ท่าอากาศยานเซินเจิ้น เป่าอัน
“คุณผู้หญิงคะ! คุณผู้หญิง! ตื่นเถอะค่ะถึงปลายทางแล้ว!”
เสียงของแอร์โฮสเตสสาวส่งเสียงร้องเรียกผู้โดยสารคนสวยที่หลับสนิทมาตั้งแต่เครื่องทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าจนถึงจุดหมายปลายทาง แม้กระทั่งเครื่องร่อนลงจอดก็ยังคงหลับอยู่เช่นนั้น
ขนตางอนยาวเป็นแพกะเพื่อมขึ้นลงพร้อมเปลือกตาเริ่มกลอกกลิ้งไปมาก่อนจะค่อยๆ เปิดขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางความดีใจของเจ้าหน้าที่บนเครื่องต่างพากันยืนอยู่ตรงหน้าเธออยู่ในเวลานี้
“ลืมตาแล้ว! บอกแล้วไงว่าคุณเขาไม่เป็นไรแค่เป็นคนหลับลึกเท่านั้น”เสียงของพนักงานหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นกับเพื่อนร่วมงาน
“แหม! หลับลึกแบบนี้ทำเอาใจหายเลยนะนึกว่าจะเป็นอะไรเสียแล้ว เกิดเป็นแบบนั้นและมีอะไรเกิดขึ้นมีหวังพวกเราได้ถูกสั่งพักงานยาวและต้องรอสอบสวนอีก เฮ้อ! โล่งอกไปที”เสียงของพนักงานแอร์โฮสเตสอีกคนเอ่ยขึ้นกับเพื่อนของเธอ
ท่ามกลางดวงตาที่พร่ามัว เสียงพูดคุยได้ยินอย่างชัดเจนเพียงแต่เปลือกตาหนักและลืมแทบไม่ขึ้น ภาพพร่ามัวตรงหน้าค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นจนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน
“เออ..พวกคุณมีอะไรเหรอเปล่าคะ ทำไมถึงได้พากันมองฉันแบบนี้”หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจพลางทรงตัวลุกขึ้นนั่งตัวตรงมองไปทั่วบริเวณ
“อ้าว! ทำไมไม่มีใครเลย ผู้โดยสารร่วมเที่ยวบินที่มากับฉันหายไปไหนหมดคะ”เธอถามกลับไปด้วยความสงสัย
ใบหน้าของบรรดาพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินต่างพากันส่ายหน้าไปมา เมื่อได้ยินคนสวยถามกลับมาเช่นนั้น
“เครื่องลงจอดนานแล้วค่ะ ผู้โดยสารคนอื่นๆ ลงจากเครื่องไปหมดแล้วยกเว้นก็แต่คุณผู้หญิงนี่แหละที่พวกเราช่วยกันปลุกมานานร่วม 15 นาทีกว่าคุณจะรู้สึกตัวขึ้นมาเสียที ตกลงไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมคะมีอาการอะไรที่รู้สึกผิดปกติบ้างหรือเปล่า”พนักงานต้อนรับหนึ่งในนั้นคล้ายเป็นหัวหน้าทีมบนเครื่องเอ่ยถามกลับไป
“เออ....”หญิงสาวนั่งอึ้งไปทันทีเมื่อได้ยินคำอธิบาย
“ฉันเป็นแบบนั้นเหรอคะ...ทำไมถึงไม่รู้สึกอะไรเลย เพียงแค่ง่วงแล้วก็หลับตา พอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็เห็นพวกคุณยืนอยู่ตรงหน้านี้แหละค่ะ นี่ฉันหลับลึกถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”หญิงสาวถามกลับไปด้วยความแปลกใจในพฤติกรรมตัวเอง
