ฉันหมุนตัวเดินเข้ามาในโรงแรมและตรงไปยังห้องโถงเวลานี้ดูเหมือนจะมีนางแบบหลายคนกำลังนั่งรอการประชุมและเลือกชุดสำหรับเดินเป็นของทางแบรนด์นะที่จะเลือกให้เหมาะสมกับรูปร่าง หน้าตาและบุคลิกภาพเท่าที่เคยเดินแบบมาหลายเวทีนะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ร่วมงานกับแบรนด์ต่างประเทศก็เลยตื่นเต้นนิดหน่อย
“มากันครบแล้วนะ”
“ยังไม่ใช่เหรอพี่ตุ๊ก” มองผู้จัดการงานสองคนที่เหมือนจะบอกว่านางแบบมาครบ จริงๆ แล้วยังขาดอีกเหรอ?
“จริงด้วย เดี๋ยวรอแปบหนึ่งนะทุกคน”
“ไม่เห็นจะมาซ้อมเดินกับพวกเรา แต่ดันได้เป็นคนสวมชุดฟินาเล่ปิดท้ายงาน จะเกินไปปะ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินนางแบบคนอื่นเม้าท์กันเรื่องอะไรสักอย่าง ไม่ต้องเดาให้มากนะคงจะเป็นนางแบบที่ถืออภิสิทธิ์ล่ะมั้งถึงได้สวมชุดปิดงานแบบสวยๆ ซึ่งตำแหน่งนี้มีแต่คนอยากได้นะ ยกเว้นฉันคนเดียวที่ไม่ค่อยซีเท่าไหร่ขอให้เจ้าของงานจ้างฉันก็พอ จะให้เดินคนที่เท่าไหร่ก็แล้วแต่เลย ฉันไม่เรื่องมากหรอก
“ว่าได้หรือไง นางคือราชินีวงการนางแบบนะ”
“ก็จริง ใครจะกล้ายุ่งล่ะมีอิทธิพลขนาดนั้น” หูของฉันบานเป็นจานดาวเทียมเพื่อฟังพวกเธอเม้าท์กัน ด้วยเพราะพวกเธอนั่งกันข้างหลังก็เลยทำให้ได้ยินไม่ค่อยชัดสักเท่าไหร่
“นางไม่ค่อยได้มาเดินแบบโชว์นะ ทำไมถึงมาเดินได้”
“เจ้าของแบรนด์เลือกน่ะสิ หล่อนก็นะไม่ยอมมาซ้อมเดิมคงมั่นหน้าน่าดูเลย จริงๆ เจ้าของแบรนด์ควรเลือกพวกเราปะดันไปเลือกหล่อนที่แทบจะไม่อยากจะเสวนากับคนอย่างพวกเรา”
ฉันค่อนข้างปะติปะต่อเรื่องได้ยากนิดหน่อยนะ เพราะนางแบบในวงการมีเยอะมากและที่สำคัญคนที่ค้างฟ้าก็มี รุ่นใหม่แบบฉันก็มีถมเถไป ดังนั้นฉันก็นึกถึงใครไม่ออกจริงๆ เลยนอกซะจาก...
