ตอนที่ 10 : หงุดหงิดใส่
สายตาคมกริบมองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะใช้นิ้วแกร่งนวดขมับตัวเองเพื่อคลายความเหนื่อยล้าในช่วงเวลาหกโมงเช้า งานตรวจสอบรายละเอียดของอาวุธค่อนข้างเยอะกว่าทุกครั้งทำให้วันนี้ลากยาวมาหลายชั่วโมง การที่ทำงานหามรุ่งหามค่ำเป็นเรื่องปกติของเขา ต่อให้งานจะปวดหัวหรือเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ไม่เท่ากับความหงุดหงิดที่มีต่อเด็กผู้หญิงคนนั้น เธอซื่อจนน่าโมโห และไม่คิดว่าตัวเองจะหงุดหงิดเด็กผู้หญิงคนนั้นถึงขนาดนี้
"ล็อตนี้ต้องละเอียดเป็นพิเศษ กูจะไปคุมงานเองทุกขั้นตอนแทนนายใหญ่ มึงเตรียมจัดการเรื่องขนย้ายได้เลย"
"ครับพี่เทเลอร์ กลับไปพักผ่อนเถอะพี่ งานที่เหลือเดี๋ยวให้พวกมันจัดการ"
"หึ...ถ้ากูได้พักผ่อนอย่างที่มึงพูดก็ดี" ริมฝีปากหนากระตุกยิ้มรู้ว่ายังไงตัวเองก็ยังไม่ได้กลับไปนอน เพราะต้องไปรับส่งน้องสาวของไอรีนที่มหาวิทยาลัย
"ครับ?" ชายฉกรรจ์หนุ่มทำสีหน้างุนงงกับคำพูดของรุ่นพี่คนสนิท
"ทำหน้าที่ของมึงไปซะ กูกลับก่อน หวังว่าสิ่งที่กูสั่งจะไม่ผิดพลาด พวกมึงน่าจะรู้ดีว่านายแต่ละคนไม่ชอบพวกที่ทำงานไม่ได้เรื่อง"
เทเลอร์พูดทิ้งท้ายด้วยท่าทางจริงจังและใช้น้ำเสียงเน้นหนักบ่งบอกให้ลูกน้องคนอื่นใส่ใจกับงานที่ทำ ทุกคนรู้ดีว่าวงการสีเทามันร้ายแรงแค่ไหน ตอนนี้ถือว่าเบาลงไปเยอะกว่าเมื่อก่อนเพราะนายใหญ่แต่ละคนมีลูกมีเมียกันหมดแล้ว เหตุการณ์นองเลือดนานๆจะเกิดขึ้นสักทีถ้ามันเกินจะให้อภัยจริงๆ
ลานจอดรถใต้คอนโด
รถสปอร์ตคันหรูขับมาจอดในตำแหน่งเดิมที่เคยจอดประจำ สายตาคมสาดส่องไปรอบๆบริเวณแต่กลับไร้เงาเด็กสาวในชุดนักศึกษาทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว มือหนาหยิบโทรศัพท์เครื่องหรูมาเช็กตารางเรียนของเธออีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่เวลาระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเธอมีเรียนแปดโมงครึ่ง ระยะทางจากคอนโดไปมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็จริงแต่ด้วยเวลาเร่งด่วนของคนในกรุงเทพทำให้ระยะเวลาจะนานกว่าปกติอาจช้าเป็นชั่วโมง
"เรียนวันที่สองก็สายแล้วสินะ ถ้าฉันมีลูกหรือน้องสาว จะไม่มีทางให้นิสัยเป็นแบบเธอ"
"ตายๆแน่ยัยน้อยหน่าเอ๊ย เรียนวันที่สองก็สายแล้ว ไม่น่านอนดึกเลย เพราะเขาคนเดียว" ฉันบ่นพึมพำในลิฟต์ด้วยความร้อนรน พลางก้มมองนาฬิกาเรือนเล็กในข้อมือ เท้าเรียวเล็กที่สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาดตาเริ่มอยู่ไม่สุข ดวงตากลมโตเงยมองตัวเลขของลิฟต์ในคอนโดที่ลดลงเรื่อยๆ
