ตอนที่ 17 : ประสบการณ์ย่อย
ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัย
หลังจากเสร็จกิจกรรมหาคำใบ้เพื่อตามหาพี่รหัส พี่เตวินท์ก็มาหาฉันที่เดิมและเราก็เดินมาที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่หน้ามหาวิทยาลัย การที่หลายคนเห็นฉันกับพี่เตวินท์เดินมาด้วยกันก็พาก็ซุบซิบไปต่างๆนานา แม้แต่รุ่นพี่เพื่อนพี่เตวินท์ก็แซวกันยกใหญ่จนฉันได้แต่เดินก้มหน้าก้มตาไม่กล้าแม้แต่จะสู้สายตาใคร ความจริงฉันกับพี่เตวินท์ไม่ได้เป็นอะไรกันเลย แค่ฉันขอร้องให้เขาช่วยเรื่องรถเมล์ก็เท่านั้น
ดวงตากลมโตชำเลืองมองอีกคนที่ดูไม่สะทกสะท้านแถมยังส่งยิ้มให้กับทุกคน กลับกลายเป็นว่ามีเพียงฉันที่ไม่กล้าสู้หน้าใคร
"หาไส้เดือนเหรอไง ก้มมองแต่พื้นอยู่ได้ ตั้งแต่เดินมาจนถึงป้ายรถเมล์ทุกคนเขาก็รู้กันหมดแล้ว ก้มยังไงก็ไม่มิดหรอก"
"พี่เตวินท์นั่นแหละ แค่บอกสายรถเมล์ก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องลงทุนถึงขั้นนั่งรถเมล์ไปพร้อมหนูเลย"
"พี่เต็มใจ เลิกคิดมากและเงยหน้าขึ้นได้แล้ว คนอื่นจะได้เห็นชัดๆ"
"พี่เตวินท์!" เสียงหวานเรียกชื่อชายหนุ่มดังลั่นอย่างลืมตัว และรีบเอามือปิดปากตัวเองทันที แต่อีกคนกลับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
"แค่แกล้งเล่นเฉยๆ เงยหน้ามามองเลขรถเมล์สิ ก้มหน้าก้มตาจะรู้ได้ไงว่ากลับรถเมล์สายไหน"
สิ่งที่พี่เตวินท์พูดก็ทำให้ฉันคิดได้ มัวแต่ก้มหน้าเขินอายจนไม่ได้มองรถเมล์ที่กำลังจะมาถึง ฉันรู้มาจากพี่เตวินท์ก่อนหน้านี้แล้วว่าจะมีรถเมล์สายไหนผ่าน และก็มีเพียงรถเมล์สายเดียวเท่านั้นที่ผ่านหน้าคอนโดฉันเลย
"197 นั่นไงรถเมล์สายที่พี่เตวินท์บอก มาโน้นแล้วค่ะ" นิ้วเรียวยาวชี้ไปที่รถเมล์ปรับอากาศที่กำลังขับตรงมาที่ป้ายรถเมล์ การกระทำของฉันทำเอาอีกคนขำออกมาเบาๆ
เตวินท์ถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆราวกับเด็กน้อยเห็นรถไฟเหาะ
"จะว่าหนูบ้านนอกก็ไม่โกรธค่ะ"
"ยังไม่พูดสักคำ...รถเมล์สายนี้คนขึ้นเยอะนะ มานี่เดี๋ยวหลง"
พรีบ
ฝ่ามือหนาเอื้อมมาจับมือเรียวเล็กไว้แน่นในจังหวะที่รถเมล์มาจอดหน้าป้ายพอดีและผู้คนก็ต่างเดินกรูกันเข้ามาหน้าประตูรถเมล์เพื่อจะแย่งกันขึ้น
หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำจนแทบจะหลุดออกมาเต้นข้างนอก ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย เพียงแค่พี่เตวินท์จับมือเหมือนจุดฉนวนความร้อนภายในร่างกายให้ร้อนผ่าวโดยเฉพาะใบหน้า พี่เตวินท์เดินจูงฉันขึ้นรถเมล์เพราะกลัวคาดกัน และด้วยจำนวนนักศึกษาที่เยอะบวกกับเป็นเวลาเลิกงานทำให้ที่นั่งบนรถเมล์ไม่เพียงพอ ทำให้ผู้โดยสารบางส่วนต้องยืนโหนหนึ่งในนั้นก็คือฉันกับพี่เตวินท์