“จริงค่ะ! นอนนิ่งชนิดที่ว่าเหมือนจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาอีกเลยจนพวกเราเกือบจะแจ้งทางศูนย์การบินให้ส่งรถพยาบาลมารับคุณไปแล้ว ดีที่ว่าคุณผู้หญิงรู้สึกตัวขึ้นมาก่อนค่อยโล่งใจไปที”
คำกล่าวของพนักงานบนเครื่องสร้างความแปลกใจให้แก่หญิงสาวครั้นได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆ ออกมา
“ขะ...ขอบ..ขอบคุณมากนะคะ แล้วก็ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด”หญิงสาวเอ่ยขอบคุณกลับไป
“ไม่เป็นอะไรพวกเราก็สบายใจแล้วค่ะ มีของส่วนตัวหรือกระเป๋าบนช่องเก็บไหมคะจะได้ช่วยนำออกมาให้”
หญิงสาวส่ายหน้าไปมาพร้อมยกกระเป๋าสะพายชูขึ้น
“ฉันมีแค่กระเป๋าสะพายเท่านั้นค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะและขอโทษด้วยที่ทำให้พวกคุณต้องวุ่นวายกันไปหมด”เธอพูดพลางลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้นั่งผู้โดยสาร ร่างงามระหงรีบเดินออกไปจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
“จะต้องเป็นเพราะความฝันบ้าๆ นั้นอีกแล้วแน่เลย พอฝันแบบนี้ที่ไรทำเอาเราตัวหนักไปหมด ตาแทบจะลืมไม่ขึ้นแถมครั้งนี้เล่นฝันว่าสวมชุดเจ้าสาวไปหาผู้ชายถึงในห้อง แต่ว่าทำไมไม่เคยฝันเห็นหน้าชัดๆ สักทีบ้างนะ ดูจากรูปร่างและเสียงของเขาประเมินไม่ถูกเลยว่าจะออกมาอีแบบไหน”
หญิงสาวบ่นพึมพำก่อนจะรีบสลัดความฝันเมื่อครู่ที่ผ่านมาออกไปจากความคิดอย่างรวดเร็ว รีบเดินออกจากตัวเครื่องบินเพราะกำลังมีใครบางคนรอเธออยู่ในขณะนี้
ในเวลาต่อมา
ร่างงามอรชรของสาวน้อยคนงามเจ้าของส่วนสูง 168 เซนติเมตร ซึ่งมีสายเลือดผสมไทย มาเลเซียและจีน มีมารดาเป็นลูกครึ่งเชื้อสายไทยจีนและมาเลเซีย บิดาของเธอเป็นนักธุรกิจชาวจีนแผ่นดินใหญ่ซึ่งมีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองเซินเจิ้น
เสี่ยวจูคือชื่อเล่นที่พ่อและแม่เรียกหรือหยางลี่จู ชื่อนามสกุลในฐานะพลเมืองที่ถือสัญชาติมาเลเซียเชื้อสายจีน และเอลิซาเบธ ลี ชื่อของเธอที่ใช้ในวงการนางแบบของประเทศสิงค์โปร์ซึ่งกำลังมาแรงแซงทางโค้งอยู่ในเวลานี้ ด้วยความสวยซึ่งมีเชื้อสายลูกผสมถึงสามชาติด้วยกัน
หญิงสาวในวัย 18 ปี มีสองสัญชาติคือมาเลเซียและจีน เนื่องจากตอนที่เธอเกิดนั้นคุณแม่ของเธอคลอดก่อนกำหนดในขณะที่มาเยี่ยมบ้านเกิดของสามี และทันทีที่เหยียบแผ่นดินจีน ย่ำรุ่งในวันถัดไปเด็กสาวก็ได้ถือกำเนิดลืมตาดูโลกขึ้นมา จึงทำให้มีสัญชาติจีนนับตั้งแต่เกิดและมีชื่อแซ่จีนในทะเบียนเกิดที่ประเทศจีนว่า หยางลี่จู ซึ่งมีความหมายว่าสวยงามมาก
พ่อของเธอหยางไค่ซ้าน เป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่มาพบรักกับแม่ของเธอซึ่งเป็นลูกครึ่งไทยจีนและมาเลเซียในขณะที่บินมาประชุมในประเทศไทยและหลังจากนั้นหยางไค่ซ้านก็บินมาที่มาเลเซียทุกเดือนเพื่อมาสานสัมพันธ์กับแม่ของเธอซึ่งมีนามว่าแคทธารีน ลี จนกระทั่งทั้งคู่ตกลงแต่งงานใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเรื่อยมาจนกระทั่งหยางลี่จูถือกำเนิด
