“เจ้าจะไปไหน! ลืมไปแล้วอย่างนั้นเหรอว่าถูกส่งมาเพื่อเป็นเจ้าสาวของข้า”เจ้าบ่าวหน้าหยกถามนาง
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นหญิงสาวถลึงดวงตาคู่สวยขึ้นมาทันที
“อย่ามาพูดมั่วๆ นะ ใครเป็นเจ้าสาวของคุณไม่ทราบ ท่าทางคงจะเล่นหนังจีนพีเรียดมากเกินไปใช่ไหม ถึงได้เอามาพูดแบบนี้แต่ขอบอกว่าฉันไม่มีอารมณ์เล่นด้วยหรอกนะคุณ! เข้าใจไหมว่าคนกำลังหงุดหงิด!”หญิงสาวพูดใส่หน้าอีกฝ่ายซึ่งดูมีชาติตระกูลสูงอย่างยิ่งเต็มไปด้วยความสง่าที่มีอยู่ในตัวเอง
กิริยาและท่าทีที่แสดงออกของสตรีตรงหน้าไร้สิ้นความเกรงกลัวอีกฝ่ายแต่อย่างใดนั้น สร้างรอยยิ้มอย่างพึงพอใจปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย
“ไม่เคยมีสตรีใดหาญกล้าแสดงกิริยากับข้าเช่นนี้มาก่อนแม้แต่เพียงผู้เดียว เจ้าเป็นสตรีคนแรกที่ทำกับข้าเช่นนี้”
หญิงสาวแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น
“แล้วทำไมฉันจะต้องกลัวคุณด้วย ในเมื่อทุกอย่างที่พูดออกไปล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น คุณกับฉันแตกต่างกันตรงไหนในเมื่อเราสองคนก็เป็นคนเหมือนกันทั้งคู่ ถ้ามันจะต่างก็คือฉันเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่แสนจะน่าทะนุถนอม ส่วนคุณก็คือผู้ชายตัวเบ้อเริ่มที่หน้าตาก็พอจะโอเคอยู่หรอก แต่จะโอเคมากกว่านี้ถ้าฉันกับคุณไม่ได้มาพบกันในสถานการณ์แบบนี้ ไหนๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้วช่วยนำทางฉันออกไปจากตรงนี้ทีเถอะ”หญิงสาวบอกอีกฝ่ายกลับไป
และนั้นทำให้ดวงตาสีนิลดุจดั่งพญาเหยี่ยวหรี่ตามองสตรีตรงหน้าลุกโชนวาววับขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นี่เจ้ายังจะคิดว่าเข้ามาในสถานที่เป็นพำนักของข้าแล้วจะสามารถเล็ดรอดออกไปได้อย่างนั้นเหรอ ไม่รู้เลยเหรอว่าไม่เคยมีผู้ใดที่เล็ดรอดเข้ามาแล้วจะสามารถออกไปจากที่นี่ได้หรือแม้กระทั่งรอดชีวิตออกไปแม้แต่คนเดียว!”
คำกล่าวของผู้ชายตรงหน้าทำให้หญิงสาวยิ่งฟังยิ่งงงหนักมากเข้าไปอีก
“คุณจะพูดอะไรกันแน่! แต่ช่างเถอะนะนั้นมันเรื่องของคุณฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ไม่มีอารมณ์จะทำงานอะไรร่วมด้วยแล้ว ในเมื่อถามแล้วไม่ยอมบอกกลับเองก็ได้จะง้อเหรอ...ชิ!”หญิงพูดลงท้ายพลางสะบัดหน้าหนีพร้อมก้าวเดินตรงไปที่ประตูห้องที่ชายหนุ่มบ่าวตัวเบ้อเริ่มยืนขวางอยู่ในขณะนั้น
ในขณะที่คนฟังมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าครั้นได้ยินนางตอบกลับมา
“อย่าบอกนะว่าเจ้าถูกนำมาที่นี่โดยไม่รู้ว่าต้องมีหน้าที่อย่างไร”เขาถามนางกลับไป
“รู้! และก็รู้ดีมากด้วย จะบอกอะไรให้นะฉันมาที่นี่มีหน้าที่ทำงานตามสัญญาจ้างที่ตกลงกันเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ไม่มียะ!”หญิงสาวตอบสวนกลับไปอย่างไม่กลัวเกรงและยี่หระกับคำถามที่ชายหนุ่มตรงหน้ากล่าวกับเธอแม้แต่น้อย
และคำตอบของเธอดังกล่าวสร้างเสียงหัวเราะขบขันให้แก่ชายหนุ่มหน้าหยกอย่างยิ่งยวด
“ในเมื่อล่วงรู้หน้าที่ของเจ้าแล้วเช่นนี้ก็ดีว่าถูกส่งมาเพื่อทำหน้าที่อะไร เช่นนั้นถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องทำหน้าที่นี้ให้ข้า!”
