“ไม่กินอะไรมาตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้วค่ะ ตอนเช้าคะยั้นคะยอแทบตายก็ดื่มนมแค่สองสามอึก วันทั้งวันก็ไม่กินอะไรนอกจากร้องไห้อยู่ในห้องเท่านั้น”
ทุกคนได้ฟังล้วนแล้วแต่มองไปหาร่างเล็กๆ อย่างเห็นอกเห็นใจ และยังคงส่ายหน้าไม่รับอาหารในมือพี่เลี้ยงเช่นเคย “อีกหน่อยก็คจะดีขึ้นเองล่ะจ้ะ เด็กกำลังเสียขวัญก็อย่างนี้ล่ะ เวลาจะช่วยเยียวยาให้เอง”
ภีมภาเอ่ยอย่างคนมองอะไรทะลุปุโปรง รวมทั้งท่าทีของลูกชายที่มักจะหันมองสาวน้อยผู้น่าสงสารอยู่บ่อยครั้งด้วย เพราะรู้จักลูกมาตั้งแต่อยู่ในท้องก็ว่าได้ ไม่ว่าลูกคิดอะไรหรือรู้สึกยังไงมีหรือจะอ่านไม่ออก แถมยังอ่านสายตาผู้คนรอบศาลาออกด้วย ว่าคิดอะไรเมื่อมองไปหาพ่อลูกชายก็มักจะเห็นคอยจ้องแต่เด็กสาวแทบจะตลอดเวลา
‘เฮ้อ! ลูกฉัน ทำตัวดีมาตลอด จะเสียก็อีตอนหวังกินเด็กเหรอนี่’
ผู้แม่แอบถอนหายใจอย่างคนกลัดกลุ้ม ในขณะเดียวกันก็พยายามคิดหาหนทางดึงลูกออกห่างจากเด็กยังไม่ประสาไปด้วย เพราะเสียดาย ‘หนูออม’ ลูกสาวสุดรักของยัยอุ้ยเพื่อนรัก ที่พากันหวังอยู่เงียบ ว่าจะได้เกี่ยวดองกัน ไม่คู่ใดก็คู่หนึ่ง เพราะต่างก็มีลูกสามคน อายุเท่ากัน และอุ้มท้องชนกันมาตลอดด้วย
“ผมไปทางโน้นก่อนนะแม่”
ภีมวัจน์กระซิบแผ่วเบา เมื่อเลขาส่งไลน์มาหา เขาเดาได้เลยว่าคงต้องเป็นเรื่องเงินสำหรับใช้จ่ายในงานเป็นแน่ และมันก็จริงเสียด้วย สรุปแล้วคือเขากลายเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างในงานเอง ส่วนซองนั้นประนพรวบไว้ตั้งแต่วันแรกกระทั่งตอนนี้ ไม่มีวี่แววว่าจะเอามาแจกแจงให้ใครรู้ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่เขาไม่ชอบคนนิสัยแบบนี้เลย
ยิ่งมองไปดูสาวน้อยร้องไห้ไม่หยุด ก็คิดว่าตัวเองตัดสินใจไม่ผิด แม้จะยังมองไม่เห็นผลกำไรจากการบูรณะโรงแรมนั้นขึ้นมาอย่างชัดเจน แต่อย่างน้อยๆ ก็ได้ช่วยเด็กไว้ และยังช่วยส่งให้สองดวงวิญญาณไปสู่สุขติได้ เพราะถ้าอยู่ในมือเขาแล้ว แก้วตาดวงใจของทั้งสองจะไม่มีวันบุบสลายแน่ เขากล้ารับประกันด้วยเกียรติของ ‘กฤตชยางกูร’
แต่กับแม่และน้องสาวที่นั่งปะปนกับแขกอยู่นั้น กลับเป็นกังวลอย่างหนัก โดยเฉพาะคนเป็นแม่ เมื่อเห็นสายตาหรือท่าทีของลูกชายมีต่อเด็กสาวผู้น่าสงสารบ่อยครั้ง เด็กแค่สิบหก แถมยังมีเงินเหลือจากใช้หนี้อีกเป็นร้อยกว่าล้าน ‘เรือล่มในหนอง แล้วทองมันจะไปไหนเสีย’ ภีมภาเชื่อแน่ว่าคนในศาลาต่างคิดอย่างนี้ทั้งนั้น
ตอน ๒
“บอกตรงๆ นะว่าแม่ไม่ชอบที่หนาวทำแบบนี้เลย อะไรกันไม่เห็นหัวแม่เอาซะเลย จะคิดจะตัดสินใจไม่บอกไม่กล่าวกลับทำไปโดยพลการ ถ้าพ่อเราอยู่นะป่านนี้โดนแพ่นกะบาลไปแล้วด้วยรู้มั้ย” คุณนายขนุนอดปากอดคำเอาไว้ตั้งแต่วันเผา ถึงได้ระเบิดออกมา
“ใจเย็นๆ เถอะคุณหนุน อีกหน่อยก็เรียกทุนคืน แถมทำกำไรอีกหลายเท่าแล้ว” ทนายสมควรที่ถูกภีมวัจน์นัดมาเพื่อกันคุณนายเอาไว้พยายามไกล่เกลี่ยให้ทุกอย่างดีขึ้น
“คุณควรก็ด้วย! แทนที่จะแอบส่งโทรมาบ้าง นี่อะไรกลับเห็นดีเห็นงามงุบงิบทำกันสองคน เสียดายพี่หนักอุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจให้เป็นทนายประจำบ้านคอยดูแลพวกเรา แต่กลับมาทำพลาดซะเอง มันน่านักนะ!”
