คุณนายขนุนรออยู่เรียบร้อยแล้วเมื่อเครื่องลงจอด ทักทายแขกที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าเต็มใจต้อนรับหรือไม่อย่างเป็นกันเอง มือก็ยกรับไหว้ทั้งสองด้วยท่าทางเต็มอกเต็มใจ แม้จะบ่นหรือด่าลูกชายเรื่องยื่นมือเข้าไปยุ่งยังไง แต่สุดท้ายก็อ้าแขนรับเด็กสาวมากอดด้วยสงสารยิ่ง จากนั้นก็มองสำรวจตรวจตราตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“หิวกันหรือยังเอ่ย คุณยายกำลังจะทำข้าวตังหน้าตั้งไว้เป็นของว่างค่ะ มื้อเที่ยงจะมีไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม แคบหมูแล้วก็แกงแค น้องเหนือเคยกินมั้ยคะ” เด็กสาวส่ายหน้าเป็นคำตอบ ทำเอาคุณนายขนุนเสียเซลฟ์ไปครู่หนึ่ง
“ผมไปออฟฟิศนะแม่ ฝากสองสาวด้วย เสร็จแล้วจะรีบกลับ” ภีมวัจน์ไม่อยากเสียเวลางานมากนัก เลยรีบขึ้นบ้านคว้ากุญแจรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว คุณนายขนุนส่ายหน้าตามท้ายรถลูกแล้วหันกลับมาหากันยา
“มาปุ๊บก็วิ่งไปหางานปั๊บ อยู่โน่นเป็นแบบนี้ด้วยหรือเปล่าแม่จ๋า”
“กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทุกวันค่ะ พนักงานบ่นเป็นแถวๆ ว่าคุณหนาวสั่งงานเร็วและรอเอาเร็วๆ ด้วยค่ะ”
“เหรอ! แล้วที่บ้านเป็นยังไงบ้าง หมายถึงพ่อลูกชายตัวดีของฉันดูแลทุกคนดีหรือเปล่า” กันยาเดาได้ว่าภีมภาห่วงหรือกลัวเรื่องนั้นแต่เลี่ยงอย่างชาญฉลาด
“คุณหนาวไม่ค่อยยุ่งอะไรในบ้านค่ะ แค่กลัวว่าน้องเหนือจะฟื้นตัวช้าการเรียนก็ไม่ดีขึ้นด้วยค่ะ”
คุณนายขนุนภาวนาให้ลูกชายห่วงแค่เรื่องจิตใจและการเรียนของเด็กเท่านั้น ไม่อยากให้มีอาการห่วงในรูปแบบอื่นใดเข้ามาปะปนด้วยเหมือนเมื่อหกเดือนก่อน การให้ลูกพาเด็กสาวมาหา ก็หมายจะดูท่าทีของลูกว่ามีต่อเด็กยังไงด้วย ถ้าให้ดูจากความน่ารักน่าเอ็นดูของเด็ก ก็เดาได้ไม่ยากว่าลูกคงไม่ทิ้งเด็กสาวไปทั้งวันแน่
แต่คุณนายขนุนก็เดาผิด เพราะค่ำมืดแล้วลูกก็ยังไม่กลับ แทนที่จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่คุณนายกลับทำใจเย็น นั่งดูข่าวรอบดึกได้สบายอารมณ์ เพราะโทรเช็คบ้านเพื่อนแล้วถึงได้รู้ว่าลูกขับรถไปรับญาติกาไปกินข้าวข้างนอก ต่อด้วยการดูหนัง โดยไม่ห่วงสองชีวิตที่เอามาฝากแม่ไว้แต่อย่างใด นั่นบอกเป็นนัยให้รู้ว่า ลูกไม่ได้สนใจตัวเด็กสาวไปในทางสิเนหาแต่อย่างใด หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ทำให้สบายใจไม่น้อย ยิ่งท่าทางของเด็กสาว
ตอน ๓
“น้องเหนือหั่นบางกว่านั้นหน่อยค่ะ จะได้ตำแหลกง่ายๆ ไงคะ แล้วคุณหนาวจะกลับมากินข้าวเย็นด้วยมั้ยคะวันนี้ เมื่อวานก็เบี้ยวไปรอบหนึ่งแล้ว” ยิ่งผ่านพ้นมาปีครึ่งแล้ว ลูกก็ยิ่งไม่มีวี่แววอะไรกับเด็กสาวผู้หงอยเหงาเศร้าสร้อยด้วยซ้ำ ทำให้คุณนายขนุนอุ่นใจไม่น้อย
“น้องเหนือไม่รู้ค่ะ”