"ยืนไหวไหม เจ็บขาหรือเปล่า"
"ไหวค่ะ"
มือเรียวเล็กจับราวของรถเมล์ไว้แน่นทั้งกลัวล้มและข่มอารมณ์ความเขินอาย ต่อให้จะยังรู้สึกเจ็บที่กลางหว่างขาแต่ฉันก็ต้องฝืนทนเอา ความคับแน่นภายในรถเมล์ทำให้ฉันกับพี่เตวินท์ใกล้ชิดกันมากขึ้นจนรับผู้ได้ว่าแผ่นหลังฉันชนกับหน้าอกพี่เตวินท์อยู่เรื่อยๆ วันนี้เป็นวันแรกที่หัวใจเต้นแปลกๆเวลาอยู่ใกล้พี่เตวินท์ อาจเป็นเพราะเขาเข้ามาถูกจังหวะพอดี
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
ผู้คนบนรถเมล์เริ่มทยอยลงรถกันไปบางส่วนแล้ว แต่ด้วยพื้นที่นั่งยังไม่เพียงพอกับคนที่ยืนทำให้ฉันกับพี่เตวินท์ยังคงโหนรถเมล์กัน เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ขึ้นรถเมล์แบบคนกรุงเทพจริงๆ ทำให้รู้เลยว่าแค่การยืนบนรถเมล์ก็ใช้พลังมหาศาล บางคนที่ได้นั่งก็เผลอหลับใหลไปตามๆกัน คงเป็นเพราะต้องรีบตื่นเช้าไปเรียนไปทำงานเลยเกิดอาการอ่อนเพลีย แม้แต่ฉันเองก็สะลึมสะลือ
"เดี๋ยวป้ายหน้าก็ถึงคอนโดเราแล้วนะ"
"....." ดวงตากลมโตเบิกตาโพลง ความง่วงหายไปทันที มือเรียวเล็กจิกเข้าที่ที่จับอย่างแรงเมื่ออยู่ดีๆพี่เตวินท์ก็โน้มหน้าเข้ามาพูดใกล้ๆจนรับรู้ถึงลมอุ่นที่ออกจากปาก ฉันพอคลับคล้ายคลับคลาทางได้บ้างแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าพี่เตวินท์จะก้มลงมากระซิบขนาดนี้ ใบหน้าหวานเห่อร้อนราวกับผิงเตาไฟ
"ให้พี่ไปส่งที่คอนโดไหม"
"ไม่เป็นไรค่ะ กว่าจะรอรถเมล์อีกรอบจะมาก็ดึกพอดี พี่นั่งต่อไปเลยดีกว่า หนูเดินต่ออีกนิดเดียวก็ถึงคอนโดแล้วค่ะ"
"เอางั้นก็ตามใจ เดี๋ยวเราเดินไปประตูหน้าและกดกริ่งตรงนั้นก่อนถึงป้ายนะ เดินดีๆละระวังล้ม"
"ค่ะ ขอบคุณนะคะที่สอนหนูขึ้นรถเมล์และก็ขอบคุณที่จ่ายค่ารถให้ด้วย เอาไว้หนูจะเลี้ยงข้าวตอบแทนนะคะ"
ฉันบอกลาพี่เตวินท์และเดินไปตามที่พี่เขาบอก ไม่นานรถเมล์ที่ขึ้นมาจากมหาวิทยาลัยก็มาจอดป้ายรถเมล์ใกล้กับคอนโด
ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มออกมาเมื่อเดินเท้าไปยังคอนโดตัวเอง ยังนึกถึงลมอุ่นๆที่เป่ารดกกหูเมื่อกี้ไม่หาย ตลอดทางที่อยู่บนรถเมล์มีเบรคกะทันหันพี่เตวินท์ก็เป็นคนรั้งตัวฉันไว้ไม่ให้ล้ม คอยดูแลฉันตลอด
"แบบนี้สินะที่เรียกว่าหัวใจกระชุ่มกระชวย"
เด็กสาวร่างเล็กเดินเข้าคอนโดด้วยรอยยิ้มบางๆ ความเจ็บปวดเริ่มจางหายเมื่อได้นึกถึงสิ่งที่รุ่นพี่หนุ่มได้ทำให้ ถึงจะเป็นเพียงเวลาสั้นๆแต่ก็ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นระส่ำอยู่หลายครั้ง
ติ๊ง
เท้าเล็กก้าวเข้ามาในลิฟต์ทันทีหลังจากประตูเปิดออก เพื่อขึ้นไปยังห้องของตัวเอง
ปึก!