“อ้าวมาแล้วเหรอ” สะดุ้งตกใจพลางหันไปมองตามสายตาของผู้จัดการที่เนรมิตเวทีให้เป็นธีมสีขาวและมีดอกไม้ตกแต่งอย่างสวยงาม ใบหน้าของฉันค่อยๆ มองไปด้านหลังร่างบอบบางที่สวมชุดเดรสเกาะอกสีดำมีใบหน้าที่สวยราวกับนางพญากำลังยกมือไหว้ผู้จัดการและเจ้าของแบรนด์ มีผู้ชายสองคนยืนประกบข้าง “คุณ ‘บุ้งกี๋’ ยินดีต้อนรับนะคะที่รับข้อเสนอของทางแบรนด์ให้มาเดินปิดท้ายงานในวันพรุ่งนี้”
“ต้องขอบคุณทางแบรนด์ด้วยนะคะ”
ให้ตายสิทุกคน! คุณบุ้งกี๋คือนางแบบรุ่นพี่ที่เป็นไอดอลของฉัน และเธอยังเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันได้มาเข้าวงการนี้ ฉันมีหนังสือและมีของเกี่ยวกับเธอไว้เยอะมากๆ เลยล่ะ เพราะเธอเป็นเหมือนคนดังที่ฉันชื่นชอบ พอเห็นเธอฉันก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความดีใจขณะที่เธอมองฉัน
“สวัดสีค่ะ” ฉันค้อมศีรษะให้เธออีกครั้งเป็นการทักทายในแบบที่เราเจอคนที่ชอบแล้วมันตื่นเต้นอะทุกคน คุณบุ้งกี๋มองฉันพลางเผยรอยยิ้มให้เล็กน้อย มองร่างบอบบางที่หุ่นดีเวอร์ๆ เดินตามผู้จัดการไป ส่วนพวกเราทั้งหมดก็เดินไปด้านหลังเวลาซึ่งมีบรรดาคนของแบรนด์กำลังเลือกชุดให้เข้ากับพวกเรา ส่วนของคุณบุ้งกี๋เป็นชุดปิดท้ายเธอจะเป็นชุดสีแดงเกาะอกปักเหลื่อมและกระโปรงบานฟูฟ่องเหมือนกับเจ้าหญิง พอเห็นเธอลองชุดนี้แล้วคือสวยมากๆ เธอเหมือนราชินีกุลสักคนในประเทศทางแถบตะวันออก ดูหรูหราและดูสวยงามแบบที่หาที่ติไม่ได้จริงๆ ที่สำคัญเมื่อกี้เธอส่งยิ้มให้ฉันด้วยล่ะทุกคน!
“ไนล์ ลองชุดนี้นะ” รับชุดมาถือไว้กับตัวเพราะมัวแต่ตกตะลึงกับความสวยของคุณบุ้งกี๋อยู่ ฉันรีบเปลี่ยนชุดที่เป็นชุดเดรสสายเดี่ยวสีดำผ่าร่องอกมีดอกไม้สีขาวแปะตรงเต้าทั้งสองข้าง ชายกระโปรงชุดเดรสจะรัดรูปตั้งแต่ช่วงเอวและมาบานช่วงเท้าพร้อมถุงมือสีดำกำมะหยี่ยาวถึงข้อศอก “โอ้โห สวยมากเลยไนล์”
“ขอบคุณค่ะ”
“วันพรุ่งนี้ต้องสวมหมวกด้วยนะ เป็นหมวกสีดำใส่แบบเอียงๆ น่าจะเข้ากับชุดเลยล่ะ” ผู้จัดการเวทีลองเอาหมวกมาสวมบนศีรษะให้ฉันเป็นอันเสร็จ พล็อพศีรษะของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันนะ บางคนก็ได้สวมปีกนางฟ้า บางคนก็ได้สวมสร้อยคอแทนแล้วแต่คนจะเหมาะหรือไม่เหมาะ ผู้จัดการเดินไปดูนางแบบคนอื่นสวนฉันก็มองคุณบุ้งกี๋ที่กำลังมองตัวเองในกระจกเป็นชุดที่สวยมากจริงๆ เวลามาอยู่บนตัวของเธอ
“สวยมากเลยค่ะ” ฉันอยากจะทักทายและคุยกับเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ลดตัวมาคุยกับนางแบบที่กำลังไต่ขึ้นไปบนจุดที่สูงที่สุดก็ตาม เธอหันมามองฉันพลางไล่สายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“ขอบใจ” น้ำเสียงแหบพร่าทว่าเซ็กซี่ของเธอเอื้อนเอ่ยขึ้น “คุณก็สวย”