ภายหลังหยางไค่ซ้านต้องการพาลูกและภรรยากลับไปอยู่ที่ประเทศจีนเป็นการถาวร เนื่องจากประเทศจีนก้าวเข้าสู่ยุคใหม่และมีการพัฒนาเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
สองสามีภรรยาจึงย้ายถิ่นฐานกลับไปอยู่ที่เมืองเซินเจิ้นโดยมีคุณแคทธารีนติดตามไปด้วยในฐานะคุณนายใหญ่ของตระกูลหยางที่แต่งงานจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมายทั้งของสองประเทศคือมาเลเซียและทางจีน
ในขณะที่หยางลี่จูถูกส่งไปเรียนหนังสือที่ประเทศสิงค์โปร์ตั้งแต่ระดับชั้น Elementary school หรือระดับชั้นประถม และอยู่โรงเรียนประจำมาโดยตลอด พ่อและแม่ของเธอจะบินไปเยี่ยมเป็นประจำทุกปี
จวบจนกระทั่งทั้งคู่ย้ายกลับไปอยู่ที่ประเทศจีนเป็นการถาวรและแคทธารีน ลี ต้องการให้บุตรสาวกลับมาอยู่ด้วยกันที่ประเทศจีนด้วยเชนกัน เพื่อรับช่วงต่อกิจการของหยางไค่ซ้านและเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยของประเทศ ซึ่งจีนแผ่นดินใหญ่ในเวลานี้กำลังเจริญรุดหน้าไปทั่วทุกด้าน
จึงทำให้หยางลี่จูต้องบินกลับมาหาพ่อและแม่ของเธอเพื่อชี้แจงท่านทั้งสองให้เข้าใจว่าตอนนี้หญิงสาวไม่ใช่เด็กแล้ว อายุ 18 ปีของเธอทั้งในประเทศจีนและที่สิงค์โปร์ต่างบรรลุนิติภาวะด้วยกันทั้งสิ้น โดยลี่จูตั้งใจบอกพ่อและแม่ว่าสามารถสอบชิงทุนเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศสิงค์โปร์ในคณะแพทย์ซึ่งหยางลี่จูต้องการศึกษาต่อทางด้านศัลยกรรม
หลังจากเรียนจบแล้วจึงจะกลับมาศึกษาวิชาแพทย์เพิ่มเติมต่อที่ประเทศจีน และต้องการมีคลินิกเป็นของตัวเอง ส่วนการรับช่วงบริหารบริษัทต่อจากพ่อของเธอนั้น หญิงสาวยอมรับว่าไม่ถนัดในการบริหารแม้แต่น้อย
และเธอต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศสิงค์โปร์ต่อไปเพราะต้องการทำงานไปด้วยและเรียนแพทย์ไปพร้อมกัน ซึ่งรายได้จากการทำงานสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้อย่างสบายโดยไม่ต้องรบกวนเงินของพ่อกับแม่แต่อย่างใด และยังสามารถเก็บเงินจากการทำงานเพื่อใช้เปิดคลีนิกของตัวเองในอนาคตหลังจากเรียนจบแพทย์สำเร็จตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้
ในขณะเดียวกันหยางลี่จูหรือเอลิซาเบธ ลี เป็นนางแบบชื่อดังที่กำลังมาแรงอย่างยิ่งยวดในเวลานี้ ด้วยสายเลือดผสมที่มีด้วยกันถึงสามชาติของเธอ ทำให้เป็นที่โดดเด่นและสะดุดสายตาผู้คนทั่วไปทันทีที่ได้เห็น