กว่าฉันจะได้นอนก็เกือบตีสองเพราะมัวแต่หางานพิเศษที่จะทำเพื่อลบคำสบประมาทของพี่เทเลอร์ แต่แล้วมันกลับเป็นผลร้ายของการตื่นเช้าของตัวฉันเอง ทั้งที่นาฬิกาปลุกดังลั่นแต่ความงัวเงียและความง่วงเข้าครอบงำทำให้ฉันกดปิดเสียงนาฬิกาปลุก โชคดีที่สะดุ้งตื่นเพราะแสงแดดจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาในห้องก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองสายแน่นอน ฉันใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในการทำภารกิจส่วนตัวและพาตัวเองออกมาจากห้องด้วยสภาพที่เร่งรีบ
ติ๊ง
แค่เพียงประตูลิฟต์เปิดออกฉันก็ก้าวขาออกอย่างรวดเร็ว พลางมองไปรอบๆลานจอดรถและก็ต้องสะดุดตากับรถสปอร์ตคันสีเหลืองที่คุ้นเคย
"อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องดีในตัวบ้างนะ จะว่าไปก็ไม่ใจดำขนาดนั้น ถ้าไม่รวมเรื่องปาก"
เทเลอร์ที่นั่งมองปฏิกิริยาเด็กสาวอยู่ในรถพลางมองริมฝีปากบางขยับขมุบขมิบคนเดียวก่อนจะเดินมา ถึงเขาจะไม่ได้ยินว่าเธอพูดอะไรแต่เชื่อว่าเธอกำลังพูดถึงเขาอยู่ เพราะสายตาเธอจับจ้องมาที่รถของเขา
"ขอบคุณนะคะที่ยังมารอรับหนูเหมือนเดิม"
"ฉันพึ่งรู้ว่าเจอหน้ากันในแต่ละครั้งบ้านเธอสอนคำว่าขอบคุณเป็นประโยคทักทาย และฉันก็พึ่งรู้ว่าโรงเรียนเธอไม่เคยสอนมารยาทเวลาเจอผู้ใหญ่ว่าควรทำแบบไหน"
ทันทีที่ฉันเข้ามาในรถสปอร์ตคันหรูของพี่เทเลอร์ เขาก็จัดการพูดแดกดันฉันอีกตามเคย คำพูดแต่ละคำของเขาทำเอาฉันอึ้งไปเหมือนกัน ไม่คิดว่าคนนิ่งๆแบบนี้จะปากจัดกว่าพริกร้อยเม็ด
"หนูก็พึ่งรู้เหมือนกันว่าพี่เจอหนูทีไร พี่ก็ว่าหนูตลอด ประโยคทักทายสินะ"
"มารยาทการพูดกับผู้ใหญ่ไม่มีเลยจริงๆ เถียงคำไม่ตกฟาก"
"พี่จะเอายังไงกับหนูคะ จะแดกดันกันไปถึงไหน เมื่อวานยังไม่พออีกเหรอไง"
"พูดกับฉันควรมีหางเสียง ฉันอายุเยอะกว่าเธอ และเจอหน้าผู้ใหญ่ไม่ว่าจะเป็นฉันหรือคนอื่นที่อายุเยอะกว่าเธอควรไหว้สวัสดีเขาทุกครั้งถึงแม้เธอจะเจอคนนั้นทุกวัน มันจะทำให้เธอดูเป็นเด็กที่ผู้ใหญ่เอ็นดู ไม่ใช่แข็งเป็นม้าดีดกะโหลกแบบนี้"
"ก็มีแค่คนเดียวนี่แหละที่หนูทำแบบนี้" ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ ที่จริงฉันเป็นคนมีสัมมาคารวะกับทุกคน รู้จักยกมือไหว้และพูดจามีหางเสียงเสมอ แต่เขานั่นแหละที่ทำให้ฉันไม่อยากพูดด้วย เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันเขาไม่เคยพูดดีกับฉันสักครั้ง