“ขะ ขอบคุณนะคะ!” ค้อมศีรษะให้เธอด้วยความดีใจ จู่ๆ เธอเองก็คุยกับฉัน แม้จะเป็นการคุยที่สั้นยิ่งกว่าหางหนูก็เถอะนะ คุณบุ้งกี๋หมุนตัวไปคุยกับผู้จัดการและรอนางแบบคนอื่นเปลี่ยนชุดเพื่อซ้อมเดินเป็นครั้งสุดท้าย งานจะเริ่มตั้งแต่หนึ่งทุ่มเป็นต้นไปเลยเห็นบอกว่าไม่ได้มีแค่ชุดนี้นะ ยังมีนางแบบชุดอื่นและคนละธีมรออยู่ด้วย เพราะเวทีเปิดจะเป็นการเดินของฉันเนี่ยล่ะ
พอเตรียมตัวเรียบร้อยพวกเราทั้งหมดก็ซ้อมเดินเพื่อดูคิวให้ตรงกัน ฉันจะเดินออกเป็นคนที่สามดังนั้นพอให้หลังนางแบบก่อนหน้าเดินไปถึงเวทีด้านหน้าฉันก็ต้องเดินออกไป ส้นสูงที่สวมใส่ในวันพรุ่งนี้จะเป็นส้นสูงแบบส้นแหลมหัวมนทำให้ฉันไม่เจ็บเท้าเท่าไหร่รู้สึกดีที่ไม่ทำให้งานต้องเสีย ใช้เวลาในการเดินครบทั้งหมดประมาณสิบห้านาทีก็เป็นคุณบุ้งกี๋ที่เดินออกไปปิดท้าย สายตาของฉันมองเธอจากด้านหลัง เท้าที่ก้าวฉับอย่างคนที่มีประสบการณ์ การหมุนตัวหรือการเดินไปหยุดตรงหน้าเวทีและนางแบบทุกคนก็เดินออกจากด้านหลังไปยืนปรบมือให้กับเจ้าของแบรนด์ ใช้เวลาในการซ้อมอยู่สามรอบจนถึงบ่ายแก่ ฉันก็เข้ามาเปลี่ยนชุดกำลังคิดว่าจะซื้อกาแฟไปฝากคุณบุ้งกี๋ด้วย ไม่รู้ว่าเธอจะคิดว่าฉันไปตีสนิทหรือเปล่า ขอบอกเลยนะว่าไม่แค่ได้เจอไอดอลที่ชื่นชอบก็อยากให้ของเธอนี่นา
“อะไรกันไนล์ ทำไมเธอต้องไปทำหน้าระรื่นกับคุณบุ้งกี๋ด้วยล่ะ” เพื่อนนางแบบเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “เธอก็รู้ว่าคุณบุ้งกี๋ไม่มาสุงสิงกับพวกเราหรอก”
“ฉันชอบเธอนี่นา ก็รู้ว่าเธอเป็นไอดอลฉัน”
“ข้อนี้ฉันรู้ดี แต่ก็ไม่เห็นต้องทำแบบนั้น เธอไม่เห็นหัวไนล์ด้วยซ้ำ” หล่อนบอกฉันด้วยความหวังดี ก็ช่างสิฉันสนที่ไหน พอแต่งตัวเสร็จฉันก็ออกจากห้องโถงมองเห็นแผ่นหลังของคุณบุ้งกี๋เดินไปนั่งที่โซฟาสำหรับต้อนรับแขกของโรงแรม หมุนตัวไปร้านกาแฟที่เปิดในตัวโรงแรมฉันก็สั่งโกโก้มิ้นท์ที่ฉันเคยดูสัมภาษณ์ว่าเธอชอบ ฉันเองก็ชอบกินตามเธอเลยล่ะ แม้ตอนแรกรสชาติมันจะประหลาดพอกินไปก็อร่อยดีนะ
“เขาอยู่เหรอ?” ฉันชะงักเท้าก่อนจะเข้าไปหาเธอที่นั่งไขว่ห้างเงยหน้าคุยกับผู้ชายสองคนที่เป็นคนของเธอ
“ครับ คุณบุ้งกี๋จะให้ผมไปตามเขาไหมครับ”
“ไม่ต้อง” เธอรีบบอกคนของตัวเองเสียงแข็ง “คนอย่างเขา ไม่ยอมให้ใครมาสั่งหรอก”
“หรือคุณบุ้งกี๋จะขึ้นไปพบกับเขาครับ”
“ไม่มีความจำเป็น” ฉันขมวดคิ้วกับสิ่งที่พวกเขาคุยกัน ไม่ได้อยากจะเสือกหรอกนะก็ยืนรอให้เธอคุยให้เสร็จก่อน พอเห็นเธอลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกจากโรงแรมฉันก็วิ่งไปหยุดตรงหน้าเธอ นั้นเป็นผลให้ผู้ชายสองคนดันฉันให้ถอยห่าง “ถอยไป”
“ครับ” คำสั่งเด็ดขาดทำให้ผู้ชายสองคนถอยไปยืนข้างหลัง ฉันก็ฉีกยิ้มให้กับคุณบุ้งกี๋ “มีอะไรคะ?”