ความสูงในระดับ 168 เซนติเมตรของเธอซึ่งกำลังอยู่ในระดับพอดี อีกทั้งหยางลี่จูยังมีสรีระที่ผู้หญิงทุกคนเฝ้าใฝ่ฝัน นั่นก็คือมีหุ่นนาฬิกาทรายที่มีส่วนเว้า ส่วนโค้งที่โดดเด่นและหน้าอกภูเขาไฟจากสายเลือดทางมาเลเซีย อีกทั้งมีผิวพรรณขาวชมพูงามลออตาเกินต้านทาน
หญิงสาวมีชื่อเสียงที่ขึ้นชื่อลือชาในวงการนางแบบ ถือเป็นเจ้าแม่ชุดว่ายน้ำที่ถูกถ่ายแบบขึ้นปกนิตยสารทั้งทางมาเลเซียและสิงค์โปร์ เป็นเจ้าแม่พรีเซนเตอร์ให้กับสินค้าจนนับไม่ถ้วน โกยเงินต่อปีหลักร้อยล้านดอลลาร์สิงค์โปร์เลยทีเดียว
แต่ถึงกระนั้นแม้ว่าจะมีงานที่รัดตัวมากมาย เธอก็ไม่เคยทิ้งการเรียนยังสามารถเรียนหนังสือได้เกรดดีด้วยตัวเอง แม้ว่าจะไม่ได้เกรดสูงสุดดีเยี่ยมเป็นอันดับหนึ่งก็ตามแต่ก็ช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอดไม่พึ่งพาผู้ใด
ด้วยนิสัยของหยางลี่จูที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงและเป็นคนที่ต้องการที่จะทำอะไรแล้ว จะต้องทำให้ได้ มีความมุ่งมั่นมุมานะพยายามอย่างเป็นเลิศ เดินหน้าแล้วไม่เคยถอยหลังและเป็นคนที่ใครก็ตามทำอะไรกับเธอไว้จะจำไปจนวันตายไม่มีวันลืมตลอดชีวิตและไม่มีทางปล่อยให้ลอยนวล จะต้องถูกเธอเอาคืนชนิดที่ว่าคนถูกกระทำจำไม่ลืมเลยทีเดียว
และถึงแม้ว่าจะมีนิสัยและมีความคิดที่โตเกินกว่าอายุจริงก็ตาม แต่ในแง่ของการใช้ชีวิตกับสังคมหยางลี่จู เป็นคนที่รู้จักปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นเป็นอย่างดี และรู้จักเอาตัวรอดกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นว่าจะใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างไร
เธอไม่ใช่คนโลภ และไม่ใช่คนตระหนี่แต่ในขณะเดียวกันไม่ชอบให้ใครมาเอาเปรียบเพราะเห็นว่าอายุยังน้อยและคิดว่าด้อยประสบการณ์ ซึ่งหญิงสาวจัดการทุกคนที่คิดเช่นนี้กับเธอได้อย่างอยู่หมัดจนต้องเปลี่ยนความคิดและคำพูดไปเลย
หลังจากที่เคลียร์งานทุกอย่างลงตัวเพื่อทำให้ตัวเองว่างเป็นเวลาสามเดือน งดรับงานทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวเดินทางบินไปประเทศจีน หยางลี่จูจึงจับเที่ยวบินจากสิงค์โปร์มุ่งหน้าบินไปหาพ่อและแม่ที่จีนแผ่นดินใหญ่ ณ เมืองเซินเจิ้นและในวันนี้หยางลี่จูได้บินกลับมาเหยียบแผ่นดินจีนอันเป็นบ้านเกิดของบิดา
และเป็นต้นตระกูลของแคทธาลีน ลีหรือเฉินเชาเย่ว ซึ่งเป็นชื่อแซ่ที่อยู่ในทะเบียนพลเมืองของชาวจีนแผ่นดินใหญ่แม่ของเธอและเป็นครั้งแรกในชีวิตนับตั้งแต่จำความได้ หากนับรวมเมื่อครั้งที่เธอถือกำเนิดออกมาลืมตาดูโลกก็ถือว่าเป็นครั้งที่สองในชีวิตที่ได้กลับมาเยือนประเทศเกิดของพ่อและแม่รวมไปถึงลี่จูด้วยเช่นกัน