หา! เสียงอุทานดังขึ้นมาฉับพลันเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ทำหน้าที่อะไรกันเนี่ย! ทำไมอีตานี่ยิ่งพูดยิ่งงง”เธอบ่นพึมพำพร้อมเสียงของอีกฝ่ายเอ่ยขึ้น
“ตอนนี้เป็นฝ่ายที่ข้าจะถามเจ้าบ้างแล้ว”เสียงทุ้มของเขาถามกลับไปด้วยความอยากรู้
ร่างสูงทะมึนย่างสามขุมก้าวเข้าไปหาเจ้าสาวของเขา ในขณะที่สาวน้อยคนงามกำลังก้าวเดินถอยหลังอย่างรวดเร็วทันทีที่เขาก้าวเดินเข้าไปหา
“คุณจะถามอะไร!”เธอถามสวนกลับไปทันควัน
หากแต่ยังไม่ทันที่จะมีคำตอบใดๆ กลับมีเสียงปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้าประตูห้องดังกล่าวขึ้นมาทันที
“ท่านอ๋อง! สตรีที่ถูกคัดเลือกห้าคนสุดท้ายได้เดินทางมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เสียงคนสนิทดังขึ้นอยู่ด้านนอก
“อะไรนะ!”เสียงที่บ่งบอกถึงความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวแปรเปลี่ยนไปทันใด เมื่อได้ยินคนสนิทรายงานออกมาเช่นนั้น คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยพร้อมหันกลับไปมองสตรีในชุดเจ้าสาว
“สตรีห้าคนสุดท้ายเพิ่งจะเดินทางมาถึงหรือนี่!”คำกล่าวที่เต็มไปด้วยความแปลกใจเอ่ยขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น ดวงตาสีนิลคมกล้ามองสตรีที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าเขม็ง
“แล้วสตรีผู้นี้เป็นใคร! นางไม่ได้ถูกส่งมาเพื่อให้เป็นคนของข้าอย่างนั้นหรอกเหรอ”ชายหนุ่มสูงศักดิ์พึมพำด้วยความสงสัย
“เจ้าชื่ออะไร!”เสียงทุ้มใหญ่ถามกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความอยากรู้
“ไม่บอกปล่อยให้งง!”คนงามตอบเสียงห้วนสวนกลับไปโดยไม่รีรอพร้อมเอ่ยขึ้น
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับคุณตามที่เข้าใจหรอกนะเพราะฉะนั้นช่วยกรุณาหลีกทางออกจากหน้าประตุด้วย เพราะฉันต้องการจะกลับบ้านยิ่งเร็วได้เท่าไรยิ่งดี”เธอบอกจุดประสงค์สวนกลับไป
รอยแสยะยิ้มเหยียดยกยิ้มที่มุมปากเมื่อคนงามบอกเขากลับมาเช่นนั้น
“เหลียงมู่!”ชื่อของคนสนิทถูกเรียกขึ้นมาทันที
“พ่ะย่ะค่ะ!”เสียงตรงหน้าประตูขานรับอย่างรวดเร็ว