"เธอคิดว่ารถแคบขนาดนี้ฉันจะไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูดหรือไง" คำพูดหยอกย้อนของเธอทำเอาอารมณ์เริ่มคลุกกรุ่น ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าตอนนี้จะเป็นเวลากี่โมงแล้ว รถสปอร์ตคันหรูก็ยังคงจอดอยู่ที่เดิม ต่อให้เธอไปเรียนสายเขาก็ไม่ได้รู้สึกสะทกสะท้านเลยแม้แต่นิดเดียว
"นี่มันแปดโมงแล้วนะ หนูไปเรียนสายแล้ว พี่ก็เอาแต่บ่นหนูอยู่ได้"
"ทำในสิ่งที่ฉันสอนเดี๋ยวนี้"
"จะอะไรนักหนา เมื่อวานก็เรื่องหนึ่ง วันนี้ก็อีกเรื่องหนึ่ง หาเรื่องกันตลอด"
"น้อยหน่า!" น้ำเสียงเข้มตวาดเสียงดังลั่นรถ ทำให้เขาเห็นท่าทางเด็กสาวสะดุ้งเล็กน้อย ดวงตากลมโตคู่นั้นสบตาเขาด้วยความไม่พอใจ ได้เห็นนัยส์ตาแดงก่ำของเด็กสาวที่ถูกขัดใจ
".....สวัสดีค่ะ จะพาหนูไปมหาวิทยาลัยได้หรือยังคะ หนูไปเรียนสายแล้วค่ะ พอใจหรือยังคะ" ฉันที่เงียบอยู่พักใหญ่ก็ต้องพูดในสิ่งที่เขาต้องการ ฉันต้องหัดขึ้นรถเมล์ไปเรียนให้เก่งจนได้ จะไม่มาขอความช่วยเหลือจากคนใจร้ายอย่างเขาอีกเลย คนอะไรก็ไม่รู้เอาแต่สั่งๆ
ภายในรถตกอยู่ในความเงียบ มือหนาพยายามกำมือไว้แน่น ถ้าเป็นคนอื่นป่านนี้มือเขาได้ไปอยู่ที่คอและออกแรงบีบให้ตายคามือไปแล้ว การที่เขาได้อยู่กับเธอ คอยดูแลเธอตามคำร้องขอของไอรีน เขาต้องนับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้อารมณ์ตัวเองลดลง
"ถ้าฉันไม่เห็นว่าเธอเป็นคนของไอรีน ป่านนี้เธอได้ตกรถพร้อมกับร่างที่ไร้วิญญาณไปแล้ว"
บรื้นนนน...
แรงกระชากในจังหวะที่เขาเหยียบคันเร่งออกจากลานจอดรถทำเอาหลังของฉันติดเบาะโดยอัตโนมัติ มือบางรีบดึงเข็มขัดมาคาดตัวทันที ใบหน้าหวานหันไปมองใบหน้าคมคายที่เรียบนิ่งด้วยความไม่พอใจ นึกอยากจะออกก็ออก นึกอยากจะบ่นก็บ่น เขาเป็นคนที่ฉันคาดเดาอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อารมณ์ของเขาตอนนี้ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาโมโหอะไรมา แค่เพียงฉันก้าวขึ้นรถก็หงุดหงิดใส่ฉัน
รถสปอร์ตคันหรูปาดซ้ายปาดขวาด้วยความชำนาญ สายตาคมจับจ้องถนนเบื้องหน้า ต่อให้เป็นเวลาเร่งด่วนรถยนต์บนท้องถนนจะเยอะขนาดไหน เท้าแกร่งก็ยังคงเหยียบคันเร่งด้วยความรีบร้อน
"พี่!" เสียงหวานอุทานเสียงดังลั่นเมื่อเห็นคันหน้าเหยียบเบรคแล้วเพราะข้างหน้าเป็นสัญญาณไฟแดง แต่คันของเขายังคงเหยียบคันเร่งไม่หยุด การขับรถของเขาทำเอาอาการคลื่นไส้เข้ามาทักทายตั้งแต่เช้า
เอี๊ยดดดด...