นอกจากหยางลี่จูจะตั้งใจกลับมาเพื่อเยี่ยมพ่อและแม่แล้ว หญิงสาวยังถือโอกาสมาเที่ยวพักผ่อนไปในตัว หลังจากที่ต้องเรียนและอ่านหนังสืออย่างหนักจนสามารถสอบเข้าคณะแพทย์ได้เป็นผลสำเร็จ
รวมไปถึงทำงานติดต่อกันอย่างต่อเนื่องมาตลอดสองปีที่ผ่านมาเพราะความงกเงินเป็นเหตุ อยากมีเงินเก็บเยอะๆ เพื่อนำมาประกอบเป็นเหตุผลสำคัญให้หยางไค่ซ้านพ่อของเธอเชื่อว่า สามารถเอาตัวรอดได้ยามต้องใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวที่สิงค์โปร์
หลังจากบินมาเยี่ยมพ่อและแม่และเที่ยวชมประเทศบ้านเกิดจนหนำใจแล้ว จากนี้อีกสามเดือนหยางลี่จูจะบินกลับไปทำงานและเรียนหนังสือต่อที่สิงค์โปร์ตามเดิมและคงไม่บ่อยนักที่จะได้บินกลับมาเยือนแผ่นดินเกิดอีก หรือจนกว่าเธอจะเรียนจบซึ่งต้องใช้เวลาเรียนในคณะแพทย์ดังกล่าวอีกไม่ต่ำกว่าหกถึงเจ็ดปีเลยทีเดียว
ร่างของหยางลี่จูกำลังเดินเข็นรถที่บรรจุกระเป๋าเดินทางใบขนาดใหญ่มาถึงสองกระเป๋าและยังมีกระเป๋าใบเล็กอีกสองกระเป๋า กับระยะเวลาสามเดือนที่กลับมาเยี่ยมพ่อและแม่ของเธอ
“เสี่ยวจูทางนี้ลูก!”เสียงของคุณแคทธารีน ตะโกนร้องเรียกบุตรสาวทันทีที่ร่างอรชรเดินออกมาจากประตูผู้โดยสารขาออก
หยางลี่จูสวมชุดลำลองสบายๆ ตามแบบฉบับหญิงสาววัยรุ่นกางเกงยีนรัดรูปความยาวห้าส่วนปลายรุ่ยๆ สวมเสื้อเชิ้ตคอปกสีขาวลายริ้วทางตรง รับกับรองเท้าส้นเตี้ยสีเหลืองคาราเมลและสะพายกระเป๋าสีดำ สวยดูแรง สุดเฉี่ยว ในลุคสาวมั่นที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง พกพาความสวยอย่างโดดเด่นโดยไม่ต้องพึ่งมีดหมอทำศัลยกรรมแต่อย่างใดเพราะมีแม่เป็นลูกครึ่งไทยจีนมาเลเซีย
หญิงสาวเจ้าของใบหน้ารูปไข่ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตคู่ใหญ่ดั่งตากวาง ขนตางอนยาวเฟื้อยที่แม้แต่ขนตาปลอมยังต้องหลีกทางให้กับขนตาจริงของเธอ ตาสองชั้นกรีดคมลึกเห็นอย่างชัดเจน
เส้นผมสีดำเป็นนิลยาวเพียงแค่ระดับต้นคอเจ้าของผิวขาวอมชมพูนวลเนียนไปทั่วทั้งกายงาม ริมฝีปากอวบอิ่มน่าบดเคล้าคลึงเป็นยิ่งนัก คนงามปล่อยรถเข็ญทันทีเมื่อสายตาเห็นแม่ของเธอกำลังโบกมือไปมาอยู่ตรงบริเวณจุดรับผู้โดยสารขาออก
“คุณแม่!!!”หญิงสาวพูดพลางตรงเข้าสวมกอดแม่ของเธอด้วยความคิดถึง
ในขณะที่คนเป็นแม่สวมกอดบุตรสาวสุดที่รักด้วยความรักและคิดถึงอย่างยิ่งยวด ด้วยไม่เห็นลูกสาวของเธอมานานกว่าหนึ่งปีแล้วก็ว่าได้
“ลูกสาวคนสวยของแม่โตขึ้นเยอะแล้วไม่เห็นแค่ปีเดียวเท่านั้น เปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้ไม่ใช่เด็กแล้วนะเรา โตเป็นสาวเต็มตัวแล้วมิหนำซ้ำยังสวยมากเสียด้วย”คุณแคทธารีนชมบุตรสาวด้วยความภูมิใจอย่างที่สุด
“คุณพ่อเป็นอย่างไงบ้างคะคุณแม่”หญิงสาวถามหาคนเป็นพ่อด้วยความอยากรู้