“เจ้าจงให้พวกนางกลับจวนของตัวเองไปซะ! เพราะข้าไม่ต้องการ! เจ้าสาวของข้ากำลังยืนอยู่ตรงหน้านี้แล้ว!”เสียงตะโกนบอกคนสนิทที่กำลังรอรับคำสั่งอยู่ตรงหน้าประตูในขณะนั้น
ท่ามกลางความงุนงงสงสัยของคนที่อยู่นอกห้องดังกล่าวว่าเพราะเหตุใดจึงปฏิเสธไม่รับสตรีทั้งห้าซึ่งทางราชสำนักคัดเลือกมาเป็นอย่างดี สตรีแต่ละนางนั้นล้วนเหมาะสมกับชินอ๋องแห่งแคว้นฉู่ทุกประการ
“พ่ะย่ะค่ะ”เสียงรับคำเบาๆ พร้อมเสียงฝีเท้าเดินจากไป
ดวงตาคมกล้ายังคงจับจ้องอยู่แต่ร่างงามระหงในชุดเจ้าสาวสีขาวเต็มไปด้วยความสวยสง่า ร่างระหงสวมชุดดังกล่าวได้งดงามมากเสียจริงช่างสวยตราตรึงเป็นยิ่งนัก
ในขณะที่อีกฝ่ายก็กำลังจ้องเขากลับมาอย่างไม่ลดละและไม่มีความกลัวเกรงแม้แต่น้อย แต่แล้วเพียงครู่พลันปรากฏเสียงบางอย่างดังขึ้นภายในห้องท่ามกลางความเงียบงัน
กรุ๊งกริ๊ง! กร๊งกริ๊ง! กรุ๊งกร๊ง! เสียงคล้ายกระดิ่งลมก็ไม่ใช่ แลดูคล้ายเสียงกำไลก็ไม่เชิงดังแทรกขึ้นมาในขณะที่ทั้งสองกำลังยืนเผชิญหน้ากันอยู่ในขณะนั้นท่ามกลางความแปลกใจของคนทั้งคู่ด้วยเสียงนั้นราวกับว่าดังขึ้นอยู่ข้างหูดั่งเช่นเสียงกระซิบแผ่ว
“เสียงอะไร!”บุรุษสูงศักดิ์กล่าวพร้อมกวาดสายตาไปทั่วห้องด้วยความสงสัย ก่อนจะหยุดนิ่งไปโดยพลัน
เมื่อปรากฏไอควันขาวบางเบาแผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบพร้อมร่างของคนงามในชุดเจ้าสาวสีขาวกำลังค่อยๆ เลือนหายไปต่อหน้าต่อตาชินอ๋องแห่งต้าฉู่ที่กำลังยืนมองตาไม่กะพริบ และเท้าก็ไวกว่าความคิดร่างสูงใหญ่กำยำพุ่งเข้าหาร่างของคนงามในชุดเจ้าสาวเอาไว้ในอ้อมกอดอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้นางหนีไปจากเขาได้
พรึบ! ทันทีที่พุ่งเข้าหาเพื่อกอดร่างของนางเอาไว้ เจ้าสาวแสนสวยกลับเลือนหายลับไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่คาดคิด จนร่างสูงใหญ่ได้แต่ไขว่คว้าความว่างเปล่าเอาไว้อย่างเลื่อนลอย
ท่ามกลางความแปลกใจของเย่วไท่หรงหรือชินอ๋องแห่งต้าฉู่ที่กำลังแผ่ขยายอำนาจอย่างยิ่งใหญ่อยู่ในเวลานี้ เมื่อพระองค์ได้เห็นการหายตัวไปอย่างแปลกประหลาดของสตรีปริศนาที่ปรากฏกายขึ้นภายในห้องนอนของเขาเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“นางหายตัวไปแล้ว! สตรีในชุดเจ้าสาวหนีจากข้าไปได้!”