“คือ... ฉันซื้อมาฝากค่ะ” ยื่นแก้วโกโก้มิ้นท์ให้กับเธอที่ทำหน้ามึนงง “ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันไม่ได้ใส่อะไรลงไป”
“รู้ได้ไงว่าฉันชอบ”
“คุณบุ้งกี๋คือไอดอลของฉันค่ะ” ในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกไปจนได้ ทั้งที่หัวใจเต้นถี่รัวมากขณะที่เธอมองฉันด้วยสีหน้ามึนงงแต่ก็รับแก้วโกโก้มิ้นท์ไป “ฉันมาเป็นนางแบบก็เพราะมีคุณบุ้งกี๋เป็นไอดอลค่ะ”
“หรือว่าที่คุณทักฉัน...”
“ค่ะ อยากจะบอกแบบนี้ล่ะค่ะ” เธอกระตุกยิ้มมุมปากแม้จะเป็นรอยยิ้มที่เห็นได้ยากมากๆ ก็เถอะ
“ขอบคุณสำหรับโกโก้มิ้นท์ แล้วก็ที่ชื่นชอบฉันค่ะ”
ฉันหลีกทางให้เธอเดินออกจากโรงแรมจนมองเธอขึ้นรถออกไป ส่วนฉันก็ดูดโกโก้มิ้นท์พลางขึ้นลิฟต์ไปหาพี่ชายแสนดีที่จ้องจะแทะโลมฉันอยู่ตลอดเวลา พอมาถึงก็มองโต๊ะหน้าห้องของเขาที่เลขาผู้หญิงคนนั้นมองฉันราวกับไม่พอใจ ขณะที่ฉันดูดโกโก้มิ้นท์และยักคิ้วให้หล่อนที่ทำอะไรฉันไม่ได้ เพราะฉันคือใคร? คือน้องสาวของผู้ชายที่นั่งทำงานอยู่พอเห็นว่าฉันมาเขาก็เงยหน้ามามองแปบหนึ่ง จึงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามและวางแก้วโกโก้มิ้นท์ คุณจิณณ์เห็นก็จ้องมันนานพอควรแบบจ้องแล้วนิ่ง
“อยากกินเหรอคะ?”
“เปล่า”
“เห็นจ้อง นึกว่าอยากกินซะอีก” ฉันบ่นคุณจิณณ์พลางหยิบแก้วโกโก้มิ้นท์ขึ้นดื่มขณะที่เขาหรี่สายตามอง
“ทำไมหน้าบานแปลกๆ”
“หน้าบานเหรอคะ” พอเขาทักแบบนี้ฉันก็รีบเอามือลูบไล้ใบหน้าตัวเอง “ทักสาวแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“ก็จริง” เขาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้นวมแถมยังยิ้มขำอีกต่างหาก “งานราบรื่นดีหรือไง?”
“มีส่วนค่ะ”
“แล้ว?”
“พอดีฉันเจอไอดอลค่ะ แล้วเธอก็คุยกับฉันด้วย” จู่ๆ ก็เล่าเรื่องส่วนตัวให้กับคนตรงหน้าฟัง แน่นอนว่าคุณจิณณ์เป็นผู้ฟังที่ดีมากเลยนะ “เธอคือเหตุผลที่ทำให้ฉันมาเป็นนางแบบค่ะ”
“จริงเหรอ”
“ค่ะ ฉันน่ะชื่นชอบเธอมากๆ เลยนะคะ แบบว่าเธอเก่ง สวยและสง่างาม ฉันอยากเป็นให้ได้แบบเธอหมายถึงการเดินแบบแล้วก็อยู่ในวงการนี้น่ะค่ะ”
“ไม่เห็นต้องอยากเป็นเหมือนใคร” ฉันขมวดคิ้วเมื่อคำพูดของคุณจิณณ์ทำให้ฉันค่อนข้างสับสนและตีความได้ยากมาก เขาเป็นผู้ชายพูดน้อยมากพอจะพูดก็จับใจความได้ยากเย็นเหลือเกิน “เธอเป็นเธอก็ดีอยู่แล้ว”
“คุณจิณณ์”
“การมีคนที่ชื่นชอบมันไม่แปลกหรอกนะ” เขาหยิบบุหรี่คีบตรงมุมปากก่อนจะจุดไฟจนปลายบุหรี่มอดไหม้ “แต่อย่าเสียความเป็นตัวเองไปเพราะอยากเป็นแบบเขา”
“...”