“คุณพ่อไม่สบายลูก นอนอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันแล้ว”คุณแคทธารีนบอกลูกสาว
หา! เสียงอุทานดังออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ทำไมคุณแม่ไม่บอกหนูเลยค่ะ ว่าคุณพ่อไม่สบายแล้วนี่นอนอยู่โรงพยาบาลกี่วันแล้วคะ”
“คุณพ่อรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลได้เกือบอาทิตย์แล้วลูก”คนเป็นแม่บอกกลับไปเสียงเบา
“เกือบอาทิตย์แล้วเหรอคะคุณแม่คุณพ่อเป็นอะไรทำไมถึงไม่รีบบอกหนูจะได้รีบกลับมาให้เร็วกว่านี้”หญิงสาวตัดพ้อ
ในขณะที่คนเป็นแม่ได้แต่ยืนนิ่งเมื่อลูกสาวคนสวยตัดพ้อต่อว่านางเป็นการใหญ่ ใบหน้าอิ่มที่ยังมีเค้าโครงความงามในวัยสี่สิบปี ยังงดงามไม่เปลี่ยนแปลง สวยสมวัยสาวใหญ่ก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“คุณพ่อไม่อยากให้หนูเป็นกังวลก็เลยไม่ยอมให้แม่บอกลูก”คุณแคทธารีนบอกลูกกลับไป
“คุณแม่พาหนูไปหาคุณพ่อที่โรงพยาบาลเลยค่ะยังไม่ต้องเข้าบ้าน”หญิงสาวเร่งเร้า
“เดี๋ยวเราสองคนช่วยกันเข็นรถไปด้านนอกตรงบริเวณหน้าประตูนะลูก แม่จะโทรเรียกให้คนขับรถมารับ”
คุณแคทธารีน กล่าวพร้อมตรงเข้าช่วยบุตรสาวเข็นรถคันใหญ่ที่เต็มไปด้วยกระเป๋าเดินทางหลายใบมุ่งหน้าไปยังประตูทางออกเพื่อเดินทางไปเยี่ยมพ่อของเธอที่โรงพยาบาล
โรงพยาบาลเผิงเฉิง เซินเจิ้น
ห้องพิเศษ
ร่างของชายวัยกลางคนอายุประมาณ 45 ปีของหยางไค่ซ้าน นอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงคนไข้ ภายในห้องพิเศษของผู้ป่วยที่ต้องการความเป็นส่วนตัวซึ่งมีขนาดห้องประมาณ 52 ตารางเมตร เต็มไปด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างครบครันและยังมีเตียงสำหรับญาติเพื่อสามารถได้เฝ้าดูแลอาการของคนป่วยอย่างใกล้ชิด ซึ่งคุณแคทธารีนเลือกที่จะคอยดูแลสามีด้วยตัวเองแทนการจ้างพยาบาลพิเศษ
หยางไค่ซ้านถูกนำส่งโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน ด้วยเพราะหมดสติคาโต๊ะทำงานในบ้านของตัวเองและถูกตรวจพบว่ามีอาการของโรคหัวใจ ซึ่งหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจตีบจึงต้องรีบทำการผ่าตัดทำบายพาสหัวใจอย่างเร่งด่วนเพื่อทำทางเบี่ยงเสริมหลอดเลือดบริเวณที่ตีบหรือตันทำให้เลือดผ่านส่วนที่ตีบหรือตันได้ดีขึ้น ส่งผลทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้มากขึ้น
เครื่องวัดคลื่นหัวใจกำลังทำงานปรากฏอยู่บนจอมอนิเตอร์ ร่างของหยางไค่ซ้านเต็มไปด้วยสายระโยงระยางที่ต่อเข้ากับขวดยามากมายและสายน้ำเกลือนำเข้าสู่ร่างของเขาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ในขณะนี้ การโหมทำงานหนักโดยไม่ยอมหยุดพักทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอเมื่อสะสมนานวันเข้าจึงทำให้ส่งผลต่อสุขภาพ