เสียงทุ้มใหญ่กล่าวพลางยืนครุ่นคิดทบทวนกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา ดวงตาลุกโชนวาววับขึ้นมาทันทีพร้อมหันหลังกลับเดินตรงไปที่ประตูห้องพร้อมเปิดออกกว้างอย่างรวดเร็ว
“กระจายกำลังออกค้นหาสตรีในชุดเจ้าสาวให้ทั่ว! นำนางกลับมาให้ข้า!”เสียงตะโกนดังกึกก้องไปทั่วจวนชินอ๋อง
“คิดหรือว่าจะหนีข้าพ้น! อยากรู้จริงๆ แท้จริงแล้วนางเป็นผู้ใดกันแน่ เป็นนางมารหรือเป็นคน”เสียงพึมพำดังอยู่ในลำคอ ดวงตาคมดุลุกโชนวาววับ
แต่แล้วเย่วไท่หรงกลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นอยู่ข้างหู
“ท่านอ๋องตื่นบรรทมเถิด ถึงเวลาเสวยยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”เสียงนั้นกล่าวพร้อมเอื้อมมือสัมผัสกับพระหัตถ์ทั้งสองข้างที่กำลังประสานทับกันอยู่บนหน้าอก
พรึบ! เปลือกตาที่ปิดสนิทกำลังเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นดวงตาที่เต็มไปด้วยฝ้าขาวบดบังดวงตาดำจนเจ้าของร่างอยู่ในความมืดมาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้ว
เฮ้อ! เสียงถอนหายใจดังออกมาเมื่อล่วงรู้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ที่ผ่านมาแท้จริงแล้วคือความฝันหาใช่ความจริง พร้อมพระวรกายถูกคนสนิทประคองให้ลุกขึ้นมาจากฟูกนอนมาอยู่ในท่านั่ง
“ข้าฝันถึงนางอีกแล้วเหลียงมู่ ฝันเห็นเจ้าสาวในชุดขาวนางมาหาข้าอีกแล้ว คราวนี้มาปรากฏกายถึงในห้องหอกันเลยทีเดียว”ชินอ๋องหนุ่มรับสั่งกับเหลียงมู่ซึ่งเป็นขุนพลข้างกาย
ใบหน้าของเหลียงมู่ ขุนพลคนสนิทที่คอยดูแลชินอ๋องแห่งแคว้นฉู่มาโดยตลอด ได้แต่ก้มมองถ้วยยาตรงหน้าอย่างเงียบๆ
เย่วไท่หรงหรือชินอ๋องแห่งต้าฉู่ ถูกพิษร้ายจากแคว้นอู๋ทำลายดวงตาจนต้องกลายเป็นคนตาบอดมานานหลายเดือนแล้ว พระองค์ทรงได้รับชัยชนะอย่างงดงามและสามารถยึดครองแคว้นอู๋นำกลับไปถวายพระเชษฐาได้เป็นผลสำเร็จ แต่ในขณะเดียวกันกลับต้องเสียดวงตาไปทั้งสองข้าง
เพราะแคว้นอู๋ใช้วิธีสกปรกเจตนาเพื่อทำลายการมองเห็นของผู้บัญชาการทัพจากต้าฉู่ ด้วยคาดคิดว่าหากทำสำเร็จจะไม่สามารถนำทัพได้อีกต่อไป แต่กลับผิดคาดแม่ทัพใหญ่ผู้กล้ายังคงสามารถนำทัพต่อไปได้จนสามารถยึดแคว้นอู๋ได้เป็นสำเร็จ ซึ่งใช่ว่ายาพิษจะใช้ไม่ได้ผลเพียงแต่ไม่ได้ทำให้ตาบอดโดยทันทีแต่มันค่อยๆ มืดบอดลงทุกวันจนกระทั่งสูญสิ้นการมองเห็นอย่างถาวร
“มีข่าวสารของฝ่าบาทส่งรายงานกลับมาหรือยัง”เย่วไท่หรงถามคนสนิทกลับไป
เหลียงมู่เงยหน้าขึ้นมองอยู่เพียงครู่พร้อมรายงานกลับไป