ยังไม่ทันที่ประตูลิฟต์จะปิดสนิทก็ถูกเท้าของใครบางคนดันเอาไว้ ดวงตากลมโตมองรองเท้าหนังสีน้ำตาลเงาวับ ก่อนจะค่อยๆเงยขึ้นไปมองเจ้าของการกระทำนี้ ทำเอาหัวใจดวงน้อยกระตุกวูบ เท้าเรียวเล็กก้าวถอยหลังจนติดกับผนังลิฟต์ด้านในทันที สีหน้าและแววตาคู่นั้นทำเอาเสียวสันหลัง
"พี่เทเลอร์"
"สีหน้าเธอไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลยนะ" น้ำเสียงเย็นยะเยือกพูดขึ้นและเข้ามาในลิฟต์ตัวเดียวกับเด็กสาว อีกทั้งยังใช้คีย์การ์ดที่เป็นเลขห้องของเธอแตะตัวสแกนและกดไปยังชั้นเป้าหมาย หลังจากจัดการทุกอย่างเสร็จ ร่างสูงหันมาประจันหน้ากับเด็กสาวที่ยืนนิ่งพลางแสยะยิ้มมุมปาก ฝีเท้าแกร่งเดินเข้ามาใกล้เธอในระยะประชิดอย่างรวดเร็ว ท่อนแขนแกร่งทั้งสองข้างดันผนังลิฟต์ไว้เพื่อล็อคตัวเธอไม่ให้หนีไปทางอื่นได้
"ถอยไปค่ะ "
"ฉันนึกว่าเธอชอบแบบใกล้ชิดแบบนี้ซะอีก" ใบหน้าคมคายค่อยๆโน้มเข้ามาใกล้เด็กสาวจนเห็นเงาสะท้อนตัวเองในดวงตากลมโตคู่นั้น
"พี่มาที่นี่ทำไม นี่ไม่ใช่คอนโดพี่นะ"
"ฉันจะไปไหนมาไหนมันก็เรื่องของฉัน และฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน"
"....." ความใกล้ในระยะประชิดจนสันจมูกโด่งคมแตะเข้ามาที่ปลายจมูกของฉัน แม้แต่หน้าตัวเองฉันยังไม่สามารถหันหนีเขาได้ ฉันไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ทำไมถึงมาอยู่ที่คอนโดนี้ได้ทั้งที่วันนี้ทั้งวันฉันกับเขาไม่ได้ติดต่อกันเลย ปกติแล้วเขาจะมาแค่รอรับฉันและมาส่งฉันแค่นั้นก็กลับไปเลย ไม่มีแม้แต่จะขึ้นมาในลิฟต์แบบนี้พร้อมกัน ยกเว้นแค่วันแรกที่เขามารับฉันถึงหน้าห้อง
"เมื่อวานมาขอร้องฉัน ส่วนวันนี้ก็ไปขอร้องอีกคนสินะ มันสอนประสบการณ์ลึกซึ้งแบบที่ฉันสอนเธอไหมล่ะ"
"หนูกับพี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วนะคะ หนูจะใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ไปเรียนด้วยตัวเองและวันนี้หนูก็ทำได้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปพี่ไม่ต้องมายุ่งกับหนูแล้วค่ะ พี่ก็กลับไปทำงานสำคัญของพี่ซะ เรื่องของหนูมันไร้สาระสำหรับพี่อยู่แล้วนิคะ"
"โดนเอาแค่ครั้งเดียวปากเก่งขึ้นเยอะ ดูมีสมองมากกว่าเดิมซะด้วย ถ้าฉันกระแทกเธออีกสักรอบเธอคงฉลาดขึ้นอีกเยอะเลยนะ"
"พี่! อย่านะ...อื้อ อี๊ดดดด(กรี๊ดดดด)"
ดวงตากลมโตเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ น้ำเสียงหวานถูกกลืนหายลงคอไปเมื่อถูกจู่โจมด้วยริมฝีปากหนาอย่างหนักหน่วงตั้งแต่วินาทีแรก มือเรียวเล็กทั้งสองข้างพยายามผลักดันร่างสูงให้ออกห่าง แต่กลับไม่เป็นผล
ลิ้นสากเข้าไปดูดดื่มน้ำหวานจากโพรงปากบางอย่างหิวโหยได้อย่างง่ายดายในจังหวะที่เธออ้าปากพูด ความหวานหอมในโพรงปากของเด็กสาววัยแรกรุ่นทำเอาเลือดในตัวเทเลอร์สูบฉีดไม่น้อย มือหนาจับล็อกกรอบใบหน้าหวานไว้แน่นเพื่อไม่ให้เธอสะบัดหนี และจู่โจมอย่างหนัก ลิ้นสากชอนไชไปทั่วทั้งที่เธอยังดิ้นพล่าน
"อี๊ดดดด...(กรี๊ดดดด)"
"อื้ม..."