ไม้กันหมาดันถูกแพ่นกะบาลเสียเองแบบนี้ ภีมวัจน์เลยได้แต่หันไปหาน้องแล้วถอนหายใจหนักๆ กับท่าทีปึงปังของแม่ เขาเองก็พอจะเดาออกว่าไม่ใช่เพราะเสียดายเงินหรอก แต่เป็นห่วงเรื่องอื่นมากกว่า ผิดแต่ว่าคุณนายไม่ยอมเอ่ยออกมาเท่านั้น
“อ้าว! แล้วกันคุณหนุน! ไหงมาลงที่ผมล่ะทีนี้!”
“ลงทุกคนนั่นล่ะ! โดยเฉพาะเจ้าคนนี้! ตกลงจะบอกได้หรือยังว่าเพราะอะไรกันแน่ ถึงได้ซื้อโรงแรมนั้น แล้วอวดดีตั้งตัวเป็นผู้ปกครองคนอื่นอีก ทั้งที่ยังจะดูแลตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่กลัวเป็นขี้ปากชาวบ้านบ้างหรือไงกัน เห็นคนทั้งศาลามองมาทีฉันล่ะอายจนจะแทรกแผ่นดินหนีให้ได้”
เมื่อลูกไม่ยอมเปิดปากแม่เลยจัดเสียเอง ทีนี้ก็เงียบกันทั้งห้อง ไม่มีใครเอ่ยอะไรเลย “ว่าไงหนาว จะบอกมาตรงๆ ได้หรือยัง”
“ไม่มีอะไรเลยแม่ ก็ตามที่บอกไปนั่นล่ะว่าสงสารเด็ก”
“เลยคิดเอามาเลี้ยงดูปูเสื่อเอง แล้วกะจะเคลมเองด้วยหรือเปล่า” ทุกคนอึ้งคำรบสอง แต่กับคนที่มักจะไม่ตอบโต้อะไรง่ายๆ อย่างภีมวัจน์กลับมองแม่ตาโตเท่าไข่ห่าน แล้วอุทานด้วยความไม่เชื่อหู ว่าแม่จะได้ยินคำนี้จากปากแม่ตัวเอง
“ป๊าด!!! แม่!!!” แล้วเขาก็เงียบ แต่นั่นก็เพียงพอให้คนทั้งบ้านรวมทั้งทนายเก่าแก่รู้แล้ว ว่าเขาไม่พอใจเอามากๆ
“ในเมื่อแกไม่บอกฉันก็ต้องเดาน่ะสิ และเดาถูกด้วยใช่ไหมล่ะ แกชอบเด็กคนนั้นใช่หรือเปล่า กะเลี้ยงไว้ใกล้ให้โตสักหน่อย แล้วฮุบทั้งตัวทั้งเงินที่เหลือนั่นใช่ไหมล่ะ รับมาซะดีๆ นะ ไม่งั้นฉันจะไม่ยอมเด็ดขาด”
“แม่ก็!!! พูดไปได้ ผมจะไปคิดอะไรกับเด็กตัวกะเปี๊ยกแค่นั้น ห่างกันตั้งสิบหกปีเชียวนะแม่...”
“ห่างยี่สิบ สามสิบปียังแต่งงานกันมาแล้วเลย เรื่องอะไรกับแค่สิบหก ยิ่งคิดฉันยิ่งกลุ้ม รู้ถึงไหนอายเขาถึงนั่น ลูกชายผู้หล่อเหลาของฉันคิดจะงาบเด็ก ทั้งๆ ที่มีผู้หญิงมาตอมจนต้องวิ่งหนี นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“อะไรกันแม่ก็! ผมบอกว่าไม่ก็คือไม่สิ! ทำไมแม่ไม่เชื่อลูกตัวเองล่ะ! หรือผมเคยทำตัวเหลวไหล ไม่รักษาคำพูดที่เคยบอกกับแม่และทุกคนไว้แล้วบ้างล่ะ ผมมั่นใจว่าไม่มีนะ”
ไม่มีใครกล้าเถียง เพราะที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏว่า ‘นายภีมวัจน์ กฤตชยางกูร’ ไม่เคยไม่รักษาคำพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว จะกับแม่ กับน้อง หรือกับทุกคนรอบข้าง โดยเฉพาะกับลูกค้าทั้งไทยและเทศ ขอเพียงได้ยินวาจาจากเขา ก็แทบไม่ต้องการสัญญาหรือตราสารใดๆ แล้ว