“ฝ่าบาทมีสาสน์กลับมาพ่ะย่ะค่ะทรงดีพระทัยมากที่พระองค์จะเสด็จกลับแคว้น คาดว่าอีกไม่นานเหลียงเฉาที่ล่วงหน้าไปก่อนก็จะนำกองทัพถึงเมืองหลวงอีกในไม่ช้า ทันทีที่พระองค์เสด็จถึงเมืองหลวง ฝ่าบาททรงจัดเตรียมฉลองชัยชนะให้แคว้นน้อยใหญ่ล่วงรู้ไปจนทั่ว ทรงเฝ้ารอพระองค์หวนกลับคืนอยู่ตลอดเวลา”
คำกล่าวของเหลียงมู่ทำให้เย่วไท่หรงได้แต่ยิ้มออกมาบางๆ ซึ่งรอยยิ้มดังกล่าวช่างแสนเศร้ายิ่งนัก มือใหญ่ทั้งสองข้างยื่นออกไปคล้ายรอรับถ้วยยาที่คนสนิทนำมาให้เป็นประจำพร้อมเอ่ยขึ้น
“ได้เบาะแสของดวงตาสวรรค์หรือไม่ สมุนไพรในตำนานนี้มีจริงหรือเป็นเพียงนิทานหลอกเด็ก”รับสั่งถามรับถ้วยยา
“กระหม่อมได้เบาะแสมาว่าดวงตาสวรรค์ปรากฏอยู่ที่แคว้นฉินพ่ะย่ะค่ะ ส่วนจะจริงหรือไม่นั้นเรื่องนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปได้เพราะสมุนไพรนี้ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน”เหลียงมู่รายงานกลับไปพร้อมทอดสายมองแม่ทัพใหญ่ของเขายกถ้วยยาขึ้นดื่มจนหมดพลางส่งกลับคืนมาให้
“ดูท่าข้าจะต้องไปเยือนแคว้นฉินเสียแล้ว หากได้เบาะแสเช่นนั้นไม่ลองมีหรือจะรู้เพราะเท่าที่ผ่านมาก็ลองมาหมดแล้วทุกวิธีไม่ใช่เหรอ จะลองเชื่อตำนานปรัมปราอีกสักครั้งมันจะเป็นอะไรไป
ถ้าแม้แต่ดวงตาสวรรค์ก็ยังรักษาดวงตาของข้าไม่ได้ก็ไม่ต้องขวนขวายให้เหนื่อยอีกต่อไป แค่ยอมรับสภาพที่ข้าจะต้องตาบอดไปชั่วชีวิต ซึ่งทุกวันนี้จะว่าไปก็เริ่มคุ้นชินกับชีวิตที่อยู่ในความมืดแล้ว”
รับสั่งของชินอ๋องแห่งต้าฉู่ทำเอาเหลียงมู่ซึ่งเป็นคนสนิทสงสารพระองค์เป็นที่สุด ไม่คาดคิดเลยว่าความหวังของต้าฉู่ที่ฝากไว้กับว่าที่เจ้าแคว้นคนต่อไปในภายภาคหน้าจะต้องมีสภาพเช่นนี้
“กระหม่อมเชื่อว่าสวรรค์เบื้องบนจะต้องประทานความเมตตาให้แก่พระองค์อย่างแน่นอน ทั้งชีวิตทรงทุ่มเทเพื่อแคว้นและฝ่าบาทมาโดยตลอดอย่าเพิ่งหมดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
คำกล่าวของคนสนิททำให้เย่วไท่หรงได้แต่พยักหน้าขึ้นลง พระองค์ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมานานหลายเดือนแล้วและพยายามที่จะปรับตัวอยู่กับมันให้ได้ หากต้องอยู่กับความมืดไปตลอดกาล
“หากชาตินี้ไม่สามารถได้มองเห็นอีกต่อไป แต่อย่างน้อยขอสวรรค์เบื้องบนได้โปรดให้ข้ามีโอกาสเห็นสตรีที่อยู่ในความฝันของข้ามาโดยตลอดสักเพียงครั้งก็ยังดี!”
รับสั่งที่มีความหวังเพียงน้อยนิด แม้จะล่วงรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เย่วไท่หรงมีเพียงสตรีในชุดเจ้าสาวที่คอยมาอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ในความฝัน
นางเข้ามาอยู่ในหัวใจนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พานพบ
นางคือสตรีหนึ่งเดียวที่อยู่ในความทรงจำและความมืดมิด
และนางคือความหวังที่พระองค์คาดว่าจะมีตัวตนอยู่จริง!