หยางไค่ซ้านใช่ว่าจะไม่ล่วงรู้ถึงความผิดปกติของร่างกายตัวเองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลังๆ ของเขา แต่เพราะห่วงงานและธุรกิจที่กำลังขยายตัวไปอย่างรวดเร็วจึงไม่อาจวางมือลงได้ โดยตั้งใจว่าหลังจากสามารถผลักบริษัทของเขาเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นผลสำเร็จ ก็จะถือโอกาสหยุดพักผ่อนและตรวจสุขภาพของตัวเองครั้งใหญ่
แต่แล้วก็ไปไม่รอดเมื่ออาการป่วยของเขาสำแดงเดชออกมาเสียก่อน เป็นผลทำให้หยางไค่ซ้านต้องพักรักษาตัวระยะยาว ซึ่งเหตุผลหลักที่ต้องการให้บุตรสาวกลับมาแผ่นดินใหญ่ก็มาจากสาเหตุอาการป่วยที่เริ่มปรากฏออกมาให้เห็นในระยะหลังถี่ขึ้น
ซึ่งหยางไค่ซ้านไม่กล้าที่จะยอมรับความจริงว่าตัวเองกำลังป่วยและจะทำให้เป็นภาระกับภรรยา ซึ่งแน่นอนว่าทันทีที่ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากล่วงรู้อาการเจ็บป่วยของเขาจะต้องเป็นทุกข์และไม่สบายใจขึ้นมาทันที
แอดดดด!!!! เสียงบานประตูห้องพิเศษถูกเปิดออกพร้อมร่างระหงของหยางลี่จูเดินเข้ามาภายในห้องดังกล่าวด้วยความร้อนใจโดยมีคนเป็นแม่เดินตามหลังมาติดๆ
“คุณพ่อ!”เสียงเรียกหาดังออกมาเบาๆ เมื่อเห็นร่างตรงหน้าเต็มไปด้วยสายระโยงรยางค์มากมายเต็มตัวไปหมด
หยางลี่จูถลาเข้าไปเกาะขอบเตียงอย่างรวดเร็วพร้อมสอดมือเรียวสวยของเธอตรงเข้าจับฝ่ามือใหญ่และหนาของพ่อเอาไว้พร้อมยกขึ้นนำมาแนบไว้ที่ใบหน้าของตัวเอง
“คุณพ่อขาหนูมาแล้วค่ะ เสี่ยวจูของคุณพ่อมาแล้วนะคะ”หญิงสาวพูดกับพ่อของเธอ
หากแต่ร่างของคนเป็นพ่อยังคงนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่เช่นเดิม จนหญิงสาวหันกลับไปมองคุณแคทธารีนที่กำลังเดินตรงมาที่เตียงคนไข้ก่อนจะหยุดยืนฝั่งตรงกันข้าม
“คุณแม่ทำไมคุณพ่อนอนนิ่งแบบนี้ ยังไม่ฟื้นเลยเหรอคะ”หญิงสาวถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“คุณพ่อเพิ่งผ่าตัดทำบายพาสหัวใจเมื่อวาน คุณหมอบอกว่าต้องรอจนกว่าจะฟื้นขึ้นมาเองซึ่งเรื่องนี้ก็ตอบไม่ได้ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน แต่อาการโดยรวมก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจอยู่มากเลยทีเดียว”คุณแคทธารีนอธิบายลูกสาวกลับไป
หยางลี่จูได้แต่พยักหน้าขึ้นลงฟังแม่ของเธออธิบายกลับมาอย่างเงียบๆ พลางหันกลับไปมองใบหน้าของพ่อที่ซีดเซียวพร้อมเสียงของคุณแคทธารีนเอ่ยขึ้น
