเอาสิคะ”
ภีมวัจน์เหมือนเข้าใจว่ากันยาคงจะรอจังหวะให้เขากินข้าวไปครึ่งค่อนจานก่อน ถึงเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เขาเห็นว่าเป็นเรื่องดี เพราะความสงสารทำให้กินได้น้อยลงกว่าที่ตั้งใจไว้แต่แรก นับจากวันเผาศพก็สองอาทิตย์กว่าๆ แล้วสินะที่ไม่ได้เห็นหน้าสาวน้อย
“แล้วตอนนี้ เอ่อ...”
“น้องเหนือเหรอคะ” กันยารีบต่อให้เมื่อเห็นเจ้านายไม่ได้เอ่ยชื่อคุณหนูสุดรักของตัวเอง
“ครับ น้องเหนืออยู่ไหนครับ”