เสียงครางในลำคอดังขึ้นเบาๆก่อนที่ริมฝีปากหนาจะผละออกอย่างรวดเร็ว ไม่มีความอ่อนโยนให้กับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว
ฉันรีบโกยอากาศเข้าปอดอย่างรวดเร็วและใช้หลังมือเช็ดริมฝีปากตัวเองอย่างลวกๆ มันเป็นสิ่งที่ฉันไม่ชอบเลยสักนิด รับรู้ทุกขั้นตอนที่ลิ้นสากนั้นตวัดไปทั่วทั้งโพรงปากอย่างน่ารังเกียจ
"เมื่อวานฉันสอนประสบการณ์ขั้นสูงสุดให้เธอไปแล้ว วันนี้ฉันเลยต้องมาเก็บประสบการณ์ย่อยๆที่ยังไม่ได้สอนเธอ"
"หนูไม่ต้องการประสบการณ์บ้าบออะไรของพี่แล้ว คนนิสัยไม่ดี"
ติ๊ง
ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อมาถึงชั้นเป้าหมาย ฝ่ามือหนาจับข้อมือคนตัวเล็กไว้แน่นและกระชากตัวเธอออกจากลิฟต์ทันทีด้วยท่าทางเรียบนิ่ง เท้าแกร่งสาวเท้ายาวไม่สนใจว่าเด็กสาวจะเดินตามทันหรือเปล่า
"ปล่อยหนูนะ หนูไม่อนุญาตให้พี่เข้าห้องหนู หนูจะฟ้องพี่ไอร์ บอกให้ปล่อยไง" ฉันพยายามสะบัดมือออกจากฝ่ามือหนามาตลอดทาง แต่เขาก็ยังไม่สนใจ พอถึงหน้าห้อง เขาก็ใช้คีย์การ์ดตัวเองเพื่อเปิดประตู ทุกอย่างทำได้โดยไม่ต้องขออะไรจากฉันเลย
พรึบ
เพียงแค่เข้ามาในห้องเทเลอร์ก็สะบัดมือเธอออกตามที่เธอร้องขอ แต่ความแรงก็ทำให้เด็กสาวเซถลาไปข้างหน้าจนเกือบล้มลงกับพื้น
"พี่เป็นบ้าอะไร หนูไปทำอะไรให้พี่ไม่พอใจนักหนา"
เทเลอร์ล้วงกระเป๋ากางเกงและโยนกล่องถุงยางอนามัยที่สั่งทำพิเศษลงบนโต๊ะกระจกใกล้กับโซฟาสีน้ำตาลที่เกิดเหตุการณ์นองเลือดขึ้น ริมฝีปากหนาแสยะยิ้มมุมปากเมื่อยังเห็นร่องรอยของคราบเลือดบริสุทธิ์ยังติดอยู่ แต่สภาพเท่าที่สังเกตเธอคงพยายามขัดมันออกอย่างเต็มที่แล้ว
"เมื่อวานฉันสอนประสบการณ์แบบสดๆไปแล้ว วันนี้ฉันจะสอนประสบการณ์แบบใส่ถุงดูบ้าง เธอจะได้รู้ซึ้งทั้งสองแบบ"