“แม่คิดว่าเรื่องที่จะบอกกับคุณพ่อถึงความตั้งใจของลูกว่าต้องการจะทำอะไรอย่าเพิ่งบอกพ่อเลยนะลูก แม่กลัวว่าพอพ่อรู้ถึงความตั้งใจของหนู จะทำให้คิดมากและเกิดความเครียดขึ้นมาจะพาลทำให้สุขภาพทรุดลงแย่ไปกว่าเดิม ทางที่ดีทอดระยะเวลาออกไปสักพักก่อนเถอะลูก ช่วงนี้พ่อต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลค่อนข้างนานรอจนกว่าได้กลับไปอยู่บ้านก่อน แล้วค่อยพูดกันเรื่องนี้ดีไหมยายหนู”นางตัดสินใจบอกลูกสาวกลับไป
“คุณแม่ไม่ต้องกังวลค่ะหนูจะไม่พูดเรื่องนี้อีกต่อไป”คนเป็นลูกตอบสวนกลับไป
คำตอบของลูกสาวทำให้คนเป็นแม่ยืนงงไปชั่วขณะ ก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ โดยไม่พูดอะไรเพราะรู้จักนิสัยของลูกเป็นอย่างดี หากพูดคำไหนนางก็จะรักษาคำพูดของตัวเองเสมอ
ซึ่งคนเป็นแม่คาดเดาไม่ผิดความตั้งใจที่จะกลับมาบอกพ่อกับแม่ว่าเธอตั้งใจจะทำอะไร ถูกล้มเลิกไปจากความคิดทันทีที่ล่วงรู้ว่าพ่อของเธอล้มป่วยหนัก ก่อนจะเหลือบสายตาไปเห็นแฟ้มงานมากมายที่กองอยู่บนชุดรับแขกเรียงรายหลายสิบแฟ้ม
“โอโห่! คุณแม่แฟ้มงานเหรอคะทำไมถึงได้มากมายขนาดนี้”หญิงสาวถามกลับไป ไม่แปลกใจเลยว่าเพราะอะไรพ่อของเธอถึงล้มป่วยหนักถึงขนาดนี้
“แม่ตรวจเสร็จไปได้บางส่วนแล้วละลูก เพราะต้องลงนามแทนคุณพ่อไม่มีใครลงนามแทนได้ถ้าไม่ใช่แม่หรือหนูมีเพียงแค่นี้เท่านั้นที่คุณพ่อให้อำนาจเอาไว้ แต่ยายหนูไม่ชอบงานบริหารก็ต้องเป็นแม่ที่จะต้องจัดการต่อไป”คุณแคทธารีนบอกบุตรสาวกลับไป
และคำกล่าวของแม่ทำให้หญิงสาวรู้สึกจุกที่อกขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น หญิงสาวเดินตรงไปที่ชุดรับแขกพร้อมหยิบแฟ้มขึ้นมาอ่านคร่าวๆ พร้อมเอ่ยขึ้น
“คุณแม่สอนหนูได้ไหมคะ สองคนช่วยกันจะได้เสร็จเร็วถึงจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับงานบริหารแต่ก็ไม่น่าจะเกินกำลัง ขืนให้คุณแม่ทำอยู่คนเดียวล้มป่วยมาอีกคนจะทำอย่างไงละคะ คนพ่อก็ยังไม่รู้ว่าจะดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน”หญิงสาวบอกเจตนาของเธอกลับไป
ใบหน้าอวบอิ่มของคนเป็นแม่ยิ้มกว้างออกมาเมื่อได้ยินลูกสาวเพียงคนเดียวบอกกลับมาเช่นนั้น คุณแคทธารีนได้แต่ยืนยิ้มด้วยความดีใจอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นบุตรสาวทรุดกายลงนั่งพร้อมอ่านแฟ้มที่อยู่ในมืออย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะหันกลับไปมองสามีที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงเช่นนั้น
“ไม่ต้องห่วงแล้วนะพ่อ! ลูกของเรามาแล้วบางทีลูกอาจจะมีคำตอบที่ตัดสินใจได้แล้วว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป พ่อรีบหายและตื่นขึ้นมาฟังลูกของเรานะ”
นางกระซิบข้างหูบอกสามีด้วยเชื่อว่าแม้จะยังไม่รู้สึกตัวแต่ประสาทการได้ยินจะทำให้รับรู้ถึงการมาของลูกสาวเพียงคนเดียวของทั้งสองก็อาจเป็นได้