เด็กสาวเองก็ดูไม่มีท่าทีอื่นใดกับผู้ปกครองให้เห็น เลยหายห่วงเป็นปลิดทิ้ง กันยานั่งคั้นกะทิอยู่ไม่ห่างรู้ดีว่าภีมภาคิดและกลัวอะไร แต่กันยาไม่เคยแสดงออก นอกจากเฝ้าสังเกตการณ์เงียบๆ ตามแบบคนฟังมากกว่าพูด
“โห! ทำอะไรกินอีกล่ะแม่ เยอะแยะเชียว จะเลี้ยงทั้งกองทัพเลยเหรอ” ภีมภรณ์เดินลงบันไดมาในเวลาสายๆ แซวแม่ก่อนเรื่องอื่น
“ทำมาเป็นปากดี ก็หล่อนบ่นอยากกินเปียกปูนฝีมือฉันไม่ใช่เหรอ อุตส่าห์ตื่นมาทำให้ตั้งแต่เช้ายังจะแซวอีก หรือจะไม่ทำซะดีมั้ย” เลยถูกเหน็บหนักๆ ทันควัน ภีมภรณ์มองแม่แล้วยิ้มด้วยความขำ ก่อนจะโอ๋ด้วยน้ำเสียงและท่าทางห้าวนิดๆ ตามแบบฉบับของคนคล่องแคล่วว่องไว
“โธ่! แม่ก็ แซวนิดแซวหน่อยทำเป็นขี้ใจน้อยไปได้ ว่าแต่หน่อยขอแย่งคนงานไปช้อปปิ้งสักสองสามชั่วโมงได้หรือเปล่า” ภีมภรณ์ปรายตามองน้องสาวนอกสายเลือดที่ตัวเองรักไม่น้อย
“ตามใจสิยะ! ถ้าอยากมีเพื่อนนักล่ะก็ แต่ห้ามไปนานนะ ต้องกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านด้วย แล้วก็ตามพี่ชายตัวดีของแกมาด้วยล่ะ เดี๋ยวอีกหน่อยยัยหนิงจะมาถึงแล้ว จะทำอะไรกินเย็นยังไม่รู้ เห็นมาทีไรก็จะกินหมูย่างเกาหลีตลอด อ้างแต่ว่าอยู่ป่าอยู่เขาไม่เจอของอร่อยตลอด”
“เจ้าค่ะคุณนาย! น้องเหนือ! ไปล้างมือเร็วค่ะ เดี๋ยวพี่หน่อยจะพาไปช้อปปิ้ง กับกินของอร่อยๆ”
ปาร์ตี้ย่อยๆ เกิดขึ้นแทบจะในทุกครั้งที่ลูกสาวคนเล็กกลับบ้าน อาหารก็ไม่พ้นเนื้อย่างเกาหลีตามเคย แม้ทุกคนจะบ่นว่าเบื่อ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็น้ำลายสอเวลาพูดถึง ยิ่งวัตถุดิบที่จะเอามาย่างนั้นคัดสรรแต่ของดี ราคาแพงด้วยแล้ว ทุกคนเลยรีบลงมือตระเตรียมช่วยกันอย่างไม่เกี่ยงงอน
ภีมวัจน์ถูกญาติกาโทรไปเคี่ยวเข็ญให้กลับบ้านเร็วหน่อย เพราะคุณนายขนุนออกปากบ่นหลายครั้งแล้ว เขาเลยต้องยอมตามใจ กระนั้นก็ไม่วายทิ้งให้ทุกคนทำและกินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเองแอบหนีขึ้นมาอาบน้ำท่าให้สบายตัว อีกทั้งน้องคนกลางกับเด็กในปกครองก็ยังไม่กลับ
พอแต่งตัวเสร็จหูก็แว่วเสียงน้องจากด้านล่าง เลยแง้มผ้าม่านหน้าต่างออกไปดู ก็เห็นเด็กในปกครองมีชุดสีฟ้าแขนตุ๊กตาตรงเอวคอดมีสายสีดำคาดไว้ ตัวกระโปรงบานน้อยๆ แต่ความสั้นนั้นไม่น้อย เวลาก้าวเดินเห็นขอบกางเกงสีดำด้านในวับๆ แวมๆ มันคงจะธรรมดาถ้าหุ้มกายคนอื่นอยู่ แต่ต้องไม่ใช่เด็กของเขาแน่ และเขาจำได้ดีว่าชุดนี้น้องสาวตัวเองเป็นคนจัดสรรหามาให้ ไม่รู้ว่าใครช่างกล้าอนุญาตให้ใส่ไปเดินไหนต่อไหนได้
หวังว่าคงจะไม่ใช่เด็กแอบใส่เองโดยพลการ นั่นมันจะทำให้เขาหนักใจขึ้นไปอีก รับกับเด็กมีอาการซึมเศร้าไม่พอ และยังจะมีเรื่องหนุ่มๆ สาวๆ เพิ่มมาอีก สิบเจ็ดปีครึ่ง ถ้าเป็นลูกคนอื่นอาจจะเหล่หนุ่มแล้ว แต่สำหรับคนนี้เขาไม่อยากให้เป็น เพราะอยากให้ตั้งอกตั้งใจกับการเรียนมากกว่า เขารีบโทรหาน้องทันที