เท้าแกร่งเหยียบเบรคเมื่อหน้ารถใกล้จะชนท้ายรถคันหน้า ทำให้ล้อเสียดสีกับพื้นถนนจนเกิดเสียง
"หนูจะอ้วกอยู่แล้วนะ ถ้าพี่ขับแบบนี้"
บรื้นนนน...
แรงกระชากรถกลับมาอีกครั้งเมื่อเห็นสัญญาณไฟเขียว ไม่ได้สนใจคำพูดของเด็กสาวที่นั่งอยู่ในรถด้วยเลยสักนิดเดียว
ปริ้นนนน...
เสียงแบบนี้ดังตลอดทางที่เขาขับรถพาฉันมาส่งมหาวิทยาลัย ทั้งเสียงเบรคและเสียงบีบแตรของรถคันอื่นดังอยู่เรื่อยๆ เป็นครั้งแรกที่ตัวเองได้นั่งรถหวาดเสียวขนาดนี้ มือบางกำสายเข็มขัดรัดตัวไว้แน่น เท้าทั้งสองข้างจิกพื้นด้วยความกลัว ร่างกายเกร็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา...
เอี๊ยดดดด
เสียงเบรคดังสนั่นเมื่อรถสปอร์ตคันหรูขับมาจอดหน้ามหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง
"คนนิสัยไม่ดี"
หมับ
ฝ่ามือหนาเอื้อมไปจับแขนเรียวเล็กของเธอในจังหวะที่เด็กสาวกำลังจะเปิดประตูลงรถ พร้อมกับใช้แรงกระชากและเพิ่มแรงบีบ สายตาคมมองไปที่ใบหน้าหวานที่ไร้เครื่องสำอางด้วยสายตาเรียบนิ่ง
"หนะ หนูเจ็บนะ"
"สิ่งที่ฉันสอนไปไม่เข้าหัวเธอเลยเหรอไง"
ฉันสูดอากาศเข้าปอดเฮือกใหญ่เพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง ไม่อยากเถียงกับเขาอีกแล้ว
"ขอบคุณที่มาส่งค่ะ ปล่อยได้แล้วค่ะหนูจะไปเรียน"
สายตาของทั้งคู่ประสานกันอยู่ชั่วขณะก่อนที่ฝ่ามือหนาจะค่อยๆคลายออก
"เลิกเรียนแล้วมารอฉันที่ลานจอดรถของมหาวิทยาลัย จำไว้ด้วยว่าฉันไม่ชอบรอใคร"
"แต่หนูอาจจะมีกิจกรรมหลังเลิกเรียน...นะคะ อยู่ในช่วงรับน้องหาพี่รหัสค่ะ" เมื่อเห็นสายตาของเขาจับจ้องอยู่ทำให้ฉันต้องเติมหางเสียงต่อท้าย
"ไม่เกินห้าโมงเย็นฉันต้องเห็นเธอยืนรอฉันอยู่ที่ลานจอดรถ"
"หนูไปได้แล้วใช่ไหมคะ"
"ฉันก็ไม่ได้ขอร้องให้เธออยู่"
สายตาคมส่งสายตาไปที่ประตูรถเพื่อให้เธอลงไปได้แล้ว ก่อนจะหันกลับมาจดจ่อกับถนนเบื้องหน้าอย่างไม่สนใจ
ริมฝีปากบางอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำสวนกลับ และเมื่อดึงสติได้ก็รีบก้าวลงจากรถสปอร์ตคันหรูทันที ใบหน้าหวานหงิกงออย่างกับกระดาษที่ถูกขยำจนยับยู่ยี่ เพียงแค่ฉันปิดประตูลงเขาก็ขับออกไปทันที
"ก็ถ้าพี่ไม่กระชากแขนหนูไว้ก่อนหน้านี้ หนูก็ลงจากรถพี่นานแล้วล่ะ ไม่ได้อยากอยู่ด้วยนานๆสักหน่อย นี่มันวันอะไรของฉันเนี่ย มาเรียนสายแถมยังเจอคนปากไม่ดีอีก ฉันต้องเจอเขาไปอีกนานแค่ไหน พี่ไอร์นะพี่ไอร์ ส่งใครมาดูแลหนูก็ไม่รู้" ฉันเดินบ่นพึมพำมาคนเดียว