“เธอก็ดีในแบบของเธอ อย่าพยายามเปลี่ยนเลย” โทนเสียงทุ้มต่ำบวกกับคำพูดที่ให้แง่คิดทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมา ก่อนจะลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะไปหาเขาพลางทิ้งตัวนั่งบนตักแกร่ง โอบกอดลำคอแกร่งและกดจูบลงบนแก้มสาก มือขวาคีบบุหรี่ออกห่างจากตัวฉันพลางเลิกคิ้ว “อ้อนอะไร?”
“พรุ่งนี้มาดูฉันด้วยนะคะ”
“ไม่รับปาก” พอเขาตอบแบบนี้ฉันก็ทำหน้าบูดใส่เขา ขณะที่มือซ้ายโอบเอวฉันไว้กระชับให้เอนตัวเข้าใกล้เขาจนใบหน้าของเราสองคนเกือบจะชนกันแล้วอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น “ทำให้ฉันอยากไปดูให้ได้สิ”
“มีแผนตลอด”
“หึ เธอรู้นะว่าต้องทำยังไง ถึงจะดึงฉันไปดูเธอได้” น้ำเสียงเยือกเย็นกระซิบมายังข้างใบหู พลางใช้ปลายลิ้นไล่ขบติ่งหู ตัวของฉันสั่นเหมือนลูกนกตัวน้อยเป็นเหยื่อให้เขาลิ้มลองอยู่ตลอดเวลา “นึกออกหรือยังไนล์”
“ต้องมีข้ออ้างตลอดเลยนะคะ งั้นก็ไม่ต้องมาดูค่ะ” ฉันเองก็ใช่ว่าจะยอมเขาตลอดไปนะ ถึงเราจะเป็นเหมือนไฟและไฟที่พออยู่ใกล้กันก็พร้อมจะโหมกระหน่ำจนกลายเป็นไฟที่แผดเผาร่างของเราให้กลายเป็นจุลก็ตามที พอฉันบอกจะไม่ทำคุณจิณณ์ก็ยิ้มมุมปากพลางสูบบุหรี่จนหมดมวน วางมือลงบนหน้าขาฉันและลูบไล้ขึ้นลงเบาๆ ก่อนจะล้วงลึกเข้ามาจนถึงขอบแพนตี้ลูกไม้สีดำของฉันเขาก็สอดมือเข้าไปด้านในพลางใช้ปลายนิ้วกรีดตรงรอยแยกจนฉันบิดหน้าไปมาพลางกัดปากด้วยความรู้สึกที่เหมือนมีผีเสื้อนับหมื่นบินวนตรงหน้าท้อง “อย่านะคะ เดี๋ยวใครเข้ามา”
“ฉันแคร์ที่ไหน” รู้ว่าเขาไม่คิดจะแคร์สายตาใครแต่บางทีฉันก็อายเป็นนะ ดันท่อนแขนของเขาออกจากกลางกายสาวได้สำเร็จก็ทำหน้าบูดใส่เขาที่แลดูหงุดหงิดที่ฉันห้าม คุณจิณณ์ยกข้อมือซ้ายดูเวลาซึ่งตอนนี้ก็เกือบจะค่ำแล้ว “ไปกินข้าว”
“ไม่กลับไปกินที่บ้านเหรอคะ?”
“เธออยากไปหรือเปล่า” ไม่ได้คิดจะตอบคำถามฉันเลยหรือไง “ไนล์”
“ไปก็ได้ค่ะ”
“กินบนดาดฟ้าโรงแรมฉัน ไม่ต้องไปไหนไกล”
*-----------------------------------*